[sort by : last post | top views]..
+ โพสเรื่องใหม่ | ^ เลือกหน้า | All contents
3569 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 356 หน้า, หน้าที่ 357 มี 9 รายการ

 
ลิปสติก สารประกอบในลิปสติก อันตรายหรือไม่?
ลิปสติก สารประกอบในลิปสติก อันตรายหรือไม่?
ลิปสติก สารประกอบในลิปสติก อันตรายหรือไม่?
ลิปสติก เป็นเครื่องสำอางชนิดแรก ที่หลาย ๆ คนรู้จักเลยก็ว่าได้ เพราะสีสันเด่นสะดุดตา ทาปากแล้วช่วยให้ดูสวย เพิ่มความมั่นใจได้ในทันที แต่เคยรู้หรือไม่ ว่าเจ้าแท่งสีที่ไว้ทาปากทุกวันนี้ มีสารอะไรเป็นส่วนผสมบ้าง ทาบ่อย ๆ แล้ว ในระยะยาว จะส่งผลอันตรายต่อร่างกายบ้างหรือไม่

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบใช้ลิปสติก แล้วอยากรู้ว่า เครื่องสำอางชนิดนี้มีส่วนผสมอะไรบ้าง และมีสารอะไรในลิปสติกที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย

ลิปสติก ไม่ได้ผสมด้วยสีที่ทาแล้วช่วยให้ปากดูเด่น สะดุดตา ช่วยให้ริมฝีปากของสาว ๆ ดูอวบอิ่มเพียงอย่างเดียว หากแต่ประกอบด้วยสารอื่น ๆ ที่ช่วยให้ปากนุ่ม ชุ่มชื้นและคงตัวอยู่ได้นาน โดยมีสารประกอบหลักอยู่ 3 องค์ประกอบด้วยกันคือ

1. น้ำมัน (oil)

น้ำมันถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในลิปสติก เพราะมีคุณสมบัติช่วยผสานส่วนผสมอื่น ๆ ให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน และเพิ่มสัมผัสนุ่มลื่น ทำให้เวลาทาปาก สามารถทาติดริมฝีปากได้ง่าย นอกจากนี้ ยังช่วยให้ริมฝีปากนุ่ม ชุ่มชื้น แก้ปัญหาริมฝีปากแห้ง แตกเป็นขุยได้อีกด้วย

โดยชนิดของน้ำมันที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในลิปสติก มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็น น้ำมันลาโนลิน น้ำมันแคสเตอร์ (น้ำมันละหุ่ง) น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันมะกอก ทั้งนี้ บางผลิตภัณฑ์ยังมีการนำเอาเนย ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นไขมัน มาใช้ทดแทนน้ำมันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น เชียร์ บัตเตอร์ (Shea Butter) เนยโกโก้ (Cocoa Butter) เพราะสามารถให้ความชุ่มชื้นได้เหมือนกัน และยังมีกลิ่นหอมมากกว่า

สำหรับสัดส่วนของน้ำมันในลิปสติกนั้น จะมีความมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสูตรของแบรนด์เครื่องสำอางนั้น ๆ ว่าต้องการให้ลิปสติกมีความเข้มข้นของสัมผัสเวลาทาหรือความชัดเจนของเม็ดสี มีมากน้อยขนาดไหน เพราะน้ำมันที่มากขึ้น หมายถึง สามารถทาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนถ้าน้ำมันน้อยลง จะเพิ่มสัดส่นในเรื่องของเม็ดสี ส่งผลให้เม็ดสีมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

2. แวกซ์ (wax)

องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ส่วนผสมลิปสติกทั้งหมด ขึ้นรูปเป็นแท่งและคงตัวอยู่ได้นาน เพราะมีจุดเดือดสูงกว่าส่วนผสมอื่น ๆ ทั่วไป โดยในลิปสติก 1 แท่งนั้น อาจประกอบด้วยแวกซ์มากกว่า 1 ชนิดเช่น ขี้ผึ้ง_ แคนเดลลิลา แวกซ์_ คาร์นูบา แวกซ์ ซึ่งด้วยแวกซ์แต่ละชนิดก็มีลักษณะเฉพาะตัว นั่นจึงทำให้ลิปสติกแต่ละชนิดก็อาจมีเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกันด้วย ตัวอย่างเช่น ลิปสติกที่มีส่วนผสมของแคนเดลลิลา แวกซ์ จะมีเนื้อเงางาม ดึงดูดสายตา น่าใช้สอยกว่าลิปสติกอื่น ๆ เพราะแวกซ์ชนิดนี้มีคุณสมบัติโปร่งแสง ส่วนลิปสติกที่มีส่วนผสมของคาร์นูบา แวกซ์ จะมีเนื้อที่แน่น แข็ง ทนความร้อนได้ดีกว่าลิปสติกแบบอื่น ๆ เพราะคาร์นูบา แวกซ์ มีจุดเดือดสูงมากกว่า 87 องศาเซลเซียส เป็นต้น

3. เม็ดสี (pigment)

เม็ดสี ก็คือสิ่งที่กำหนดเฉดสีของลิปสติก ทำให้เวลาทาแล้ว จะเห็นออกมาเป็นสีสันต่าง ๆ โดยมีทั้งแบบที่ใช้สีจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ ดอกไม้ ตัวอย่างเช่น สีเหลืองจากขมิ้น สีแดงจากบีทรูทหรือทับทิม สีน้ำเงินจากดอกอัญชันหรือดอกอัลคาเนต (Alkanet) และสีเหลืองจากดอกดาวเรืองฝรั่ง (Calendula) กับอีกแบบหนึ่งก็คือ สังเคราะห์ขึ้นมาด้วยกระบวนการทางเคมี โดยประเภทหลังนี้ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ โดยไม่เกิดอันตราย เพราะเป็นสีประเภทเดียวกันกับที่ใช้ทำสีผสมอาหาร เมื่อใช้งานในระยะยาว จึงไม่ส่งผลอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย ยกเว้นสารให้สีที่กลั่นจากปิโตรเลียม เช่น D&C RED 17_ D&C RED 31 จะส่งผลอันตรายต่อร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นทำให้ปากคล้ำ หรือ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิด

สารในลิปสติกอะไรบ้าง ที่ก่อให้เกิดอันตราย

ด้วยความที่ผู้หญิง ใคร ๆ ก็ใช้ลิปสติก และเป็นเครื่องสำอางที่มีความต้องการสูงมาก เพราะใช้แล้วก็หมดไป ต้องซื้อใหม่อยู่ตลอด จึงทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยคิดทำลิปสติกขึ้นมาเอง เพื่อจัดจำหน่าย ซึ่งก็อาจมีผู้ที่ไม่หวังดี มุ่งแสวงหากำไร โดยการผลิตลิปสติกที่ไม่ได้รับมาตรฐานออกมาจำหน่าย ที่อาจมีการใส่สารละลายหรือสารเคมี มาทดแทนสารสกัดจากธรรมชาติ ทำให้หากใช้แล้ว อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ตลอดจนได้รับผลข้างเคียงอื่น ๆ ดังนั้น หากคุณเป็นผู้บริโภคคนหนึ่งที่ซื้อลิปสติกเป็นประจำ แล้วต้องการหลีกเลี่ยงลิปสติกที่ไม่ดีแล้วละก็ นี่คือส่วนผสมที่คุณควรรู้จัก และหลีกเลี่ยงเวลาซื้อลิปสติก

1. สารกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids)

เป็นสารสังเคราะห์วิตามินเอเข้มข้น ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในยาเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะถูกเคลมว่า มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูผิวพรรณ และทำให้ปากเนียนสวย แต่หากใส่ในปริมาณมากอาจเป็นตัวเร่งให้ปากเกิดปฏิกิริยาต่อแสงแดด ทำให้ปากคล้ำ ส่งผลร้ายต่อ DNA ในร่างกาย ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้ โดยสารกลุ่มเรตินอยด์ อาทิ กรดวิตามินเอ (Retinoic acid)_ เรตินัลดีไฮด์ (Retinaldehyde) และเรตินิล พัลมิเทต (Retinyl Palmitate)

2. สารสังเคราะห์วิตามินอี (Tocopheryl Acetate)

ใช้เพื่อเพิ่มความคงตัวให้กับผลิตภัณฑ์คล้ายกับสารกลุ่มเรตินอยด์ส์ อาจไม่มีผลกระทบมากต่อสุขภาพร่างกาย แต่หากเราใช้ทาบ่อย ๆ เป็นประจำโดยไม่ทำความสะอาดให้ดี สารตัวนี้จะสะสมและทำให้ริมฝีปากระคายเคือง แห้งแตก รวมถึงเป็นขุยเอาได้

3. สารสกัดจากน้ำมันในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม

เช่น มิเนรัล ออยล์ (Mineral Oil) หรืออีกชื่อคือ พาราฟินเหลว (Liquid paraffin)_ ปิโตรเลียม เจลลี่ (Petrolatum)_ ไซลีน (Xylene)_ โทลูอีน (Toluene) ที่ช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้น ดูดซับส่วนผสมของลิปสติกในเข้าได้ดี แต่มีสารเสี่ยงอันตรายอย่าง PAHs ที่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน ผิวหน้าระคายเคืองอยู่ในตัว

4. สารในกลุ่มโลหะหนัก

สารในกลุ่มโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว (Lead) ปรอท (Mercury) อะลูมินัม (Aluminum) โครเมียม (Chromium) แคดเมียม (Cadmium) แมงกานีส (Manganese) มักมีการเติมลงไป เพื่อเพิ่มความเงาแวววาวให้กับลิปสติก แต่จริง ๆ แล้วเป็นสารที่ก่อให้เกิดอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะต่อผู้หญิงตั้งครรภ์ เพราะหากเผลอกินลิปสติกเข้าไป อาจกระทบต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยได้ ทำให้เสี่ยงเกิดมะเร็ง ทำลายระบบประสาท ลดการทำงานของไต บางรายอาจมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย

5. สารกันเสีย

ได้แก่ สารเคมีกลุ่มพาราเบน เช่น เมทิลพาราเบน (Methylparaben) หรือ โพรพิลพาราเบน (Propylparaben) รวมถึงสารกันหืน BHT (Butylated Hydroxytoluene) และ BHA (Butylated Hydroxyanisole) ที่อาจส่งผลให้อวัยวะภายในร่างกายเสี่ยงเป็นพิษเรื้อรัง ตามมาด้วยอาการปวดหัว อาเจียน และหายใจไม่ออก

เคล็ดลับการเลือกซื้อ ลิปสติก ให้ปลอดภัย

1. เลือกซื้อลิปสติกที่มีมาตรฐานการผลิต

ด้วยปัจจุบัน มีผู้ผลิต ลิปสติก ออกมาจัดจำหน่ายจำนวนมาก การแยกแยะเบื้องต้นว่าเป็นของดีหรือไม่ดี สามารถดูได้จากการพิจารณาว่า ลิปสติกแบรนด์นั้น ๆ มีเครื่องหมายที่รองรับมาตรฐานการผลิตหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น อย. GMP HACCP เนื่องจากล้วนเป็นหน่วยงานหรือองค์กร ที่คอยควบคุมดูแลให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของแบรนด์ ผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอางที่มีมาตรฐานและคุณภาพออกมาจำหน่ายเท่านั้น ดังนั้น ก่อนเลือกซื้อ จึงควรหาเครื่องหมายมาตรฐานการผลิตเหล่านี้ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะดูองค์ประกอบอื่น ๆ ในลำดับถัดไป

2. ส่วนผสม

เมื่อดูว่ามีเครื่องหมายมาตรฐานการผลิตหรือไม่แล้ว ก็มาต่อกันที่ส่วนผสม ซึ่งดังที่กล่าวไปแล้วว่า ลิปสติกนั้น มีสารประกอบที่อาจก่อให้เกิดอันตรายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสารในกลุ่มเรตินอยด์ สารสังเคราะห์วิตามิน E สารที่กลั่นจากปิโตรเลียม สารในกลุ่มโลหะหนัก หรือ สารกันเสีย ซึ่งถ้าหากต้องการลดผลข้างเคียงหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกาย จากการใช้ลิปสติกในระยะยาวแล้วละก็ แนะนำให้เลือกซื้อลิปสติกที่ปราศจากสารเหล่านี้ หรือหันไปใช้ลิปสติกที่มีการผลิตแบบ Organic แทนเลย จะเป็นการดีที่สุด หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ให้เลือกซื้อแบรนด์ลิปสติก ที่มีสัดส่วนของสารเหล่านี้ในปริมาณน้อยที่สุด ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการได้รับผลกระทบทางสุขภาพได้

3. ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์

ปัจจุบัน หลากหลายแบรนด์ ทำการตลาดขายลิปสติก ผ่านออฟไลน์และออนไลน์ โดยเฉพาะช่องทางโซเชี่ยลมีเดีย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออย่างดุเดือด ยิ่งมีการอ้างอิงจากการรีวิวของดารา นักร้อง และอินฟลูเอนเซอร์ ก็ทำให้การสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ลิปสติก เป็นเรื่องง่ายมาก ๆ จนอาจทำให้หลายคนหลงเชื่อได้ง่าย ดังนั้น การเลือกซื้อลิปสติก จึงไม่ควรดูแต่รีวิวจากบุคคลที่มีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ควรดูคอมเม้นต์ รีวิวการใช้งานจากบุคคลทั่วไปร่วมด้วย เพราะถ้าของดีมีคุณภาพจริง ก็จะมีคนเข้ามารีวิวเรื่อย ๆ ในขณะที่ก็ห้ามลืมองค์ประกอบข้างต้น คือ มาตรฐานการผลิตและส่วนผสม เพราะแม้การตลาดจะหลอกเราได้ แต่เรื่องของมาตรฐานการผลิตและส่วนผสม ก็จะช่วยคัดกรองให้เราลดโอกาสเสี่ยงที่จะเจอของคุณภาพแย่ได้ ซึ่งถ้าใครไม่อยากเสี่ยงเลย จะเลือกซื้อแต่ลิปสติกจากแบรนด์เครื่องสำอางที่มีความน่าเชื่อถือ ขายมาหลายสิบปีแล้วไปเลยก็ได้ ไม่ว่ากัน

อยากมีริมฝีปากอวบอิ่ม ดูนุ่ม ชุ่มชื้น อย่าลืมเลือกซื้อลิปสติกที่มีส่วนผสมที่ดี ไม่เป็นอันตรายหรือก่อให้เกิดผลข้างเคียง และมีมาตรฐานการผลิต รวมถึงความน่าเชื่อถือ มาใช้งาน เพียงเท่านี้ คุณก็จะแต่งหน้าสวยได้ทุกวัน พร้อมกับมีริมฝีปากที่ดูสวย โดดเด่น ช่วยให้มั่นใจได้ตลอดทั้งวันแล้ว


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
ไขข้อข้องใจ … ทำไมแหนมถึงกินดิบได้?
ไขข้อข้องใจ … ทำไมแหนมถึงกินดิบได้?
ไขข้อข้องใจ … ทำไมแหนมถึงกินดิบได้?
การรับประทานอาหารดิบนั้นเสี่ยวต่อการเป็นโรคพยาธิ ปวดท้อง อุจจาระร่วง กล้ามเนื้ออักเสบ หายใจไม่สะดวกและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นเราจึงไม่นิยมรับประทานอาหารแบบดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบกันมากนัก แต่มีอาหารอยู่ชนิดหนึ่งที่มักจะเห็นหลายๆ คนรับประทานแบบดิบกันนั่นก็คือ แหนม นั่นเอง

แหนมทำมาจากเนื้อหมูดิบที่ผ่านกระบวนการหมักออกมาให้เราได้รับประทานกัน ซึ่งการหมักนั้นจะเกิดเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคได้หากผ่านการหมักไม่ได้มาตรฐาน แต่หลายๆ คนก็หลงลืมและมองข้ามไปแล้วนำมากินดิบๆ กัน โดยเฉพาะนักดื่มทั้งหลายมักจะนำแหนมมากินดิบเพื่อแกล้มกับเครื่องดื่ม ซึ่งถือว่าเสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วยมาก ดังนั้นเราแนะนำว่าให้เพื่อนๆ รับประทานเมนูแหนมต่างๆ แบบปรุงสุกให้ดีเสียก่อน แต่หลายๆ คนก็บอกว่าชอบรสชาติของการกินดิบมากกว่า จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เราได้กินดิบๆ แบบสะอาดและปลอดภัยเพราะเห็นบางคนก็กินดิบกันแล้วไม่เป็นอันตรายอะไร

หากเพื่อนๆ อยากกินดิบเราแนะนำให้กินแหนมฉายรังสี เพราะแหนมฉายรังสีคือแหนมที่ทำมาเพื่อให้เรากินดิบได้โดยเฉพาะ และควรเลือกยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน อย่าง แหนมสุทธิลักษณ์ ที่ผ่านการฉายรังสี 2 กิโลเกรย์ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยต่อการรับประทานและยังได้รับการรับรองจาก WHO องค์การอนามัยโลก_ FAO องค์การอาหารและเกษตรสหประชาชาติ และ IAEA ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และก็ไม่ต้องกังวลว่าแหนมฉายรังสีจะเป็นอันตราย เพราะว่าปลอดภัยมากๆ แถมยังสะอาดและได้มาตรฐานอีกด้วย

เพียงเท่านี้ก็เห็นแล้วว่าการรับประทานแหนมแบบดิบเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องเลือกแหนมที่ผ่านการฉายรังสีและมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ หากคราวหน้าอยากรับประทานแบบดิบๆ ก็เลือกยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
มาแรง! สินค้าขนม เติบโตสูงในตลาดส่งออก
มาแรง! สินค้าขนม เติบโตสูงในตลาดส่งออก
รัฐบาลชี้ช่องโอกาสส่งออกสินค้าหมวดขนม จีน/ญี่ปุนมาแรง ก.พาณิชย์พร้อมสนับสนุนข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค

วันที่ 21 มีนาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายการตลาดนำการผลิตของรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ ในประเทศที่เป็นตลาดส่งออก เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการผลิตและส่งออกให้กับผู้ประกอบการของไทย ซึ่งกลุ่มสินค้าขนม เป็นหนึ่งในสินค้าหมวดอาหารที่มีโอกาสเติบโตอย่างมากในหลายประเทศ โดยเฉพาะ ในจีน และญี่ปุ่น กอปรกับภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่คนหาสิ่งเพลิดเพลินทำในบ้านแทนการออกไปใช้เวลาในที่สาธารณะ ถือเป็นปัจจัยเสริมการส่งออกในภาพรวมอีกด้วย

นางสาวรัชดา กล่าวว่า การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยผลิตสินค้าให้ตรงกับพฤติกรรมการบริโภค เอาผู้ซื้อเป็นตัวตั้ง เป็นนโยบายหลักของกระทรวงพาณิชย์ และที่ผ่านมา ตัวเลขการส่งออกสินค้าอาหารที่โตขึ้นอย่างมาก สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว ข้อมูลที่น่าสนใจจากการศึกษา อาทิ กลุ่มนักศึกษาจีน กลุ่มเพศหญิงจะนิยม ขนมแป้งเส้นรสเผ็ด ขนมหรืออาหารกระป๋อง และคุกกี้หรือเค้ก กลุ่มเพศชายจะนิยมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถั่ว และผลไม้อบแห้ง เครื่องดื่ม กลุ่มนักศึกษาที่เกิดหลังปี 2000 ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชายนิยมดื่มน้ำผลไม้และชานม ขณะที่

ชาวญี่ปุ่นมีความต้องการสินค้าใหม่ ๆ รองรับสังคมผู้สูงอายุ เช่น ขนมที่มีการพัฒนาเป็น Functional food ที่มีคุณสมบัติการให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เยลลี่เหลวแบบสำหรับดื่มที่ให้พลังงานและเส้นใย หรือขนมที่มีนวัตกรรม เช่น ลูกอมดับกลิ่นปากที่ลดความแรงของมินท์ เพื่อให้เหมาะกับเวลาใส่หน้ากากอนามัย และขนมเคี้ยวหนึบ ที่มีการใช้นวัตกรรมในการผลิต เพื่อสร้างความแปลกใหม่ รวมถึงให้ความสำคัญกับการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผู้ผลิตเปลี่ยนจากการใช้พลาสติกมาเป็นกระดาษมากขึ้น และลดปริมาณบรรจุภัณฑ์มากเกินจำเป็นลงมา เช่น ใช้พลาสติกที่บางลง หรือยกเลิกการใช้ถาดพลาสติก เป็นต้น

สินค้าขนมของไทยมีโอกาสเติบโตในหลายประเทศ ซึ่งในการผลิตต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย โดยเป็นปัจจัยที่ผู้ผลิตผู้ส่งออกไทยจะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก นอกจากนั้น จะต้องพิจารณาใช้บรรจุภัณฑ์และขนาดบรรจุที่เหมาะสมกับแนวโน้มของตลาด รวมทั้งควรติดตามศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมในช่วงนั้น ๆ สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ http://ไปที่..link.. หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169 นางสาวรัชดา กล่าว


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อยากขายของ ในห้าง ต้องอ่าน!
อยากขายของ ในห้าง ต้องอ่าน!
เชื่อแน่ว่าผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs อยากขายของ และอยากจะให้สินค้าของตัวเองมียอดขายพุ่งกระฉุดกันทุกคน แต่ด้วยข้อจำกัดที่มากมายของธุรกิจ SMEs ก็อาจเป็นได้แค่เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าเป็นไปได้ผู้ประกอบการหลายรายก็อยากจะให้สินค้าของตัวเองเข้าไปวางขายบนชั้นวางสินค้าของห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงร้านสะดวกซื้อต่างๆ เพราะจะสามารถเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าได้อย่างแน่นอน

แต่การจะนำสินค้าเข้าไปขายในห้างเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของ SMEs มากนัก ถ้ามีความพยายามและตั้งใจอย่างแน่วแน่ โดยไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ วันนี้ มีเคล็ดลับการขายสินค้าผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงร้านสะดวกซื้อให้ประสบความสำเร็จ มาฝากผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ที่มีสินค้าดี และกำลังมองหาช่องทางการขายเหล่านี้

1.สินค้าต้องมีแบรนด์ ถึงแม้ว่าธุรกิจของคุณจะเป็น SMEs แต่ถ้าอยากจะติดปีกบินไปในท้องฟ้าที่กว้างใหญ่จำเป็นต้องมีแบรนด์สินค้า เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าสามารถจดจำสินค้าของคุณได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อต้องจดจำได้ง่าย และสะท้อนถึงตัวตนสินค้าของคุณ อีกทั้งแพ็คเกจสินค้าต้องโดดเด่นสวยงามมีเอกลักษณ์ ดึงดูดสายตาลูกค้าได้ เพราะช่องการขายขนาดใหญ่เหล่านี้ ไม่ได้มีสินค้าของคุณวางจำหน่ายเพียงแบรนด์เดียว แต่มีสินค้าวางจำหน่ายเป็นจำนวนมาก

2.ต้องสร้างความแตกต่าง หากคุณต้องการขายสินค้าในห้างให้ประสบความสำเร็จ สินค้าของคุณต้องมีความแตกต่างจากแบรนด์อื่น เพราะจะสามารถสร้างความได้เปรียบมากกว่าสินค้าอื่นๆ อีกกว่าร้อยหรือพันรายการ ซึ่งจะเป็นเรื่องยากที่ลูกค้าจะหยิบหรือก้มดูสินค้าถ้าสินค้าของคุณไม่มีความแตกต่าง เพราะโดยพฤติกรรมของลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเดินไปที่สินค้าใหม่ๆ แปลกตา ซึ่งความแตกต่างของสินค้าจะเป็นจุดขายที่จะให้สินค้าคุณสามารถแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ๆ ที่วางขายในช่องทางเดียวกันได้

3.ต้องรักษาคุณภาพสินค้า คุณภาพสินค้าเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องเอาใจใส่มากๆ เรียกได้ว่าจะต้องรักษาเอาไว้ยิ่งชีพเลยก็ว่าได้ เพราะในการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า คงคาดหวังว่าคุณภาพสินค้าที่ซื้อในวันนี้จะเหมือนกันกับที่ซื้อไปเมื่อครั้งก่อน หากคุณรักษาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเอาไว้ก็จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำไปเรื่อยๆ คงไม่มีใครที่จะซื้อสินค้าที่มีคุณภาพแค่เพียงครั้งเดียว อีกทั้งถ้าคุณไม่รักสามารถรักษาคุณภาพสินค้าให้คงที่เหมือนเดิมได้ โอกาสที่สินค้าคุณจะถูกยกเลิกให้ขายในห้างก็มีสูง

4.ต้องส่งสินค้าต่อเนื่อง ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจ SMEs ประสบความสำเร็จและมียอดขายเพิ่มกระฉูดดั่งใจหวัง เพราะการส่งสินค้าเข้าไปวางขายในห้างหรือร้านสะดวกซื้ออย่างต่อเนื่อง จะทำให้ลูกค้ามองเห็นสินค้าของคุณอย่างสม่ำเสมอ คนหนึ่งซื้อไปแล้วคนต่อไปก็สามารถหยิบจับและซื้อต่อได้ด้วย ไม่ใช่ซื้อไปแล้วคนหนึ่ง คนต่อไปต่อไปไม่สามารถหาซื้อได้ ดังนั้น หากคุณสามารถผลิตและส่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่ขาดตลาด ก็จะเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจคุณมียอดขายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังทำให้คู่ค้าที่เป็นช่องทางการขายทั้งหลาย ให้ความไว้วางใจสินค้าของคุณให้ขายในห้างต่อไปได้ แต่ก็มี SMEs หลายรายที่สามารถนำสินค้าเข้าไปขายในช่องทางเหล่านั้นได้ ต้องหลุดจากวงโคจรไป เพราะไม่สามารถผลิตและส่งสินค้าได้ทันเวลาที่กำหนดไว้ได้ หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ ต้องทำการประเมินกำลังการผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อการสั่งซื้อด้วย

5.ต้องมีความสามารถเจรจาต่อรอง หากคุณมีความสามารถในการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าที่เป็นช่องทางการขายขนาดใหญ่แล้ว ก็จะเป็นการเปิดประตูโอกาสให้สินค้าคุณเข้าไปวางขายได้ โดยคุณต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่าสินค้าของคุณดีมีคุณภาพ ลูกค้าซื้อไปแล้วต้องกลับมาซื้อซ้ำอย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้าคุณคิดที่จะนำสินค้าไปขายในช่องทางเหล่านี้ ต้องกล้าที่จะเข้าไปเจรจาต่อรองอย่างสมเหตุสมผล ว่าทำไมสินค้าของคุณจึงเหมาะที่จะขายในห้างหรือร้านสะดวกซื้อ เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาการซื้อขายนั่นเอง สำหรับแบรนด์สินค้าตัวอย่างที่คนพูดถึงกันมาก ที่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับสินค้า จนสามารถเข้าไปวางขายในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11

กระทั่งประสบความสำเร็จและมียอดขายพุ่งกระฉุด เติบโตเป็นบริษัทขนาดใหญ่ก็มี ซึ่งผู้บริโภคหลายๆ คนอาจไม่คิดว่าสินค้าเหล่านี้จะสามารถขายได้ในช่องทางการขายเหล่านี้ นั่นเพราะสินค้าเหล่านี้มีการคิดค้นนวัตกรรมการผลิตที่แตกต่าง แปลกใหม่ บรรจุภัณฑ์สวยงาม มีคุณภาพ รสชาติอร่อย ได้แก่ ข้าวโพดต้ม (แบรนด์ วี คอร์น) เพิ่งเปิดตัวสู่ตลาดได้เพียงแค่ 6 เดือน แตกต่างจากข้าวโพดต้มข้างถนน เก็บได้นานถึง 8 วันในตู้เย็น บรรจุภัณฑ์มีความแปลกใหม่ดึงดูดสายตาผู้บริโภคได้ดี รสชาติอร่อย หวาน หอม ไม่ติดฟัน

กล้วยปิ้ง แบรนด์ Dole กล้วยปิ้ง ปัจจุบันไม่เพียงมีแค่แบบเสียบไม้ขายข้างทาง แต่ถูกยกระดับทำออกมาในรูปแบบสำเร็จรูปวาวขายใน 7-11 บรรจุภัณฑ์สวยงามปลอดภัย ภายในมีน้ำจิ้มให้ด้วย รสชาติอร่อย ถือเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่ แต่เดิมหาซื้อกินได้เฉพาะกลางวัน แต่เดี๋ยวนี้สามารถซื้อกินได้ตลอด 24 ชั่วโมง สาหร่ายอบกรอบทะเล แบรนด์ เถ้าแก่น้อย เป็นสินค้าที่ผู้บริโภครู้จักกันเป็นอย่างดี เติบโตจากธุรกิจ SMEs จนสามารถเข้าตลาดหุ้นได้สำเร็จ โดยเถ้าแก่น้อยสร้างความแตกต่างในตลาดขนมขบเคี้ยวแบบเดิมๆ แม้เริ่มต้นจะผลิตขายในห้างไม่ได้เนื่องจากกระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน

จนทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติอร่อย บรรจุภัณฑ์ที่สวยงามเทียบเท่าญี่ปุ่น กระทั่งสามารถตอบสนองและครองใจผู้บริโภคได้สำเร็จ คุณได้เห็นแล้วว่า หากสามารถนำสินค้าที่ตัวเองผลิตขึ้นมาไปวางขายในห้างหรือร้านสะดวกซื้อต่างๆ ได้ ก็จะเป็นโอกาสในการขยายตลาดให้กับสินค้าของคุณได้มากเลยทีเดียว เพราะช่องทางการขายเหล่านั้นมีมากมายกระจายทั่วประเทศ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสามารถเข้าไปได้ ดังนั้น หากโอกาสนั้นมาถึง คุณต้องรักษาประโยชน์เอาไว้ให้จงได้ครับ

ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..ยากขายของ-ในห้าง-ต้องอ่าน/
อันตราย!! สารฟอร์มาลิน ในอาหารทะเล
อันตราย!! สารฟอร์มาลิน ในอาหารทะเล
ในปัจจุบันมีการตรวจพบ ฟอร์มาลีน ในอาหารทะเลมากมาย และที่น่ากลัวคือในปัจจุบันก็ยังสุ่มตรวจเจออยู่เรื่อย ๆ ผู้ประกอบการมักใช้สารนี้เพื่อรักษาความสดของอาหารเอาไว้ให้ได้นานยิ่งขึ้น เราในฐานะผู้บริโภคก็ควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เอาไว้บ้างนะคะ เพื่อลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคอาหารทะเลที่มีส่วนผสมของสารฟอร์มาลีนทั้งกับตัวเอง ครอบครัว และคนที่คุณรัก

ฟอร์มาลีน คืออะไร?
ฟอร์มาลีนเป็นสารมีพิษใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์ พลาสติก สิ่งทอ และใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา ในปัจจุบันมีการนำมาใช้ในทางที่ผิดเพื่อให้อาหารสดคงความสดอยู่ได้นานไม่เน่าเสียง่าย ส่วนใหญ่จะรู้จักฟอร์มาลินในเชิงการแพทย์ที่เราทราบกันดีว่าเอาไว้ใช้ในการดองศพไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้เป็นยาดับกลิ่นฆ่าเชื้อโรคเพราะทำให้โปรตีนแข็งตัว ทางด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอจะใช้เป็นน้ำยาอาบผ้าไม่ให้ย่น นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราในการเก็บรักษาธัญพืชหลังการเก็บเกี่ยว และใช้เพื่อป้องกันแมลง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร

ส่วนประกอบหลักคือ ฟอร์มาลดีไฮด์ 37% ลักษณะเป็นน้ำใส ไม่มีสี กลิ่นฉุน และมีฤทธิ์ระคายเคือง โดยทั่วไปมีไว้เพื่อการฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ทำให้สิ่งของบางอย่างขึ้นรูปและคงรูปอยู่ ใช้ในอุตสาหกรรม ใช้ในการเกษตร ใช้ในทางการแพทย์ ใช้ในเครื่องสำอาง ซึ่งปัจจุบันมีการนำมาใช้ผิดประเภท คือ ใส่ในอาหารโดยเฉพาะพวกอาหารทะเลที่เน่าเสียไว ซึ่งฟอร์มาลีนก่อให้เกิดอันตรายมากมาย

ฟอร์มาลีนเจือปนในอาหารได้อย่างไร
มีรายงานจากประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น และอิตาลี ว่าในผักผลไม้ บางชนิดและเนื้อสัตว์บางประเภทโดยเฉพาะสัตว์ทะเลและเห็ดหอมมีปริมาณของฟอร์มาลดีไฮด์ในธรรมชาติสูง แต่อยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ฟอร์มาลีนที่มีในธรรมชาติหรือที่มาจากปุ๋ยและสารฆ่าแมลงส่วนใหญ่จะมีปริมาณน้อยมาก คือ ไม่เกิน 1 พีพีเอ็ม (ส่วนในล้านส่วน) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ในขณะที่ฟอร์มาลีนที่จงใจฉีดหรือแช่ในผักหรือเนื้อสัตว์นั้น หากใช้ปริมาณมากเกินไปและมีตกค้างย่อมเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคแน่นอน

ปัจจุบัน ประเทศไทย ตรวจพบบ่อยครั้งว่า มีการใช้ฟอร์มาลีนแช่ผักปลา และเนื้อสัตว์บางอย่างก่อนนำมาขายเพื่อให้มีความสดและไม่เน่าเสียเร็ว เพราะด้วยความไม่รู้ถึงอันตรายของสารชนิดนี้นอกจากนี้ยังนำฟอร์มาลีนมาใช้กับผักหลายชนิด แทนการใช้สารฆ่าแมลง โดยเฉพาะผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกาดหอม ถั่วฝักยาว แตงกวา หน่อไม้ ยอดมะพร้าว และอื่นๆ โดยอ้างว่าใช้ฆ่าแมลงบนผักได้ดีและยังทำให้ผักสดอยู่ได้นานอีกทั้งราคายังถูกกว่าสารฆ่าแมลงชนิดอื่นด้วย นอกจากการปนเปื้อนฟอร์มาลีนจะมาจากการฉีดพ่นผักเพื่อฆ่าแมลงแล้ว บางครั้งฟอร์มาลีนอาจมาจากปุ๋ยก็ได้

ฟอร์มาลีนในอาหารส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย
เมื่อเราทานอาหารที่มีส่วนผสมของฟอร์มาลีนเข้าไป จะส่งผลเสียต่อร่างกายมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณ ซึ่งจริงๆ แค่เราได้กลิ่นก็จะมีอาการฉุน แสบคอ เกิดอาการผิดปกติต่อระบบทางเดินหายใจได้แล้ว บางคนทานเข้าไปจนเกิดอาเจียน เสียเลือดมากจนถึงขั้นเสียชีวิตก็มี เพราะทางเดินอาหารเกิดการไหม้จากสารฟอร์มาลีนที่มีความเป็นกรด หรือเมื่อได้รับในปริมาณที่เข้มข้นก็จะทำให้เลือดเป็นกรด เกิดภาวะช็อก ความดันตก และตามมาด้วยการเสียชีวิต แต่โดยส่วนใหญ่แล้วหากจะเกิดอาการรุนแรงอย่างที่ว่านี้ได้ มักจะมาจากเหตุจงใจหรือการทำร้ายตัวเองมากกว่า

วิธีสังเกตในการเลือกซื้ออาหารสด หรือตรวจสอบว่ามีสารฟอร์มาลีนหรือไม่
อ.นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า ให้เราดูว่าร้านอาหารนั้นๆ มีกลิ่นฉุนของสารเคมีแปลกๆ หรือเปล่า ตัวอย่างเช่น หากเนื้อกุ้งมีทั้งส่วนที่แข็งสด และมีส่วนที่เปื่อยยุ่ยในตัวเดียวกัน แสดงว่าต้องมีการแช่ฟอร์มาลีนมาอย่างแน่นอนให้หลีกเลี่ยงในการซื้อมาบริโภค เพราะหากเป็นอาหารสดต้องสดเสมอกัน ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเปื่อยหรือส่วนใดส่วนหนึ่งแข็งสด

ส่วนใหญ่ ฟอร์มาลีน จะนิยมใส่ในอาหารทะเลสดทั่วไป โดยเฉพาะปลาหมึก และแมงกะพรุน รวมถึงอาหารทะเลประเภทอื่น ๆ เช่น ปลาหมึกกรอบ สไบนาง และเล็บมือนาง เป็นต้น เพราะอาหารเหล่านี้มีการเน่าเสียง่าย ผักก็มีอยู่บ้างแต่นานๆ เราจะเจอสักทีหนึ่ง และอีกวิธีคือใช้ชุดตรวจสารฟอร์มาลีนในอาหาร เมื่อทำครบตามขั้นตอนผลที่ได้ คือ น้ำจะมีสีชมพูแดง แสดงว่าอาหารนั้นมีสารฟอร์มาลีน ก็จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงอาหารสดที่มีสารอันตรายเหล่านีได้อีกทางหนึ่ง เพราะฉะนั้น SGE ขอแนะนำให้ทุกคนตรวจดูก่อนซื้ออาหารทะเลทุกครั้งนะคะ

ฟอร์มาลีน มีประโยชน์อะไรบ้าง
จากการศึกษาข้อมูลเพจมหาลัยมหิดลคณะแพทยศาสตร์ได้ให้ข้อมูลว่า สาร ฟอร์มาลีน จะมีประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมและทางการแพทย์เท่านั้น ห้ามนำมาใส่อาหารเพื่อรักษาสภาพอาหาร ฟอร์มาลีนในทางการแพทย์นั้นใช้ในการดองศพไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้เป็นยาดับกลิ่นฆ่าเชื้อโรคเพราะทำให้โปรตีนแข็งตัว ทางด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอจะใช้เป็นน้ำยาอาบผ้าไม่ให้ย่น นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราในการเก็บรักษาธัญพืชหลังการ เก็บเกี่ยว และใช้เพื่อป้องกันแมลง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร ฟอร์มาลดีไฮด์เป็นสารในกลุ่มอัลดีไฮด์โดยปกติอยู่ในรูปก๊าซเนื่องจากเป็นสารรีดิวซ์ที่รุนแรงจึงเตรียมให้อยู่ในรูป ของสารละลายฟอร์มาลีน ปัจจุบันมีการนำสารนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางทั้งด้านการแพทย์ ด้านอุตสาหกรรม ด้าน ความงาม ด้านการเกษตร และด้านอื่น ๆ ทำให้มีการเจือปนอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา

บทลงโทษสำหรับผู้ประกอบการที่ใช้สารฟอร์มาลีนในอาหาร
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขขอแจ้งว่า ฟอร์มาลีนสามารถเกิดในสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติอยู่แล้วในปริมาณหนึ่ง ซึ่งเทคนิคการตรวจวิเคราะห์ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุความแตกต่างระหว่างฟอร์มาลินที่เกิดตามธรรมชาติ และที่ตั้งใจเติมลงไปในอาหารเพื่อหวังผลในด้านการเก็บรักษาได้ ดังนั้นตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 151 (พ.ศ.2536) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 กำหนดให้สารละลายฟอร์มัลดีไฮด์หรือฟอร์มาลิน เป็นวัตถุห้ามใช้ในอาหาร ผู้ใช้สารนี้กับอาหาร หรือทำให้อาหารนั้นเกิดพิษภัยต่อผู้บริโภค จัดเป็นการผลิต จำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ และถ้าตรวจพบการกระทำดังกล่าว จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20_000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จะเห็นได้ว่าการใช้สารละลายฟอร์มัลดีไฮด์หรือฟอร์มาลินในอาหารไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ยังมีโทษตามกฎหมายด้วย

เป็นอย่างไรบ้างคะ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐฯ อาจจะยังครอบคลุมได้ไม่ทั่วถึง ดังนั้นโอกาสที่เราจะได้รับสารพิษในอาหารทะเลก็คงยังดำเนินต่อไป เพราะฉะนั้นการรู้จักระมัดระวังเลือกบริโภค เลือกซื้อเพื่อสุขภาพของตนเองในระยะยาวกันนะคะ


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
เครื่องหมาย หรือ สัญลักษณ์รับรอง สินค้าออแกนิค
เครื่องหมาย หรือ สัญลักษณ์รับรอง สินค้าออแกนิค
เครื่องหมาย หรือ สัญลักษณ์รับรอง สินค้าออแกนิค
สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายรับรองว่านี่คือออแกนิค จะแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ

ประเภทที่1 ตรามาตรฐานสินค้าอินทรีย์ของประเทศผู้นำเข้าสินค้าอินทรีย์รายใหญ่

1.1ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ IFOAM หรือ IFOAM Accredited

สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Organic Agriculture Movements – IFOAM) ได้จัดทำโครงการรับรองระบบงานเกษตรอินทรีย์ IFOAM (IFOAM Accreditation Program) ภายใต้กรอบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ IFOAM ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกยอมรับเป็นเกณฑ์มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ขั้นต่ำสินค้าอินทรีย์เพื่อการนำเข้า เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกงสิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นต้น

1.2 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป (EU)

การแสดงตรามาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรปที่ถูกต้อง EU_organic_farming_logo_sจะต้องมีเลขรหัสหน่วยงานที่ทำการตรวจรับรองของสหภาพยุโรป ซึ่งระบุประเทศของหน่วยงานผู้ตรวจรับรองกำกับไว้ พร้อมกับระบุประเทศแหล่งที่มาของสินค้าอินทรีย์นั้นๆ ไว้ใต้ตรามาตรฐานด้วย (ดูตัวอย่าง ตรามาตรฐาน EU ของ มกท. ด้านขวามือ) สหภาพยุโรปยังไม่อนุญาตให้ใช้คำว่า 100% Organic หรือ อินทรีย์ 100% บนฉลากสินค้าด้วย ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อื่นที่สหภาพยุโรปยอมรับ ได้แก่ ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แคนาดา (เฉพาะที่ผลิตในประเทศแคนาดา) และระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหรัฐอเมริกา (เฉพาะที่ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา)

1.3 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์สหรัฐอเมริกา (National Organic Program – NOP)

แผนงานเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (NationalOrganic Program – NOP) ดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (United States Department of Agriculture – USDA) โดยระบบการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์นี้เริ่มใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อื่นที่ประเทศสหรัฐอเมริกายอมรับ ได้แก่ ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แคนาดา (จากผู้ผลิตทั่วโลก) และระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป (เฉพาะที่ผลิตในสหภาพยุโรป) โดยการแสดงตรามาตรฐานฯ ที่ยอมรับต้องแสดงคู่กับตรามาตรฐานฯ ของสหรัฐอเมริกาเสมอ

1.4 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์แคนาดา (Canada Organic Regime – COR)

รัฐบาลแคนาดาเริ่มนำาระบบ Canada Organic Regime (COR) ออกบังคับใช้เมื่อปี พ.ศ.2552 ตามระเบียบ Organic Products Regulations_ 2009 โดยมี Canadian Food Inspection Agency (CFIA) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ?การใช้ตรามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แคนาดาที่ถูกต้อง ต้องมีชื่อสินค้า รหัสหน่วยงานที่ทำการตรวจการรับรองที่ออกโดย IOAS พร้อมกับระบุประเทศผู้ผลิต ทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสกำกับไว้ใกล้ๆ ตรามาตรฐานฯ ให้เห็นได้ชัดเจน ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อื่นที่ประเทศแคนาดายอมรับ ได้แก่ ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหรัฐอเมริกา (จากผู้ผลิตทั่วโลก) ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป (เฉพาะที่ผลิตในสหภาพยุโรป) และระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น (เฉพาะที่ผลิตในญี่ปุ่น) เริ่ม 1 ม.ค. พ.ศ. 2558 โดยการแสดงตรามาตรฐานฯ ที่ยอมรับต้องแสดงคู่กับตรามาตรฐานฯ ของแคนาดาเสมอ

1.5 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น (Japanese Agricultural Standard Organic JAS mark)

กำกับดูแลของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ของญี่ปุ่น (Ministry of Agriculture_ Forestry and Fisheries – MAFF) ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อื่นที่ประเทศแคนาดายอมรับ ได้แก่?ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แคนาดา (เฉพาะที่ผลิตในแคนาดา) เริ่ม 1 ม.ค. พ.ศ. 2558 โดยการแสดงตรามาตรฐานฯ ที่ยอมรับต้องแสดงคู่กับตรามาตรฐานฯ ของญี่ปุ่นเสมอ

ประภทที่2 ตรามาตรฐานสินค้าอินทรีย์ของหน่วยงานตรวจรับรองเอกชนต่างประเทศที่ได้รับความนิยมและดำเนินการตรวจรับรองอยู่ในประเทศไทย

2.1 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ไบโออะกิเสิร์ช (Bioagricert)

บริษัท ไบโออะกริเสิร์ช (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นสาขาย่อยของ Bioagricert S.r.I. จากประเทศอิตาลี ผู้ประกอบการต้องได้รับการตรวจรับรองจากบริษัทนี้เท่านั้นจึงจะใช้ตรารับรองนี้ได้

2.2 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์บีเอสซี (BSC KO-GARANTIE GMBH – BSC)

บีเอสซี เป็นบริษัทตรวจรับรองสินค้าอินทรีย์จากประเทศเยอรมันนี มีตัวแทนในประเทศไทยอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ผู้ประกอบการต้องได้รับการตรวจรับรองจากบริษัทนี้เท่านั้นจึงจะใช้ตรารับรองนี้ได้

2.3 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์อีโคเสิร์ช (Ecocert)

อีโคเสิร์ช เป็นบริษัทตรวจรับรองสินค้าอินทรีย์จากประเทศฝรั่งเศส ผู้ประกอบการต้องได้รับการตรวจรับรองจากบริษัทนี้เท่านั้นจึงจะใช้ตรารับรองนี้ได้

2.4 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ ไอเอ็มโอ-คอนโทรล (IMO-Control)

บริษัทไอเอ็มโอ-คอนโทรล เป็นบริษัทตรวจรับรองสินค้าอินทรีย์จากประเทศสวิตเซอน์แลนด์ มีตัวแทนอยู่ในประเทศไทย ผู้ประกอบการต้องได้รับการตรวจรับรองจากบริษัทนี้เท่านั้นจึงจะใช้ตรารับรองนี้ได้

ประภทที่3ตรามาตรฐานสินค้าอินทรีย์ของหน่วยงานไทย

3.1 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ มกท. (Organic Agriculture Certification Thailand – ACT)

นอกจากสัญลักษณ์ ACT-IFOAM Accredited แล้ว มกท. ยังมีระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เฉพาะ ที่จัดทำขึ้นสำหรับตรวจรับรองการผลิตเกษตรอินทรีย์บางประเภทที่เพิ่งเริ่มพัฒนาขึ้นในประเทศและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้เหมาะกับผู้ประกอบการในระยะเริ่มต้น ซึ่งรวมถึง การเลี้ยงสัตว์?การเลี้ยงผึ้ง และการประกอบอาหารสำหรับร้านอาหาร ผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองตามระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ มกท. จะใช้ตราสัญลักษณ์ของ มกท. เป็นตรารับรองมาตรฐาน

3.2 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ – มกอช. (National Bureau of Agricultural Commodity and Food Standards – ACFS)

มกอช. ได้ประกาศใช้ตรามาตรฐาน Organic Thailand เมื่อปี พ.ศ. 2555 และถือเป็นตรามาตรฐานของประเทศไทย แต่ไม่ได้บังคับว่าการนำเข้าสินค้าเกษตรอินทรีย์หรือสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ผลิตในประเทศไทยจะต้องได้รับมาตรฐาน Organic Thailand นี้

3.3 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ องค์กรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือ – มอน. (The Northern Organic Standard Organization)

องค์กรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ภาคเหนือ จัดตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของเกษตรกร ผู้บริโภค นักวิชาการจากองค์กรของรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และผู้สนใจทั่วไป โดยมุ่งหวังจะเป็นองค์กรที่ทำการรับรองผลิตผลของ เกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เกษตรกรและผู้บริโภคว่า ผลิตผลที่ได้รับการรับรองจากองค์กรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์นั้น เป็นผลิตผลที่ปลอดจากสารพิษสารเคมีสังเคราะห์ และยังเอื้อต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงด้วย

3.4 มาตรฐานเกษตรอินทรีย์สุรินทร์ (มก.สร.) พัฒนาขึ้นโดยคณะกรรมการมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จังหวัดสุรินทร์

ตามแนวทางการพัฒนางานเกษตรอินทรีย์ของจังหวัดสุรินทร์ และได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการโครงการเกษตรอินทรีย์จังหวัดสุรินทร์ในปี พ.ศ. 2547 โดยมีมาตรฐานครอบคลุมเฉพาะในเรื่องการผลิตพืช สัตว์อินทรีย์ สัตว์น้ำอินทรีย์ การจัดการเก็บเกี่ยว การแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และปัจจัยการผิลต ทั้งนี้ มก.สร. จะทำกาตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์อินทรีย์ไว้ในทุกขึ้นตอน ตั้งแต่การผลิตในระดับแปลง การนำผลผลิตมาแปรรูป แลจำหน่ายผลิตภัณฑ์

3.5 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพชรบูรณ์ (มก.พช.)

มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพชรบูรณ์ พัฒนาขึ้นจากงานวิจัยของนักวิชาการจากมหาวิทยาลับราบภัฎเพชรบูรณ์ร่วมกับชุมชน เกษตรกร ในปี พ.ศ. 2553-54 เป็นมาตรฐานเฉพาะกลุ่มที่ใช้ตรวจรับรองผู้สมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายเกษตรอินทรีย์เพชรบูรณ์ ในสังกัดสถาบันเศรษฐกิจพอเพียงเครือข่ายเกษตรอินทรีย์เพชรบูรณ์เท่านั้น โดยทางกลุ่มได้ใช้มาตรฐานนี้เป็นมาตรการพัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์เพื่อความพอเพียง มั่งคั่ง ยั่งยืน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร จนเกิดการรวมตัวพัฒนาเป็นเครือข่ายอย่างยั่งยืนเป็นรูปธรรมมาถึงปัจจุบัน

สินค้าที่มีสัญลักษณ์เหล่านี้ปรากฏอยู่ จะมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไว้ใจได้ ผ่านกระบวนการรับรองว่าไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมและมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ถือเป็นเกษตรอินทรีย์ที่มีเกณฑ์การตรวจสอบ ห้ามใช้ GMO_ ห้ามใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช_ ห้ามใช้สารเคมีกำจัดแมลง และห้ามใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์

3.6 ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ ชมรมเกษตรอินทรีย์เกาะพะงัน

เป็นระบบการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบชุมชนรับรอง (Participatory Guarantee System – PGS) ที่พัฒนาขึ้นโดยมูลนิธิสายใยแผ่นดินร่วมกับกลุ่มเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบนเกาะพะงัน เมื่อปี พ.ศ. 2554 ภายใต้โครงการ เกาะพะงัน เกาะเกษตรอินทรีย์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์



ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
ชาใบหม่อนออร์แกนิค แบรนด์ไทยมาตรฐานโลก เชื่อมท่องเที่ยวเกษตร ติดปีกธุรกิจยั่งยืน
ชาใบหม่อนออร์แกนิค แบรนด์ไทยมาตรฐานโลก เชื่อมท่องเที่ยวเกษตร ติดปีกธุรกิจยั่งยืน
จากความเชื่อมั่นว่า เทรนด์รักสุขภาพจะได้รับความใส่ใจจากคนทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ นับเป็นจุดเริ่มต้นให้ กาญจนา คูหากาญจน์ บุกเบิกธุรกิจชาใบหม่อน แบรนด์ KANCHANA เจ้าแรกและเจ้าเดียวใน จ.กาญจนบุรี ที่ได้รับมาตรฐาน ออร์แกนิค ( Organic ) พร้อมเชื่อมต่อภาคการท่องเที่ยวเชิงเกษตร สร้างประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน ยกระดับธุรกิจสู่ความยั่งยืน กาญจนา คูหากาญจน์

กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.เค.อินดัสทรี่ (2000) จำกัด เล่าว่า เมื่อประมาณ พ.ศ.2541 มีแนวคิดอยากจะสร้างธุรกิจใหม่เกี่ยวกับการเกษตร เนื่องจากเห็นศักยภาพของสภาพดินใน จ.กาญจนบุรี มีแร่ธาตุความอุดมสมบูรณ์สูงเหมาะแก่การเพาะปลูก ส่วนเหตุที่เลือกปลูก ชาใบหม่อน เพราะเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมาก ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มกันมานับร้อยๆ ปีแล้ว สามารถตอบเทรนด์รักสุขภาพ ซึ่งเวลานั้น เพิ่งเริ่มได้รับความใส่ใจอย่างจริงจังได้เป็นอย่างดี เบื้องต้น รวบรวมชาวบ้าน ต.เกาะสำโรง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ประมาณ 35 คน ช่วยกันเพาะปลูกชาใบหม่อน หลังได้ผลผลิต เริ่มขายจากจุดเล็กๆ อาศัยตามงานแสดงสินค้าชุมชน

โดยพยายามพัฒนาให้ได้สินค้าดีเลิศเรื่อยมา โดยเฉพาะต้องการยกระดับมาตรฐานให้เป็นชาใบหม่อนอินทรีย์ หรือ ออร์แกนิค เพื่อจะส่งออกสินค้าไปทั่วโลก หลังจากออกตลาดมาประมาณ 2-3 ปี ทำให้เราเห็นโอกาสที่ขยายตลาดไปต่างประเทศได้ โดยสิ่งสำคัญ ต้องยกระดับสู่มาตรฐานออร์แกนิค ซึ่งต้องดำเนินการหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปรับสภาพดิน พัฒนาโรงงาน และเครื่องจักร ซึ่งทางสถาบันการเงินอย่าง ธพว. (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME Development Bank )

มีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ได้เข้ามาสนับสนุนเงินทุน เพราะเห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจของเรา รวมถึง ยังเห็นว่า ธุรกิจของเรามีส่วนสร้างประโยชน์แก่ชุมชนด้วย ทำให้เรามีทุนปรับปรุงโรงงาน และพัฒนาการผลิตชาใบหม่อนออร์แกนิคสำเร็จ ช่วยให้สินค้าเป็นที่ยอมรับในตลาดระดับโลก กาญจนา เผย ด้วยความมุ่งมั่นยกระดับสินค้าให้ได้มาตรฐานยอดเยี่ยม ปัจจุบัน ชาใบหม่อน แบรนด์ KANCHANA คือ ผู้ผลิตชาใบหม่อนเจ้าเดียวในประเทศที่ได้มาตรฐานการผลิตระดับครบถ้วน ทั้งระดับประเทศ และระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นรางวัลชนะเลิศ OTOP Champion ระดับ 5 ดาว

มาตรฐานความปลอดภัยของอาหารที่ยอมรับกันทั่วโลก อย่าง GMP _ HACCP และที่สำคัญ ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ( Organic ) โดยสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Organic Agriculture Movements - IFOAM) ทั้งนี้ สินค้า แบรนด์ KANCHANA มีหลายรูปแบบ ทั้งแบบซอง และผง มีให้เลือกหลายกลิ่น เช่น ชาหม่อนออร์แกนิคต้นตำรับ ผสมดอกคำฝอย ผสมดอกกุหลาบ ผสมดอกมะลิ ผสมมะตูม ผสมดอกคำฝอย เป็นต้น ส่วนช่องทางตลาด ส่งตามร้านสินค้าเพื่อสุขภาพ ร้านสินค้าของฝากต่างๆ ทั่วประเทศ และออกบูธงานแสดงสินค้า รวมถึง ส่งออกต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐ และยุโรป เป็นต้น รวมถึง รับจ้างผลิต (OEM) ให้แก่โรงงานรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ

แม้ธุรกิจจะเติบโตเรื่อยมา แต่จุดที่กาญจนา ประเมินว่า ยังเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจ คือ ยอดขายส่วนใหญ่มาจากส่วนรับจ้างผลิตถึง 80% ขณะที่ ยอดขายภายใต้แบรนด์ตัวเอง มีสัดส่วนเพียง 20% เท่านั้น ดังนั้น แผนธุรกิจที่กำลังมุ่งมั่น ต้องการเชื่อมธุรกิจเกษตรเข้ากับการ ท่องเที่ยวชุมชน โดยจะเนรมิตพื้นที่ไร่ชาใบหม่อนออร์แกนิค เนื้อที่กว่า 40 ไร่ ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รวมถึง ก่อสร้างโชว์รูมเพื่อให้ผู้เข้ามาเที่ยวชม สามารถเลือกหาซื้อสินค้าติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝาก ควบคู่กับออกแบรนด์ใหม่ว่า Mulberry Mellow และ botanique ที่ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์สวยงามหรูหรา ช่วยเพิ่มมูลค่า เพื่อจับตลาดบนโดยเฉพาะ จ.กาญจนบุรี มีศักยภาพการท่องเที่ยวสูงมาก และส่วนตัวดิฉันเชื่อว่า เศรษฐกิจในและต่างประเทศ จะเริ่มขยับดีขึ้นเรื่อยๆ เราจึงกลับมาพิจารณาดูตัวเองว่า มีจุดเด่นใดบ้างที่สามารถพัฒนาขึ้น เพื่อคว้าโอกาสจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดิฉันจึงมองถึงการเชื่อมโยงธุรกิจกับภาคท่องเที่ยว

โดยพัฒนาไร่ปลูกหม่อนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เปิดให้ชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาหารับรู้กระบวนการปลูกหม่อนแบบออร์แกนิค และสามารถซื้อสินค้าโดยตรงจากแหล่งผลิต ช่วยสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน เมื่อการทำเกษตรออร์แกนิคได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ก็จะก่อประโยชน์ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม คาดจะเปิดอย่างเป็นทางการได้ประมาณต้นปี 2562 เจ้าของธุรกิจ ระบุ นับเป็นโมเดลการต่อยอดธุรกิจที่น่าสนใจ ที่จะขับเคลื่อนชาใบหม่อนออร์แกนิคจากเมืองไทยให้เติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน



ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
แปรรูปทำผลิตภัณท์ แนะเกษตรกรปลูกกัญชากัญชง
แปรรูปทำผลิตภัณท์ แนะเกษตรกรปลูกกัญชากัญชง
เกษตรกร ที่ปลูกกัญชา กัญชง ถูกกฎหมาย แนะชาวบ้าน ให้หันมาปลูกกัญชา กัญชง สายพันธุ์ ที่สามารถแปรรูป ในอาหาร ผลิตภัณท์ ทางการแพทย์ และ เครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มมูลค่า และ รายได้

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2565 ที่มาร์ติณฟาร์มกัญ พื้นที่บ้านไผ่สีรุณ ตำบลท่าหลวง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ฟาร์มที่ปลูกพืชกัญชา และ กัญชง ขออนุญาต ปลูกอย่างถูกต้อง ตามกฎหมาย ได้ทดลองปลูกต้นกัญชา ในพื้นที่ฟาร์ม จนประสบความสำเร็จ ให้ผลผลิต ได้ปริมาณตากแห้งถึงต้นละ 500 กรัม หรือ 0.5 กิโลกรัม ซึ่งกัญชา และ กัญชง ที่ปลูก เป็นสายพันธุ์เมล็ด นำเข้าจากต่างประเทศ ที่เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย ที่ให้ผลผลิต มาก

แนะเกษตรกรปลูกกัญชากัญชง แปรรูปทำผลิตภัณท์

นายติณภพ ชื้นขจร เจ้าของมาร์ติณฟาร์มกัญ ระบุว่า ทางฟาร์ม ได้ขออนุญาต ปลูก และ นำเข้าเมล็ด จากประเทศอเมริกา อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งพบว่า สายพันธุ์ที่ปลูก ให้ผลผลิตมาก เหมาะกับสภาพอากาศในเมืองไทย และ มีค่า CBD และ CBG สูง ที่มีศักยภาพในด้านสุขภาพการแพทย์จากธรรมชาติ และ สาร THC ต่ำ ที่มีองค์ประกอบมีฤทธิ์ทางจิตประสาท ตามระเบียบของสาธารณสุข

ในส่วนตลาดของกัญชา และ กัญชง ทางฟาร์ม มองว่า เกษตรกร ที่สนใจปลูก ขออนุญาตปลูก อย่างถูกกฎหมาย และ ควรเลือกสารพันธุ์ที่ได้คุณภาพ จากแหล่งที่ถูกกฎหมาย เนื่องจากจะไม่เสียเวลาการปลูก ในระยะเวลา 4 เดือน ที่ให้ผลผลิต และ ควรที่จะเลือกสารพันธุ์ ที่ มีค่า CBD และ CBG สูง สาร THC ต่ำ จะได้ นำผลผลิตที่ปลูก ส่ง แปรรูป ไปใช้ ในอาหาร ผลิตภัณท์ ทางการแพทย์ และ เครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มมูลค่า และ รายได้ ซึ่งทางฟาร์ม ยังมีผลผลิต จำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ รวมถึงต้นพันธุ์ และ พร้อมยินดี ให้คำปรึกษา กับเกษตรกรที่สนใจ ได้ ที่นายติณภพ ชื้นขจร


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
การทำธุรกิจขายปุ๋ย จะขายปุ๋ยได้ต้องทำอะไรบ้าง กฏการขายปุ๋ย
การทำธุรกิจขายปุ๋ย จะขายปุ๋ยได้ต้องทำอะไรบ้าง กฏการขายปุ๋ย
อยากจะเปิดร้านขายปุ๋ย ยาและเมล็ดพันธ์ ผู้ประกอบการร้านค้าทุกราย ต้องมีใบอนุญาตของกรมวิชาการเกษตรในการขายสารเคมี ปุ๋ยเคมี และพันธุ์พืช จะต้องทำอย่างไรบ้าง วันนี้มีบทความการดำเนินการสำหรับธุรกิจขายปุ๋ยมาฝากค่ะ

การเปิดร้านขายปุ๋ย ยา และเมล็ดพันธุ์พืช ต้องดำเนินการดังนี้
1. ไปจดทะเบียนการค้าร้านค้าของคุณที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ
2. นำสำเนาหลักฐานการจดทะเบียนร้านค้าที่ต้องการจำหน่ายปุ๋ย ยา เมล็ดพันธุ์พืช พร้อมด้วยสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านที่เป็นร้านค้าของคุณไปที่หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร ที่ดูแลพื้นที่ของคุณเพื่อขอใบอนุญาต
3. การจำหน่ายปุ๋ย สามารถดำเนินการอนุญาติได้เลย โดยเสียค่าธรรมเนียม 100 บาท
4. การจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืช สามารถดำเนินการได้เลย โดยเสียค่าธรรมเนียม 100 บาท
5. การจำหน่ายยาป้องกันกำจัดศัตรูพืชผู้ขาย ต้องได้รับการอบรมจากกรมวิชาการเกษตรและเมื่อผ่านการอบรมแล้วจึงจะนำใบ ประกาศนียบัตรมาขอใบอนุญาตขายวัตถุอันตรายทางการเกษตร โดยเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท
6. อายุใบอนุญาตมีเวลา 1 ปี ถ้าจะขายต่อต้องมาต่อใบอนุญาตตามกำหนด
สอบถามเพิ่มดเติมได้ที่กรมวิชาการเกษตร โทร 02 5795016 - 7 และที่ 02 9406670

จะเห็นได้ว่า ธุรกิจการเกษตร ซึ่งเป็นธุรกิจที่อยุ่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ภาครัฐ จึงส่งเสริม ในการทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตร เพราะเป็นสินค้าที่ ส่งออกสำคัญของประเทศ และ สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก รัฐบาล จึงได้จัดตั้ง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) SMEs เพื่อให้บริการและประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับธุรกิจขนาดย่อม ทางบริษัท เอ็ม.ดี ซอฟต์ มีบริการติดตั้งระบบ OpenERP_ บริการพัฒนา Module OpenERP รวมไปถึงการจัดอบรมการใช้งาน Odoo9 เบื้องต้น สำหรับการนำไปใช้งาน ERP ในองค์กร ท่านสามารถที่จะลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมอบรมได้ที่ ลงทะเบียนอบรม Odoo9 ค่ะ หากสนใจสามารถที่จะสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการได้ที่ สอบถามข้อมูลบริการ ได้ค่ะ


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ต้นทุนต่ำ ทำกำไรตัวละ 3 บาทต่อวัน
เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ต้นทุนต่ำ ทำกำไรตัวละ 3 บาทต่อวัน
ไข่ไก่ ถือเป็นสินค้าเกษตรที่มีความต้องการสูง แต่ปริมาณผลผลิตไข่ไก่ในแต่ละวันที่ป้อนเข้าสู่ตลาดก็สูงเช่นกัน เมื่อเทียบกับอัตราการบริโภคเฉลี่ยของคนไทยที่น้อยกว่าปริมาณผลผลิตต่อวัน เรียกว่าโอเวอร์ซัพพลาย เพราะฉะนั้นเมื่ออุปสงค์-อุปทานไม่สมดุลกันเช่นนี้ จึงเป็นที่มาของปัญหาราคาไข่ไก่ตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรต้องแบกรับภาวะขาดทุนอยู่บ่อยครั้ง เป็นสาเหตุทำให้เกษตรกรหลายรายปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยง จากเคยเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดหรือเลี้ยงในกรงตับ เปลี่ยนมาเลี้ยงในระบบเปิดแทน เน้นปล่อยให้หาอาหารกินเองตามธรรมชาติ หรือบางฟาร์มที่พัฒนาไปกว่านั้นคือการเลี้ยงแบบระบบอินทรีย์ เพื่อลดคู่แข่งทางการตลาด เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรักสุขภาพ แถมยังขายไข่ได้ราคาสูงกว่าไข่ที่เลี้ยงในระบบปิดทั่วไปอีกด้วย

คุณศุภกร ชินบุตร หรือ พี่จี๊ป เจ้าของบ้านสวนสานสุข-ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ฮาร์เวสท์ไลฟ์
คุณศุภกร ชินบุตร หรือ พี่จี๊ป เจ้าของบ้านสวนสานสุข-ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ฮาร์เวสท์ไลฟ์ ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 126/10 หมู่ที่ 5 ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี อดีตพนักงานประจำของฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผันตัวทำเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ สร้างระบบหมุนเวียนภายในสวน ลดต้นทุน สร้างรายได้เข้ากระเป๋าทุกวัน

พี่จี๊ป เล่าถึงจุดเริ่มต้นการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ให้ฟังว่า ก่อนที่จะลาออกจากงานประจำตนเองได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วว่าจะทำเกษตรอินทรีย์ แต่ยังไม่เจาะจงว่าจะต้องเลี้ยงไก่ เน้นพุ่งเป้าไปที่การปลูกพืชผสมผสาน ได้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี ก็ต้องประสบกับที่ประเทศไทยอยู่ในภาวะแล้งจัด ไม่มีน้ำสำหรับการเพาะปลูก ซึ่งในตอนนั้นที่สวนได้เลี้ยงไก่ไข่ไว้ ประมาณ 20 ตัว ไว้สำหรับบริโภคในครัวเรือน แต่บริโภคเองยังไงก็บริโภคไม่หมด พี่ที่ทำเกษตรอินทรีย์ด้วยกันจึงแนะนำให้นำเอาไข่ไก่ส่วนที่เหลือไปขาย แล้วได้ผลตอบรับที่ดีมากๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาวิธีการเลี้ยงไก่เพิ่มเติม และเริ่มเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์เป็นอาชีพสร้างรายได้หลักได้เป็นระยะเวลากว่า 6 ปี

สีของเปลือกไข่เป็นสีน้ำตาล เป็นที่ต้องการของตลาด
เจ้าของบอกว่า ปัจจุบันที่ฟาร์มของตนเองเน้นเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์เป็นอาชีพหลักสร้างรายได้ ส่วนการปลูกพืชผสมผสานถือเป็นการสร้างรายได้เสริมเป็นรายปี โดยตอนนี้ที่ฟาร์มเลี้ยงไก่อยู่ประมาณ 900 ตัว จากจุดเริ่มต้นมาจาก 20 ตัว ค่อยๆ ศึกษาทุกเรื่องที่เกี่ยวกับไก่ ทั้งในเรื่องของโรค และการจัดการต่างๆ แล้วจึงค่อยเพิ่มจำนวนการเลี้ยงขึ้น จาก 20 ตัว เพิ่มเป็น 50 ตัว 100 ตัว 400 ตัว จนปัจจุบันเลี้ยงอยู่ 900 ตัว

เลือกเลี้ยงไก่ไข่ สายพันธุ์ไฮบริด มีจุดเด่นคือ ให้ไข่ดก ฟองใหญ่ สีของเปลือกไข่เป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นสีของไข่ไก่ที่ตลาดต้องการ ตอบโจทย์กับตลาดในเมืองไทย

แม่ไก่แข็งแรง สมบูรณ์ ทุกตัว

ได้เวลากินอาหาร
ซึ่งการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เนื่องจากว่าไก่สายพันธุ์นี้ถูกออกแบบมาให้เลี้ยงในระบบโรงเรือนปิดหรือเลี้ยงในกรงตับ แต่พอนำมาเลี้ยงในระบบโรงเรือนเปิด เน้นเลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติเป็นหลัก จำเป็นต้องใช้การดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ มีการแบ่งพื้นที่เลี้ยงในสัดส่วนที่เหมาะสม และได้มาตรฐานสำหรับการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ในพื้นที่ 1 ไร่ เลี้ยงไก่ได้ประมาณ 400 ตัว ประกอบกับในพื้นที่มีการปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นอื่นๆ ไว้เพื่อให้ร่มเงากับไก่ และเจ้าของสวนสามารถเก็บผลผลิตจากไม้ผล ไปขายในการสร้างรายได้เพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง

วิธีการเลี้ยง

ปล่อยให้คุ้ยเขี่ยหาอาหารกินเองตามธรรมชาติ

ถึงเวลาให้อาหารเสริมวิตามินจากธรรมชาติ ทำให้ได้ไข่ไก่ที่มีคุณภาพดี ไม่มีกลิ่นคาว
ที่ฟาร์มเริ่มเลี้ยงไก่ไข่จากลูกเจี๊ยบ ไม่ขังกรง มีพื้นที่ปล่อยให้ไก่สามารถแสดงพฤติกรรมทางธรรมชาติได้ คือการคุ้ยเขี่ยหาอาหารเองตามธรรมชาติ และอาหารที่ใช้เลี้ยงมีแหล่งที่มาเป็นอินทรีย์ทั้งหมด ปราศจากยาปฏิชีวนะ ไม่มีการใช้สารเคมีหรือฮอร์โมนเร่ง แต่จะใช้วิธีให้ผลไม้สุกหรือสมุนไพรตามธรรมชาติเป็นยาแทน ทำให้ได้ไข่ไก่ที่มีคุณภาพดี ไม่มีกลิ่นคาว
ต้องมีโรงเรือนไว้สำหรับให้แม่ไก่หลบแดด หลบฝน ส่วนพื้นที่ปล่อยเป็นพื้นที่ไว้สำหรับให้ไก่ได้ออกกำลังกาย ได้คุ้ยเขี่ยหาอาหาร ได้นอนคลุกฝุ่น จะทำให้ไก่มีสุขภาพที่ดี และหมั่นสังเกตพฤติกรรมของไก่เป็นประจำ

การเอาใจใส่ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลี้ยงสัตว์ทุกชนิด จะเป็นสัตว์บกหรือสัตว์น้ำล้วนแล้วต้องการการเอาใจใส่เหมือนกันเพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคการเกษตรแตกต่างจากภาคอุตสาหกรรมอย่างหนึ่งคือ ภาคอุตสาหกรรมเมื่อเราใส่อินพุตไปเท่าไหร่ เอาต์พุตจะได้ออกมาเท่ากับที่เราคำนวณไว้ แต่ภาคเกษตรกรรมบางทีเราใส่อินพุตเข้าไป แต่เอาต์พุตที่ได้อาจจะติดลบ หรืออาจจะบวกมากกว่าปกติ มันขึ้นอยู่กับทั้งปัจจัยสภาพแวดล้อม กับการดูแลเอาใจใส่ เพราะว่าสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต พอเราไม่เอาใจใส่บางทีเขาก็มีการเจ็บป่วย มีการล้มตาย หรือบางทีทำให้ทั้งฟาร์มเกิดโรคระบาด มันก็ส่งผลเสียในระยะยาว หรือส่งผลเสียทั้งระบบได้ เพราะฉะนั้นเรื่องการเอาใส่ใจ หรือการสังเกตพฤติกรรมของเขาเป็นเรื่องสำคัญ

อาหาร ให้วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลังจากให้อาหารเช้าเสร็จจะมีการล้างทำความสะอาดถังให้น้ำ และเปลี่ยนน้ำให้ไก่ รวมถึงคอยสังเกตสภาพอากาศในแต่ละวัน หากวันไหนอากาศร้อนจะเปิดสปริงเกลอร์รดน้ำบนหลังคาเพื่อช่วยลดอุณหภูมิ หรือช่วงไหนอากาศเย็นจะมีการเปิดไฟในโรงเรือน เพื่อเพิ่มความอบอุ่น หากเป็นช่วงที่ไก่อยู่ในช่วงออกไข่ ที่ฟาร์มจะเริ่มเก็บไข่ตั้งแต่ในช่วงสายถึงเที่ยง เพราะจะเป็นช่วงที่ไข่ออกเยอะ หลังจากเก็บไข่เสร็จจะนำมาเช็ดทำความสะอาด คัดไซซ์ และเตรียมส่งให้ลูกค้า

สูตรอาหารลดต้นทุน ไก่แข็งแรง เน้นใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นหลัก ประกอบไปด้วย 1. ปลายข้าวหรือเปลือกข้าว 50 เปอร์เซ็นต์ 2. เปลือกหอยป่น 5 เปอร์เซ็นต์ 3. ปลาป่น 5 เปอร์เซ็นต์ 4. รำข้าว 10 เปอร์เซ็นต์ 5. สมุนไพร เช่น ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด ขมิ้นชัน สับผสมรวมกัน ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ร่วมกับการให้ผลไม้สุกและหญ้าสดลงไปด้วย

แม่ไก่แข็งแรง สมบูรณ์ ทุกตัว
ระยะเวลาในการเลี้ยง ประมาณ 5-6 เดือน หรือประมาณ 20 สัปดาห์ เริ่มเก็บไข่ได้ในปริมาณเฉลี่ย 60-70 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 500 ฟองต่อวัน หากเทียบกับปริมาณผลผลิตของไก่ที่เลี้ยงเชิงอุตสาหกรรม จำนวนของที่ฟาร์มจะเก็บได้น้อยกว่า เนื่องจากการเลี้ยงในอุตสาหกรรมจะมีการเลี้ยงแบบขังกรง และมีการให้อาหารเสริมเพื่อเร่งให้ไข่ดก มีข้อเสียคือไข่จะมีอายุประมาณ 1-1 ปีครึ่ง เมื่อเทียบกับไก่ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์จะให้ไข่ได้นานถึง 2 ปี ถึงครบกำหนดปลดระวาง

ระบบจัดการ Zero Waste ที่ฟาร์มจะมีจุดเด่นในเรื่องการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนภายในสวน หรือ Zero Waste ทำให้ในแต่ละวันแทบจะไม่มีขยะหรือของเสียออกจากฟาร์มเลย ด้วยวิธีการนำของเสียจากการผลิตสิ่งหนึ่ง ไปเป็นปัจจัยการผลิตอีกสิ่งหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ที่ฟาร์มจะมีการทำนาปลูกข้าวไว้กิน และใช้เป็นวัตถุดิบในการเลี้ยงไก่ จำนวน 7 ไร่ ที่มีกระบวนการหลังจากการทำนาเสร็จ จะมีฟางข้าวและแกลบที่เป็นเปลือกข้าวเหลือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำกลับมาใช้เลี้ยงไก่ได้ทั้งหมด คือนำปลายข้าวหรือรำข้าวมาเป็นอาหารให้ไก่ ส่วนฟางข้าวนำมาเป็นวัสดุรองพื้นหรือทำรังไว้ให้สำหรับแม่ไก่ฟักไข่ได้ทั้งหมด

และส่วนของเสียจากไก่คือมูลไก่ที่ถ่ายผสมออกมากับแกลบ ก็จะนำกลับไปใช้เป็นปุ๋ยในนาข้าว และตอซังจะใช้วิธีการหมักกับมูลไก่แล้วไถกลบ จะไม่มีการเผาเกิดขึ้น และไม่มีการสร้างมลพิษทางอากาศ

ข้อดีที่เห็นได้ชัด คือ

ช่วยลดต้นทุนได้อย่างแน่นอนเพราะว่าปัจจัยการผลิตต่างๆ ที่ต้องซื้อ เช่น ปุ๋ย หรืออาหารสัตว์ นับเป็นต้นทุนทั้งหมด แต่ถ้ามีการจัดสรรพื้นที่ให้พอเหมาะทั้ง 2 ทาง ทั้งการปศุสัตว์และการปลูกพืช แล้วทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในฟาร์มเราแทบจะไม่ต้องซื้อปัจจัยการผลิตจากภายนอกเลย ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงไก่มีค่อนข้างน้อยมากๆ
ทำให้เรารู้ถึงแหล่งที่มาของปัจจัยการผลิต ว่าปัจจัยการผลิตจากฟาร์มไม่ปนเปื้อนสารเคมีหรือไม่ปนเปื้อนสารตกค้างใดๆ ปลอดภัยทั้งกับผู้บริโภค 100 เปอร์เซ็นต์
ต้นทุนการดูแล เฉลี่ยประมาณ 1_800 บาทต่อวัน ราคาขายของไข่อินทรีย์ของที่ฟาร์มจะขายได้ราคาเฉลี่ยฟองละประมาณ 6 บาท ได้ราคาสูงกว่าไข่ที่เลี้ยงในระบบฟาร์มปิด คิดเป็นรายได้ต่อวันประมาณ 3_000 บาท หักต้นทุนออกประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ ตกค่าดูแลตัวละ 3-3.50 บาท ที่เหลือคือกำไร

ความแตกต่างระหว่างไข่อินทรีย์กับไข่ที่เลี้ยงระบบปิด

สีของไข่แดงจะแตกต่างจากไข่ทั่วไปตามท้องตลาด เพราะอาหารที่ใช้เลี้ยงเป็นอาหารจากธรรมชาติ ไม่มีสารเร่งสีไข่แดง จึงทำให้สีของไข่แดงจะออกเหลืองถึงเหลืองส้ม จะไม่ถึงกับส้มแดง
สีของเปลือกมีสีหลากหลาย มีทั้งสีเข้มและสีอ่อนผสมกัน มีผลมาจากการเลี้ยงแบบปล่อย ไก่แต่ละตัวคุ้ยอาหารตามธรรมชาติได้มากน้อยต่างกัน ส่งผลทำให้สีของเปลือกไข่เปลี่ยนไปตามแต่ละวัน ซึ่งข้อนี้จะต้องทำความเข้าใจกับลูกค้าให้เข้าใจด้วย

ไข่ 500 ฟอง ขายหมดทุกวัน
เน้นส่งโรงแรม ร้านอาหาร

พี่จี๊ป อธิบายให้ฟังว่า สำหรับการหาตลาดไม่เฉพาะแค่ไข่ไก่อินทรีย์เท่านั้น แต่รวมไปถึงในส่วนของสินค้าเกษตรอินทรีย์หรือสินค้าเกษตรทางเลือกชนิดอื่นๆ จำเป็นต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายลูกค้าให้ตรงกลุ่ม แล้วค่อยเจาะไปกลุ่มเป้าหมายนั้น โดยตลาดหลักของที่ฟาร์มตอนนี้เน้นส่งสินค้าให้กับโรงแรมและร้านอาหารเป็นหลัก รวมถึงการมีหน้าร้านขายประจำอยู่ที่ตลาดสุขใจสวนสามพราน ขายทุกวันเสาร์-อาทิตย์

ถ้าหากท่านใดสนใจการเลี้ยงไก่ไข่ถือเป็นอาชีพที่น่าสนใจ อย่างผมไม่ได้เลี้ยงแค่ไก่อย่างเดียว แต่ยังมีการปลูกพืชในรูปแบบของเกษตรทางเลือกทุกด้าน ไม่ว่าจะปลูกผักอินทรีย์ ผลไม้อินทรีย์ หรือการแปรรูปจากผลไม้หรือผักอินทรีย์ เพราะผมมองว่าในอนาคตคนจะสนใจในสินค้าทางเลือกมากขึ้น ในเรื่องของเทรนด์รักสุขภาพ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นในการทำเกษตรที่เป็นทางเลือกพวกนี้ มันตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชนในเรื่องของสังคมด้วย เพราะคนสมัยใหม่ไม่ได้มองแค่ตัวสินค้าอย่างเดียว แต่เขามองลึกเข้าไปถึงว่าสินค้าตัวนี้ช่วยอะไรอย่างอื่นเพิ่มได้อีกไหม นอกจากแค่ซื้อกิน แต่สามารถช่วยพัฒนาชุมชน ช่วยพัฒนาสิ่งแวดล้อมด้วยไหม พี่จี๊ป กล่าวทิ้งท้าย


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
3569 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 356 หน้า, หน้าที่ 357 มี 9 รายการ
|-Page 224 of 357-|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | 39 | 40 | 41 | 42 | 43 | 44 | 45 | 46 | 47 | 48 | 49 | 50 | 51 | 52 | 53 | 54 | 55 | 56 | 57 | 58 | 59 | 60 | 61 | 62 | 63 | 64 | 65 | 66 | 67 | 68 | 69 | 70 | 71 | 72 | 73 | 74 | 75 | 76 | 77 | 78 | 79 | 80 | 81 | 82 | 83 | 84 | 85 | 86 | 87 | 88 | 89 | 90 | 91 | 92 | 93 | 94 | 95 | 96 | 97 | 98 | 99 | 100 | 101 | 102 | 103 | 104 | 105 | 106 | 107 | 108 | 109 | 110 | 111 | 112 | 113 | 114 | 115 | 116 | 117 | 118 | 119 | 120 | 121 | 122 | 123 | 124 | 125 | 126 | 127 | 128 | 129 | 130 | 131 | 132 | 133 | 134 | 135 | 136 | 137 | 138 | 139 | 140 | 141 | 142 | 143 | 144 | 145 | 146 | 147 | 148 | 149 | 150 | 151 | 152 | 153 | 154 | 155 | 156 | 157 | 158 | 159 | 160 | 161 | 162 | 163 | 164 | 165 | 166 | 167 | 168 | 169 | 170 | 171 | 172 | 173 | 174 | 175 | 176 | 177 | 178 | 179 | 180 | 181 | 182 | 183 | 184 | 185 | 186 | 187 | 188 | 189 | 190 | 191 | 192 | 193 | 194 | 195 | 196 | 197 | 198 | 199 | 200 | 201 | 202 | 203 | 204 | 205 | 206 | 207 | 208 | 209 | 210 | 211 | 212 | 213 | 214 | 215 | 216 | 217 | 218 | 219 | 220 | 221 | 222 | 223 | 224 | 225 | 226 | 227 | 228 | 229 | 230 | 231 | 232 | 233 | 234 | 235 | 236 | 237 | 238 | 239 | 240 | 241 | 242 | 243 | 244 | 245 | 246 | 247 | 248 | 249 | 250 | 251 | 252 | 253 | 254 | 255 | 256 | 257 | 258 | 259 | 260 | 261 | 262 | 263 | 264 | 265 | 266 | 267 | 268 | 269 | 270 | 271 | 272 | 273 | 274 | 275 | 276 | 277 | 278 | 279 | 280 | 281 | 282 | 283 | 284 | 285 | 286 | 287 | 288 | 289 | 290 | 291 | 292 | 293 | 294 | 295 | 296 | 297 | 298 | 299 | 300 | 301 | 302 | 303 | 304 | 305 | 306 | 307 | 308 | 309 | 310 | 311 | 312 | 313 | 314 | 315 | 316 | 317 | 318 | 319 | 320 | 321 | 322 | 323 | 324 | 325 | 326 | 327 | 328 | 329 | 330 | 331 | 332 | 333 | 334 | 335 | 336 | 337 | 338 | 339 | 340 | 341 | 342 | 343 | 344 | 345 | 346 | 347 | 348 | 349 | 350 | 351 | 352 | 353 | 354 | 355 | 356 | 357 |


โทร 090-592-8614
ไลน์ไอดี @FarmKaset

กลุ่มสินค้าขายดีมาก

ฮิวมิค FK
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ
ไทอะมีทอกแซม
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ
แพนน่อน
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ


กลุ่มทางใบปุ๋ยประสิทธิภาพสูง
*โปรดอ่าน ใช้ FK-1 ในช่วงแรก เพื่อเร่งโต เร่งราก เร่งดอก จับคู่กับ FK-3 ในช่วงเร่งผลผลิต พืชออกผลทุกชนิด ใช้ FK-1 กับ FK-3, นาข้าว ใช้ FK-1 กับ FK-3R (Rice), ไร่อ้อย ใช้ FK-1 กับ FK-3S (Sugarcane), มันสำปะหลัง ใช้ FK-1 กับ FK-3C (Cassava)

FK-1
สั่ง FK-1 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3
สั่ง FK-3 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3S
สั่ง FK-3S กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3R
สั่ง FK-3R กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3C
สั่ง FK-3C กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มอินทรีย์ ปุ๋ย ยาปราบฯ
ที่ขายดีที่สุดบน ลาซาด้า

FKT250-IS250-499B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 1ลิตร
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 3ลิตร
สั่งไอเอส3ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
มาคา
สั่งมาคากับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอกี้-บีที
สั่งไอกี้-บีทีกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L
สั่ง FK-T 1ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK ธรรมชาตินิยม
สั่งFK-T 250ซีซี กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 250ซีซี
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-IS1L-970B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-MAKA-980B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-AiKi-990B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มเคมียาปราบฯประสิทธิภาพสูง

invet
สั่ง อินเวท กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
metalaxyl
สั่ง เมทาแลคซิล กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
carron
สั่ง คาร์รอน กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มปุ๋ยทางใบผสมสูตรเองได้
เว็บระบบคำนวณการผสมปุ๋ย


starfer 30-20-5
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 10-40-10
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 15-5-30
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
maxza
สั่ง แม็กซ่า กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้



บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
Central Laboratory (Thailand) Co.,Ltd.

ให้บริการตรวจวิเคราะห์
ตรวจฉลากโภชนาการ
ตรวจสารสำคัญกัญชา/กัญชง
ตรวจน้ำใช้ในกระบวนการผลิต
ฟอร์มขอใบเสนอราคา
สำหรับตรวจวิเคราะห์อื่นๆ ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (ตรวจวิเคราะห์ได้ทุกอย่าง) โปรดกรอก ฟอร์มขอใบเสนอราคา
ตรวจขึ้นทะเบียนปุ๋ยเคมี
ตรวจสารพิษตกค้างเพื่อการส่งออก
ตรวจผักสดปลอดเชื้อจุลินทรีย์ E. coli, Salmonella spp.
ส่งตัวอย่างมะละกอ เพื่อการทดสอบการดัดแปลงพันธุกรรม
ส่งตัวอย่างเพื่อทดสอบ ปริมาณอะฟลาทอกซินในเมล็ดแมงลัก ลูกเดือย และพริกแห้ง เพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร
Hardline Test Application
ปุ๋ยคุณภาพสูง
พืชทุกชนิด | ปุ๋ยทุเรียน | ปุ๋ยมันสำปะหลัง | ปุ๋ยสำหรับไร่อ้อย | ปุ๋ยนาข้าว | ปุ๋ยยางพารา | ปุ๋ยมะพร้าว | ปุ๋ยข้าวโพด | ปุ๋ยปาล์ม | ปุ๋ยสับปะรด | ปุ๋ยถั่วเหลือง | ปุ๋ยพริกไทย | ปุ๋ยกาแฟ | ปุ๋ยมะนาว | ปุ๋ยส้ม | ปุ๋ยลำไย | ปุ๋ยลิ้นจี่ | ปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่ง | ปุ๋ยกระเจี๊ยบเขียว | ปุ๋ยมังคุด | ปุ๋ยมันฝรั่ง | ปุ๋ยหอมหัวใหญ่ | ปุ๋ยกระเทียม | ปุ๋ยหอมแดง | ปุ๋ยมะเขือเทศ | ปุ๋ยกล้วยไม้ | ปุ๋ยอินทผลัม | ปุ๋ยน้อยหน่า | ปุ๋ยชมพู่ | ปุ๋ยเงาะ | ปุ๋ยมะม่วง | ปุ๋ยมะขาม | ปุ๋ยพริก
ยาอินทรีย์แก้โรคพืช
โรคใบไหม้ | ทุเรียนใบติด | มันสำปะหลังใบไหม้ | โรคอ้อยใบไหม้ | ข้าวใบไหม้ | ยางพาราใบไหม้ | โรคมะพร้าวใบไหม้ | โรคราน้ำค้างข้าวโพด | ปาล์มใบไหม้ | โรคสับปะรด | โรคราน้ำค้างถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟใบไหม้ | ราสนิมมะนาว | ส้มใบไหม้ | ลำไยใบไหม้ | ลิ้นจี่ใบไหม้ | หน่อไม้ฝรั่งลำต้นไหม้ | กระเจี๊ยบเขียวฝักลาย | โรคใบจุดมังคุด | มันฝรั่งใบใหม้ | โรคหอมเลื้อย | โรคใบจุดกระเทียม | โรคหอมแดง | ราแป้งมะเขือเทศ | โรคจุดสนิมกล้วยไม้ | อินทผลัมใบไหม้ | น้อยหน่าดอกร่วง | ชมพู่ใบไหม้ | เงาะใบไหม้ | มะม่วงใบไหม้ | ราแป้งมะขาม | โรคพริก
ยาเคมี กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยทุเรียน | เพลี้ยมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยข้าว | เพลี้ยยางพารา | เพลี้ยมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยสับปะรด | เพลี้ยถั่วเหลือง | เพลี้ยพริกไทย | เพลี้ยกาแฟ | เพลี้ยมะนาว | เพลี้ยส้ม | เพลี้ยลำไย | เพลี้ยลิ้นจี่ | เพลี้ยหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยมังคุด | เพลี้ยมันฝรั่ง | เพลี้ยหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยกระเทียม | เพลี้ยหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยกล้วยไม้ | เพลี้ยอินทผาลัม | เพลี้ยน้อยหน่า | เพลี้ยชมพู่ | เพลี้ยเงาะ | เพลี้ยมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยพริก
ยาเคมี กำจัดโรคพืช
โรคใบไหม้ | โรคทุเรียน | โรคมันสำปะหลัง | โรคอ้อย | โรคข้าว | โรคยางพารา | โรคมะพร้าว | โรคข้าวโพด | โรคปาล์ม | โรคสับปะรด | โรคถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟ | โรคมะนาว | โรคส้ม | โรคลำไย | โรคลิ้นจี่ | โรคหน่อไม้ฝรั่ง | โรคกระเจี๊ยบเขียว | โรคมังคุด | โรคมันฝรั่ง | โรคหอม | โรคกระเทียม | โรคหอมแดง | โรคมะเขือเทศ | โรคกล้วยไม้ | โรคอินทผาลัม | โรคน้อยหน่า | โรคชมพู่ | โรคเงาะ | โรคมะม่วง | โรคมะขาม | โรคพริก
ยาอินทรีย์ กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน | เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยศัตรูข้าว | เพลี้ยแป้งยางพารา | เพลี้ยศัตรูมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยอ่อนปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยแป้งสับปะรด | เพลี้ยอ่อนถั่วเหลือง | เพลี้ยแป้งพริกไทย | เพลี้ยแป้งกาแฟ | เพลี้ยไฟมะนาว | เพลี้ยไฟส้ม | เพลี้ยแป้งลำไย | เพลี้ยแป้งลิ้นจี่ | เพลี้ยไฟหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยจักจั่นฝ้ายกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยไฟมังคุด | เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง | เพลี้ยไฟหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยไฟกระเทียม | เพลี้ยไฟหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยไฟกล้วยไม้ | เพลี้ยแป้งอินทผาลัม | เพลี้ยแป้งน้อยหน่า | เพลี้ยไฟชมพู่ | เพลี้ยแป้งเงาะ | เพลี้ยจักจั่นมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยไฟพริก
สารชีวินทรีย์ กำจัดหนอนต่างๆ
กำจัดหนอนศัตรูพืช | กำจัดหนอนทุเรียน | กำจัดหนอนมันสำปะหลัง | กำจัดหนอนกออ้อย | กำจัดหนอนในนาข้าว | กำจัดหนอนในสวนยางพารา | กำจัดหนอนมะพร้าว | กำจัดหนอนข้าวโพด | กำจัดหนอนปาล์มน้ำมัน | กำจัดหนอนสับปะรด | กำจัดหนอนถั่วเหลือง | กำจัดหนอนพริกไทย | กำจัดหนอนกาแฟ | กำจัดหนอนมะนาว | กำจัดหนอนส้ม | กำจัดหนอนลำไย | กำจัดหนอนลิ้นจี่ | กำจัดหนอนหน่อไม้ฝรั่ง | กำจัดหนอนกระเจี๊ยบเขียว | กำจัดหนอนมังคุด | กำจัดหนอนมันฝรั่ง | กำจัดหนอนหอมหัวใหญ่ | กำจัดหนอนกระเทียม | กำจัดหนอนหอมแดง | กำจัดหนอนมะเขือเทศ | กำจัดหนอนกล้วยไม้ | กำจัดหนอนอินทผาลัม | กำจัดหนอนน้อยหน่า | กำจัดหนอนชมพู่ | กำจัดหนอนเงาะ | กำจัดหนอนมะม่วง | กำจัดหนอนมะขาม | กำจัดหนอนพริก
iLab.work ผู้ใช้บริการตรวจวิเคราะห์ค่าธาตุอาหารใน ดิน น้ำ ปุ๋ย พืช กากอุตสาหกรรม มาตฐาน ISO/IEC 17025


ตรวจง่ายนับ 1 2 3 มาตฐาน ISO/IEC 17025
1.เลือกและคำนวณค่าตรวจที่หน้าเว็บ คลิก
2.ส่งดินเข้าห้อง LAB (ไปรษณีย์,เคอรี่,แฟรช)
3.อ่านผลออนไลน์ (เราจัดส่งต้นฉบับผลวิเคราะห์ ไปตามที่อยู่ที่ให้ไว้เช่นกัน)
→เริ่มกันเลย เลือกค่าที่ต้องการวิเคราะห์
[มีชุดโปรฯแนะนำลดพิเศษ หรือเลือกเองได้]
โรคพริก โรคกุ้งแห้ง โรคแอนแทรคโนสพริก โรคราต่างๆ ใช้ ไอเอส + FKธรรมชาตินิยม
Update: 2564/09/10 02:47:45 - Views: 3526
การป้องกันและกำจัด โรคเหี่ยว จากเชื้อรา ฟิวซาเรียม ในเมล่อน ด้วยสารอินทรีย์
Update: 2566/01/11 09:56:58 - Views: 3478
การป้องกันกำจัด โรคใบจุดในกล้วย
Update: 2566/03/11 12:10:37 - Views: 3421
วิธีปลูกทุเรียนอย่างละเอียด ตั้งแต่การคัดเลือกพันธุ์ ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว
Update: 2564/05/31 08:12:06 - Views: 6222
การทำไร่อ้อย ใน 4 ขั้นตอนหลักๆ
Update: 2563/09/27 20:19:32 - Views: 4126
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ สายพันธุ์พ่อแม่ของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม กรมวิชาการเกษตร
Update: 2564/08/10 11:57:35 - Views: 3487
การรับมือกับโรคเชื้อราในดอกกุหลาบ: วิธีป้องกันและการจัดการ
Update: 2566/11/20 09:09:23 - Views: 3470
ขั้นตอนการปลูกข้าวโพดหวาน วิธีปลูกข้าวโพด การให้น้ำข้าวโพดหวาน
Update: 2563/12/27 09:37:25 - Views: 3871
หนอนชอนใบ หนอนกินใบ หนอนที่พบในไม้ดอกไม้ประดับ ป้องกันกำจัดหนอน ฆ่าหนอน ด้วย ไอกี้-บีที
Update: 2564/03/04 10:53:14 - Views: 3472
การใช้ INVET ผสมปุ๋ยสตาร์เฟอร์ 30-20-5 ฉีดพ่นป้องกันและกำจัดเพลี้ยไฟ ศัตรูพืชสำหรับต้นมะม่วง
Update: 2567/02/22 12:23:56 - Views: 3471
พืชที่เหมาะจะปลูก ในแต่ละภาค ของประเทศไทย ภาคไหน... ปลูกอะไรดี?
Update: 2565/08/16 18:19:27 - Views: 3846
กบแก้ว ตัวใสเหมือนแก้ว
Update: 2565/08/05 17:29:35 - Views: 3443
ปุ๋ยสตาร์เฟอร์ สูตร 15-5-30+3 MgO: เคล็ดลับใหม่สำหรับการขยายขนาดและเพิ่มคุณภาพของมะม่วง
Update: 2567/02/13 13:05:45 - Views: 3548
การรับมือกับโรคใบจุดดำในดอกกุหลาบ: วิธีป้องกันและการรักษา
Update: 2566/11/13 12:49:31 - Views: 3522
เสริมรากและกระตุ้นดอก: วิธีการใช้ปุ๋ยเร่งรากและเร่งดอกสำหรับมะละกอ
Update: 2566/11/21 15:16:51 - Views: 3446
กำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ใน ลิ้นจี่ เร่งฟื้นฟูจากการเข้าทำลายของเชื้อรา ไตรโครเร็กซ์ ปุ๋ยน้ำอะมิโน โดย ไดโนเร็กซ์
Update: 2566/04/20 11:27:06 - Views: 3467
แนวทางป้องกันและควบคุมโรคแอนแทรคโนสในมะละกอ: การรู้จักอาการและวิธีป้องกันโรคที่สำคัญ
Update: 2566/11/14 09:14:45 - Views: 3538
การรับมือกับโรคเชื้อราในต้นผักสลัด: วิธีป้องกันและการดูแลเพื่อสวนผักที่แข็งแรง
Update: 2566/11/18 09:48:07 - Views: 3651
การจัดการหนอนผีเสื้อศัตรูพืช: วิธีแก้ปัญหาและป้องกันความเสียหายในสวนและแปลงปลูก
Update: 2566/11/16 14:22:42 - Views: 3744
แมลงศัตรูพืช ในมันสำปะหลัง เราป้องกันและกำจัดได้อย่างไรบ้าง?
Update: 2563/06/14 16:43:43 - Views: 3627
GA4 © FarmKaset.ORG | สถาบันอนุญาโตตุลาการ : 2022