พิมพ์คำค้นหา หรือลองคลิกตัวอย่าง >
มันสำปะหลัง
,
ข้าว
,
อ้อย
,
ทุเรียน
,
กัญชา
,
ข้าวโพด
,
ปาล์ม
,
ยางพารา
,
อินทผลัม
,
โรคใบไหม้
,
ราสนิม
,
เพลี้ย
,
ยาแช่ท่อนพันธุ์
+ โพสเรื่องใหม่ |
^ เลือกหน้า |
All contents
3582 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 358 หน้า, หน้าที่ 359 มี 2 รายการ
ทำไม? ฮิวมิคFK จึงจำเป็น และมีประโยชน์กับพืชทุกชนิด
**ฮิวมิค FK** (Humic FK) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์กับพืชทุกชนิด เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพดินและเสริมการเจริญเติบโตของพืช โดยมีเหตุผลดังนี้:
### 1. **ปรับปรุงโครงสร้างของดิน** - ฮิวมิค FK ช่วยเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำและอากาศในดิน ทำให้รากพืชได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ - ช่วยลดการจับตัวเป็นดินแข็ง (Compact Soil) โดยเฉพาะในดินเหนียวและดินทราย
### 2. **เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน** - เป็นแหล่งของคาร์บอนอินทรีย์ (Organic Carbon) ที่ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ในดิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายธาตุอาหาร - ช่วยจับธาตุอาหารสำคัญ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ทำให้พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น
### 3. **เสริมการเจริญเติบโตของพืช** - ช่วยกระตุ้นการพัฒนาระบบราก ทำให้รากพืชแข็งแรงและสามารถดูดซึมน้ำและธาตุอาหารได้ดีขึ้น - มีผลต่อการเร่งการแบ่งเซลล์ (Cell Division) และการสร้างคลอโรฟิลล์ ส่งผลให้พืชโตเร็วและให้ผลผลิตสูงขึ้น
### 4. **ลดผลกระทบจากสภาวะแวดล้อม** - ช่วยพืชทนต่อความเครียดจากสภาพแวดล้อม เช่น ความแห้งแล้ง ดินเค็ม และดินเป็นกรด - ลดการสูญเสียธาตุอาหารจากการชะล้างหรือการระเหย
### 5. **เหมาะกับพืชทุกชนิด** - ใช้ได้กับพืชทุกประเภท เช่น - พืชผล: ข้าว_ ข้าวโพด_ มันสำปะหลัง_ อ้อย - พืชผัก: ผักชี_ คะน้า_ แตงกวา - ไม้ผล: ทุเรียน_ มะม่วง_ ส้ม - พืชสวนและไม้ดอก: กุหลาบ_ กล้วยไม้_ ดาวเรือง
### สรุป **ฮิวมิค FK** มีคุณสมบัติช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน เพิ่มธาตุอาหาร และเสริมความแข็งแรงให้พืช ทำให้พืชทุกชนิดเติบโตได้ดีขึ้น ทนต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
---
#ฮิวมิคFK #ประโยชน์ของฮิวมิค #เพิ่มผลผลิตพืช #เกษตรอินทรีย์ #ปรับปรุงดิน #พืชโตไว #เกษตรกรไทย |
กลไกการทำงานของฮิวมิค FK ในการเพิ่มผลผลิตข้าว
### กลไกการทำงานของฮิวมิค FK ในการเพิ่มผลผลิตข้าว
**ฮิวมิค FK** เป็นสารอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบหลักจากกรดฮิวมิก (Humic Acid) และกรดฟุลวิก (Fulvic Acid) ซึ่งสกัดมาจากแหล่งอินทรีย์ธรรมชาติ เช่น ลีโอนาร์ไดต์ (Leonardite) โดยมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและปรับปรุงคุณภาพของดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน **การทำนาข้าว** ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ฮิวมิค FK ช่วยเพิ่มผลผลิตได้จากกลไกดังนี้:
---
### **1. ปรับปรุงโครงสร้างดิน** ฮิวมิค FK มีความสามารถในการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินโดย: - เพิ่มการจับตัวของเม็ดดิน ทำให้ดินโปร่ง ระบายอากาศได้ดี - เพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำและธาตุอาหารในดิน ทำให้ต้นข้าวสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างต่อเนื่อง - ลดความเป็นกรด-ด่างของดิน ทำให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของข้าว
---
### **2. เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหาร** - กรดฮิวมิกช่วยกระตุ้นรากข้าวให้แข็งแรงและขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ดูดซึมธาตุอาหารในดินได้มากขึ้น - ช่วยจับธาตุอาหารสำคัญ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ทำให้พืชได้รับสารอาหารที่เพียงพอสำหรับการสร้างผลผลิต
---
### **3. กระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นข้าว** - กระตุ้นการแบ่งเซลล์และขยายขนาดเซลล์ ทำให้ต้นข้าวโตเร็ว แข็งแรง และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม - ช่วยกระตุ้นการสร้างคลอโรฟิลล์ในใบ ส่งผลให้ข้าวสังเคราะห์แสงได้ดี และสร้างพลังงานเพียงพอสำหรับการสร้างเมล็ด
---
### **4. เพิ่มความต้านทานต่อโรคและแมลง** - ฮิวมิค FK ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของต้นข้าว ลดความเสี่ยงจากโรคและแมลงศัตรูพืช - ทำให้ต้นข้าวสามารถเติบโตในสภาวะที่มีความเครียด เช่น ภัยแล้งหรือสภาพดินที่มีความเค็มสูง
---
### **5. เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเมล็ดข้าว** - ช่วยเพิ่มจำนวนรวงข้าวและน้ำหนักเมล็ด ทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น - เพิ่มความสมบูรณ์ของเมล็ด ลดอัตราเมล็ดลีบ - ช่วยให้ข้าวมีคุณภาพดี เหมาะสำหรับการบริโภคและการแปรรูป
---
### วิธีการใช้ฮิวมิค FK ในการทำนาข้าว 1. **ช่วงเตรียมดิน**: ผสมฮิวมิค FK กับน้ำแล้วฉีดพ่นลงบนพื้นที่นา เพื่อปรับปรุงโครงสร้างดิน 2. **ช่วงปลูกข้าว**: ฉีดพ่นฮิวมิค FK ในอัตราส่วนที่เหมาะสมในช่วงที่ต้นข้าวเริ่มแตกกอ 3. **ช่วงข้าวตั้งท้อง**: ใช้ฮิวมิค FK เพื่อเพิ่มธาตุอาหารและกระตุ้นการสร้างเมล็ด
---
### สรุป **ฮิวมิค FK** ช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวด้วยการปรับปรุงคุณภาพดิน เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหาร และกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นข้าว อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช ส่งผลให้ข้าวมีผลผลิตสูงขึ้น คุณภาพดีขึ้น และเกษตรกรสามารถลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีได้ในระยะยาว
---
#### คำแนะนำการใช้งาน: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือศึกษาวิธีใช้งานจากฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการทำนาข้าวของคุณ
#ฮิวมิคFK #ทำนาข้าว #เพิ่มผลผลิตข้าว #เกษตรอินทรีย์ #ปรับปรุงดิน #ข้าวไทยคุณภาพ #ปุ๋ยฮิวมิค |
ฮิวมิค FK มีประสิทธิภาพในการ เพิ่มผลผลิตมะเขือเทศได้อย่างไร?
ฮิวมิค FK มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิตมะเขือเทศได้ดีเนื่องจากคุณสมบัติสำคัญดังนี้: 1. **กระตุ้นการพัฒนาของระบบราก** ฮิวมิค FK ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินให้เหมาะสม ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากมะเขือเทศ ทำให้รากสามารถดูดซึมธาตุอาหารและน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. **ปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดิน** ฮิวมิค FK มีส่วนช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน ซึ่งช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และความสามารถของดินในการเก็บรักษาน้ำและธาตุอาหาร 3. **เพิ่มความสามารถในการดูดซึมธาตุอาหาร** ฮิวมิค FK มีคุณสมบัติช่วยจับธาตุอาหารสำคัญ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ให้อยู่ในรูปที่พืชดูดซึมได้ง่าย ส่งผลให้มะเขือเทศเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์ 4. **ช่วยลดความเครียดของพืช** ฮิวมิค FK ช่วยเพิ่มความต้านทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น ภาวะแห้งแล้งหรือความชื้นในดินต่ำ ทำให้มะเขือเทศสามารถเติบโตได้ดีแม้ในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย 5. **ส่งเสริมการออกดอกและการติดผล** การได้รับธาตุอาหารอย่างเพียงพอจากการใช้ฮิวมิค FK ทำให้มะเขือเทศมีการพัฒนาดอกและผลที่สมบูรณ์ เพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต หากใช้ควบคู่กับการจัดการปุ๋ยและน้ำอย่างเหมาะสม ฮิวมิค FK จะช่วยเพิ่มผลผลิตมะเขือเทศทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ! |
ฮิวมิค (Humic substances) มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของทุเรียนในหลายด้าน
ฮิวมิค (Humic substances) เป็นสารอินทรีย์ที่เกิดจากการสลายตัวของพืชและสัตว์ในดิน ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของทุเรียนในหลายด้าน โดยฮิวมิคมีคุณสมบัติที่สำคัญในการปรับปรุงคุณภาพดินและส่งเสริมพืช ดังนี้:
### 1. **ปรับปรุงโครงสร้างดิน** ฮิวมิคช่วยเพิ่มความโปร่งและการระบายน้ำในดิน ทำให้ดินมีโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของรากทุเรียน ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมผัสของรากกับธาตุอาหารในดิน
### 2. **เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำ** ฮิวมิคช่วยให้ดินเก็บรักษาน้ำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งหรือพื้นที่ที่มีความชื้นต่ำ ส่งผลให้ทุเรียนสามารถรับน้ำได้อย่างเพียงพอ ช่วยลดความเครียดจากการขาดน้ำ
### 3. **เพิ่มการดูดซึมธาตุอาหาร** ฮิวมิคมีความสามารถในการจับและปล่อยธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืช เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ทำให้ทุเรียนได้รับสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการออกดอกติดผล
### 4. **กระตุ้นการเจริญเติบโตของราก** ฮิวมิคกระตุ้นการพัฒนาของรากฝอย ช่วยให้รากทุเรียนแผ่ขยายและดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อความแข็งแรงของต้นและผลผลิตที่เพิ่มขึ้น
### 5. **เพิ่มความต้านทานต่อโรคและแมลง** ดินที่มีฮิวมิคสูงช่วยสร้างสมดุลในระบบนิเวศของดิน ทำให้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เจริญเติบโตได้ดี ซึ่งช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงที่เป็นศัตรูพืช
### 6. **ส่งเสริมการออกดอกและผลผลิต** การใช้ฮิวมิคอย่างเหมาะสมช่วยปรับปรุงคุณภาพของดอกและผล เช่น ขนาดของผลทุเรียน เนื้อสัมผัส และรสชาติ ช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาด
### การใช้งานฮิวมิคในสวนทุเรียน - **รูปแบบการใช้:** ฮิวมิคสามารถใช้ได้ในรูปของผงละลายน้ำ หรือฮิวมิคเหลว - **วิธีการใช้:** ผสมฮิวมิคในน้ำแล้วฉีดพ่นบริเวณโคนต้น หรือใช้ร่วมกับระบบน้ำหยด - **ปริมาณที่เหมาะสม:** ใช้ตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร
### สรุป ฮิวมิคเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มคุณภาพดิน ส่งเสริมการเจริญเติบโตของราก และช่วยเพิ่มผลผลิตของทุเรียน การใช้ฮิวมิคอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องสามารถช่วยให้เกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและผลกำไรได้อย่างยั่งยืน |
คาดการณ์ราคารับซื้อมะพร้าวในประเทศไทย ปี 2568
**ราคารับซื้อมะพร้าว** ในปี 2568 ราคารับซื้อมะพร้าวในประเทศไทยคาดว่าจะยังคงผันผวนจากปัจจัยหลายด้าน เช่น ผลผลิตภายในประเทศ ความต้องการบริโภค และสถานการณ์ตลาดโลก โดยในปีที่ผ่านมา ราคามะพร้าวน้ำหอมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-15 บาทต่อลูกสำหรับราคาหน้าสวน ซึ่งราคานี้อาจเพิ่มขึ้นได้หากความต้องการในตลาดส่งออกสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากจีนและประเทศในอาเซียน.
**ปริมาณผลผลิตและมูลค่าตลาดในประเทศ** ปริมาณผลผลิตมะพร้าวในประเทศไทยยังมีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอมซึ่งได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันผลผลิตต่อปีอยู่ที่ประมาณ 15-16 ล้านลูกในบางพื้นที่ที่ปลูกเฉพาะ เช่น สมุทรสาคร และราชบุรี ในส่วนของตลาดภายในประเทศ มะพร้าวยังคงมีมูลค่ามากกว่า 30% ของการผลิตรวม โดยมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำมะพร้าว น้ำกะทิ และผลิตภัณฑ์ความงาม.
**มูลค่าการส่งออก** การส่งออกมะพร้าวในปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 128% โดยในปี 2565 มูลค่าการส่งออกแตะ 17_748 ล้านบาท คาดว่าปี 2568 การส่งออกจะเพิ่มขึ้นอีกจากการเติบโตของความต้องการในตลาดจีนและประเทศอื่น ๆ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเลเซีย การคาดการณ์มูลค่าการส่งออกอาจสูงถึง 20_000 ล้านบาท หากการพัฒนาคุณภาพและการขยายตลาดเป็นไปตามแผน.
การลงทุนในด้านการพัฒนาพันธุ์มะพร้าว และการบริหารจัดการระบบการเกษตรสมัยใหม่ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตและการส่งออกมะพร้าวไทยได้ในระยะยาว. |
คาดการณ์ราคารับซื้อกาแฟในประเทศไทย ปี 2568
ราคาเมล็ดกาแฟในประเทศไทยมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณผลผลิตในประเทศและความต้องการตลาดโลกคงที่ โดยกาแฟพันธุ์โรบัสตาในภาคใต้ของไทยยังคงเป็นแหล่งผลิตสำคัญ คาดว่าราคาจะอยู่ในช่วง 60-80 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับคุณภาพและฤดูกาลการเก็บเกี่ยว
**ปริมาณการใช้กาแฟในประเทศ** การบริโภคกาแฟในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการใช้เมล็ดกาแฟในอุตสาหกรรมแปรรูปประมาณ 90_000 ตันต่อปี โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% ต่อปี จากความนิยมในกาแฟพิเศษ (specialty coffee) และกาแฟแปรรูปที่เติบโตในตลาดผู้บริโภค
**มูลค่าตลาดกาแฟในประเทศ** มูลค่าตลาดกาแฟในประเทศไทยครอบคลุมทั้งการผลิต การแปรรูป และการบริโภคในประเทศ โดยในปี 2566 มีมูลค่าการนำเข้ากาแฟรวมกว่า 338 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 11_000 ล้านบาท) ซึ่งมาจากการนำเข้ากาแฟดิบ กาแฟคั่ว และกาแฟสำเร็จรูป
**ปริมาณและมูลค่าการส่งออก** ในปี 2566 ไทยส่งออกกาแฟรวม 125.89 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4_200 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นการส่งออกกาแฟดิบ 255.18 ตัน มูลค่า 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐ_ กาแฟคั่ว 243.23 ตัน มูลค่า 2.75 ล้านเหรียญสหรัฐ_ และกาแฟสำเร็จรูป 24_517.72 ตัน มูลค่า 120.95 ล้านเหรียญสหรัฐ แนวโน้มการส่งออกในอนาคตคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มกาแฟสำเร็จรูปที่เป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศ
สำหรับปี 2568 ทั้งปริมาณการใช้ในประเทศและการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความนิยมในกาแฟไทยและการปรับตัวของผู้ผลิตในการตอบสนองตลาดโลก. |
คาดการณ์ ราคารับซื้อ สับปะรด และ การส่งออกสับปะรด ปี 2568
ในปี 2566 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสับปะรดรายใหญ่ของโลก โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย จีน และสิงคโปร์ โดยข้อมูลระบุว่าราคาส่งออกเฉลี่ยของสับปะรดไทยในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ **811 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน** หรือประมาณ **28_000 บาทต่อตัน** (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ)
### ปริมาณและมูลค่าการส่งออกในปี 2568 (คาดการณ์) 1. **ปริมาณการส่งออก**: หากพิจารณาจากข้อมูลการส่งออกในปี 2566 ที่ประเทศไทยส่งออกสับปะรดมากกว่า 95% ของผลผลิตรวมทั้งหมด คาดการณ์ว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะยังคงมีปริมาณการส่งออกใกล้เคียงกับปัจจุบัน โดยขึ้นอยู่กับผลผลิตรวมประจำปี ซึ่งมีปัจจัยสำคัญจากสภาพภูมิอากาศและความต้องการในตลาดโลก
2. **มูลค่าการส่งออก**: หากราคาส่งออกเฉลี่ยในปี 2568 ไม่เปลี่ยนแปลงมาก คาดว่ามูลค่าการส่งออกสับปะรดของไทยในปีดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณ **30_000 ล้านบาท** ต่อปี โดยพิจารณาจากปริมาณผลผลิตและราคาตลาดที่ค่อนข้างคงที่
### แนวโน้มตลาดในประเทศและส่งออก - ความต้องการสับปะรดสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดในตลาดต่างประเทศยังคงสูง โดยเฉพาะในจีนและกลุ่มประเทศยุโรป - การพัฒนาด้านการเก็บเกี่ยวและกระบวนการผลิต รวมถึงการลดต้นทุนการขนส่ง จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของไทย |
แนวโน้มปาล์มน้ำมันในประเทศไทย ปี 2568 (2025)
1. **ราคาผลปาล์มสด** แนวโน้มราคาผลปาล์มสดในปี 2568 คาดว่าจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่: - **ความต้องการในประเทศ**: การใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงานชีวภาพ (ไบโอดีเซล) ยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายที่สนับสนุนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล B10 และ B20 - **ความต้องการส่งออก**: ประเทศผู้นำเข้าหลัก เช่น อินเดีย จีน และยุโรป มีแนวโน้มเพิ่มความต้องการน้ำมันปาล์มในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิต - **ราคาตลาดโลก**: หากราคาน้ำมันดิบโลกยังคงสูง ความต้องการน้ำมันปาล์มสำหรับพลังงานชีวภาพจะเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อราคาผลปาล์มในประเทศ
ราคาผลปาล์มสดในปี 2568 คาดว่าอาจอยู่ในช่วง **4.50-5.50 บาทต่อกิโลกรัม** ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพผลผลิตและอัตราการสกัดน้ำมัน
2. **มูลค่าการส่งออก** - คาดว่าการส่งออกน้ำมันปาล์มจะมีมูลค่าประมาณ **40_000-45_000 ล้านบาท** เนื่องจากความต้องการน้ำมันปาล์มดิบและผลิตภัณฑ์แปรรูปเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงานของอินเดียและจีน - มาตรฐานด้านความยั่งยืน เช่น RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) จะกลายเป็นข้อกำหนดที่สำคัญในตลาดส่งออก โดยไทยจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานนี้
3. **มูลค่าตลาดในประเทศ** - ตลาดในประเทศคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ **70_000-80_000 ล้านบาท** โดยไบโอดีเซลยังเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นความต้องการ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอางในประเทศยังคงเป็นตลาดสำคัญ
4. **พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน** - พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของประเทศไทยในปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 โดยอยู่ที่ประมาณ **5.2 ล้านไร่** เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการสนับสนุนจากภาครัฐในการปลูกพืชพลังงาน
5. **ปัจจัยเสี่ยงและความท้าทาย** - การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจส่งผลต่อผลผลิตปาล์มน้ำมันโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ - ความผันผวนของราคาตลาดโลก หากประเทศคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซีย มีผลผลิตล้นตลาด - มาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศในยุโรปที่ต้องการลดการใช้น้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์
การเติบโตของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศไทยในปี 2568 จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการผลผลิต การส่งเสริมคุณภาพ และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ |
คาดการณ์ ราคา และ ปริมาณการส่งออก ยางพารา ปี 2568
การคาดการณ์ราคายางพาราในปี 2568 ของไทยยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากปัจจัยภายนอกหลายประการ เช่น ความต้องการจากประเทศจีนที่อาจลดลงและการแข่งขันจากคู่แข่งในอาเซียนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่ได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนของจีน ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าและสามารถส่งออกไปยังจีนได้มากขึ้น.
ในขณะเดียวกัน ราคายางในปี 2568 อาจมีการปรับขึ้นเล็กน้อยจากราคาปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในช่วง 47-60 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการผลผลิตและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน หากไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ราคาน้ำยางสดและยางแผ่นดิบอาจยังคงอยู่ในระดับที่มีการขยับไม่มาก.
คาดการณ์ว่าในปี 2568 การส่งออกยางพาราของไทยอาจจะอยู่ที่ 4.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ เช่น สงครามในยูเครนและการระบาดของโรค แต่การส่งออกก็ยังคงขยายตัวตามการเติบโตในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีฐานประชากรสูง เช่น จีนและอินเดีย
ส่วนในแง่ของมูลค่าการส่งออก คาดว่าผลผลิตยางพาราไทยอาจมีการเติบโตตามความต้องการของอุตสาหกรรมยางในตลาดโลก โดยเฉพาะถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ที่ยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับการส่งออก. |
คาดการณ์ราคาอ้อยและพื้นที่ปลูกในปี 2568
ราคาอ้อย สำหรับปี 2568 ราคาอ้อยมีแนวโน้มยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากข้อมูลในปี 2567 ราคาอ้อยอยู่ที่ประมาณ **1_420 บาทต่อตัน** (ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส.) ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับเกษตรกรในการปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตามองคือสถานการณ์สต็อกน้ำตาลในตลาดโลกที่ยังคงล้นเกินจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อย่างบราซิล อาจส่งผลกดดันต่อราคาน้ำตาลในตลาดโลกและราคาอ้อยในไทย
พื้นที่และผลผลิต ในปี 2568 คาดการณ์ว่าปริมาณอ้อยที่จะเข้าสู่กระบวนการหีบจะเพิ่มขึ้นถึง **92-95 ล้านตัน** จากปี 2567 ที่อยู่ที่ 82 ล้านตัน ผลผลิตเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเนื่องจากปริมาณฝนที่เอื้ออำนวยและการจัดการพื้นที่ปลูกที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ปลูกอ้อยอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่จะสูงขึ้นจากการปรับปรุงการปลูกและการดูแลที่ดีขึ้นของเกษตรกร
สรุป ปี 2568 ถือว่าน่าสนใจสำหรับการปลูกอ้อยเนื่องจากราคายังอยู่ในระดับที่จูงใจและมีแนวโน้มเพิ่มผลผลิตได้ดี แต่เกษตรกรควรเฝ้าระวังปัจจัยตลาดโลกที่อาจกดดันราคาน้ำตาลในระยะยาว พร้อมทั้งบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างรอบคอบ. |
|
|
|
กลุ่มทางใบปุ๋ยประสิทธิภาพสูง
*โปรดอ่าน ใช้ FK-1 ในช่วงแรก เพื่อเร่งโต เร่งราก เร่งดอก จับคู่กับ FK-3 ในช่วงเร่งผลผลิต พืชออกผลทุกชนิด ใช้ FK-1 กับ FK-3,
นาข้าว ใช้ FK-1 กับ FK-3R (Rice), ไร่อ้อย ใช้ FK-1 กับ FK-3S (Sugarcane), มันสำปะหลัง ใช้ FK-1 กับ FK-3C (Cassava)
กลุ่มอินทรีย์ ปุ๋ย ยาปราบฯ
ที่ขายดีที่สุดบน ลาซาด้า
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอสกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอส3ลิตร กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งมาคากับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอกี้-บีทีกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง FK-T 1ลิตร กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งFK-T 250ซีซี กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอสกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
กลุ่มเคมียาปราบฯประสิทธิภาพสูง
สั่ง อินเวท กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง เมทาแลคซิล กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง คาร์รอน กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง แม็กซ่า กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|