พิมพ์คำค้นหา หรือลองคลิกตัวอย่าง >
มันสำปะหลัง
,
ข้าว
,
อ้อย
,
ทุเรียน
,
กัญชา
,
ข้าวโพด
,
ปาล์ม
,
ยางพารา
,
อินทผลัม
,
โรคใบไหม้
,
ราสนิม
,
เพลี้ย
,
ยาแช่ท่อนพันธุ์
+ โพสเรื่องใหม่ |
^ เลือกหน้า |
All contents
3586 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 358 หน้า, หน้าที่ 359 มี 6 รายการ
คาดการณ์ ราคารับซื้อ สับปะรด และ การส่งออกสับปะรด ปี 2568
ในปี 2566 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสับปะรดรายใหญ่ของโลก โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย จีน และสิงคโปร์ โดยข้อมูลระบุว่าราคาส่งออกเฉลี่ยของสับปะรดไทยในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ **811 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน** หรือประมาณ **28_000 บาทต่อตัน** (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ)
### ปริมาณและมูลค่าการส่งออกในปี 2568 (คาดการณ์) 1. **ปริมาณการส่งออก**: หากพิจารณาจากข้อมูลการส่งออกในปี 2566 ที่ประเทศไทยส่งออกสับปะรดมากกว่า 95% ของผลผลิตรวมทั้งหมด คาดการณ์ว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะยังคงมีปริมาณการส่งออกใกล้เคียงกับปัจจุบัน โดยขึ้นอยู่กับผลผลิตรวมประจำปี ซึ่งมีปัจจัยสำคัญจากสภาพภูมิอากาศและความต้องการในตลาดโลก
2. **มูลค่าการส่งออก**: หากราคาส่งออกเฉลี่ยในปี 2568 ไม่เปลี่ยนแปลงมาก คาดว่ามูลค่าการส่งออกสับปะรดของไทยในปีดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณ **30_000 ล้านบาท** ต่อปี โดยพิจารณาจากปริมาณผลผลิตและราคาตลาดที่ค่อนข้างคงที่
### แนวโน้มตลาดในประเทศและส่งออก - ความต้องการสับปะรดสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดในตลาดต่างประเทศยังคงสูง โดยเฉพาะในจีนและกลุ่มประเทศยุโรป - การพัฒนาด้านการเก็บเกี่ยวและกระบวนการผลิต รวมถึงการลดต้นทุนการขนส่ง จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของไทย |
แนวโน้มปาล์มน้ำมันในประเทศไทย ปี 2568 (2025)
1. **ราคาผลปาล์มสด** แนวโน้มราคาผลปาล์มสดในปี 2568 คาดว่าจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่: - **ความต้องการในประเทศ**: การใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงานชีวภาพ (ไบโอดีเซล) ยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายที่สนับสนุนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล B10 และ B20 - **ความต้องการส่งออก**: ประเทศผู้นำเข้าหลัก เช่น อินเดีย จีน และยุโรป มีแนวโน้มเพิ่มความต้องการน้ำมันปาล์มในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิต - **ราคาตลาดโลก**: หากราคาน้ำมันดิบโลกยังคงสูง ความต้องการน้ำมันปาล์มสำหรับพลังงานชีวภาพจะเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อราคาผลปาล์มในประเทศ
ราคาผลปาล์มสดในปี 2568 คาดว่าอาจอยู่ในช่วง **4.50-5.50 บาทต่อกิโลกรัม** ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพผลผลิตและอัตราการสกัดน้ำมัน
2. **มูลค่าการส่งออก** - คาดว่าการส่งออกน้ำมันปาล์มจะมีมูลค่าประมาณ **40_000-45_000 ล้านบาท** เนื่องจากความต้องการน้ำมันปาล์มดิบและผลิตภัณฑ์แปรรูปเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงานของอินเดียและจีน - มาตรฐานด้านความยั่งยืน เช่น RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) จะกลายเป็นข้อกำหนดที่สำคัญในตลาดส่งออก โดยไทยจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานนี้
3. **มูลค่าตลาดในประเทศ** - ตลาดในประเทศคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ **70_000-80_000 ล้านบาท** โดยไบโอดีเซลยังเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นความต้องการ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอางในประเทศยังคงเป็นตลาดสำคัญ
4. **พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน** - พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของประเทศไทยในปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 โดยอยู่ที่ประมาณ **5.2 ล้านไร่** เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการสนับสนุนจากภาครัฐในการปลูกพืชพลังงาน
5. **ปัจจัยเสี่ยงและความท้าทาย** - การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจส่งผลต่อผลผลิตปาล์มน้ำมันโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ - ความผันผวนของราคาตลาดโลก หากประเทศคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซีย มีผลผลิตล้นตลาด - มาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศในยุโรปที่ต้องการลดการใช้น้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์
การเติบโตของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศไทยในปี 2568 จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการผลผลิต การส่งเสริมคุณภาพ และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ |
คาดการณ์ ราคา และ ปริมาณการส่งออก ยางพารา ปี 2568
การคาดการณ์ราคายางพาราในปี 2568 ของไทยยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากปัจจัยภายนอกหลายประการ เช่น ความต้องการจากประเทศจีนที่อาจลดลงและการแข่งขันจากคู่แข่งในอาเซียนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่ได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนของจีน ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าและสามารถส่งออกไปยังจีนได้มากขึ้น.
ในขณะเดียวกัน ราคายางในปี 2568 อาจมีการปรับขึ้นเล็กน้อยจากราคาปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในช่วง 47-60 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการผลผลิตและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน หากไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ราคาน้ำยางสดและยางแผ่นดิบอาจยังคงอยู่ในระดับที่มีการขยับไม่มาก.
คาดการณ์ว่าในปี 2568 การส่งออกยางพาราของไทยอาจจะอยู่ที่ 4.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ เช่น สงครามในยูเครนและการระบาดของโรค แต่การส่งออกก็ยังคงขยายตัวตามการเติบโตในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีฐานประชากรสูง เช่น จีนและอินเดีย
ส่วนในแง่ของมูลค่าการส่งออก คาดว่าผลผลิตยางพาราไทยอาจมีการเติบโตตามความต้องการของอุตสาหกรรมยางในตลาดโลก โดยเฉพาะถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ที่ยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับการส่งออก. |
คาดการณ์ราคาอ้อยและพื้นที่ปลูกในปี 2568
ราคาอ้อย สำหรับปี 2568 ราคาอ้อยมีแนวโน้มยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากข้อมูลในปี 2567 ราคาอ้อยอยู่ที่ประมาณ **1_420 บาทต่อตัน** (ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส.) ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับเกษตรกรในการปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตามองคือสถานการณ์สต็อกน้ำตาลในตลาดโลกที่ยังคงล้นเกินจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อย่างบราซิล อาจส่งผลกดดันต่อราคาน้ำตาลในตลาดโลกและราคาอ้อยในไทย
พื้นที่และผลผลิต ในปี 2568 คาดการณ์ว่าปริมาณอ้อยที่จะเข้าสู่กระบวนการหีบจะเพิ่มขึ้นถึง **92-95 ล้านตัน** จากปี 2567 ที่อยู่ที่ 82 ล้านตัน ผลผลิตเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเนื่องจากปริมาณฝนที่เอื้ออำนวยและการจัดการพื้นที่ปลูกที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ปลูกอ้อยอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่จะสูงขึ้นจากการปรับปรุงการปลูกและการดูแลที่ดีขึ้นของเกษตรกร
สรุป ปี 2568 ถือว่าน่าสนใจสำหรับการปลูกอ้อยเนื่องจากราคายังอยู่ในระดับที่จูงใจและมีแนวโน้มเพิ่มผลผลิตได้ดี แต่เกษตรกรควรเฝ้าระวังปัจจัยตลาดโลกที่อาจกดดันราคาน้ำตาลในระยะยาว พร้อมทั้งบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างรอบคอบ. |
ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2568 ดีไหม ราคามันสำปะหลังเป็นอย่างไร
ในปี 2568 การปลูกมันสำปะหลังยังคงมีโอกาสที่ดี โดยราคามันสำปะหลังในตลาดมีการปรับตามคุณภาพและความต้องการในแต่ละพื้นที่ รายละเอียดราคาล่าสุดสำหรับมันสดและมันเส้น มีดังนี้:
ราคามันสำปะหลังสด
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นครราชสีมา):
มันสดเชื้อแป้ง 30%: 2.60-3.10 บาท/กก.
มันสดเชื้อแป้ง 25%: 2.25-2.60 บาท/กก.
ภาคกลาง: มันสดอาจมีราคาต่ำกว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือเล็กน้อย เนื่องจากต้นทุนการขนส่งไปยังโรงงาน
ราคามันเส้น
โกดังในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา: 6.30-6.35 บาท/กก. ราคานี้เป็นราคามันเส้นที่พร้อมสำหรับการส่งออกและมีคุณภาพสูง ซึ่งสะท้อนความต้องการในตลาดต่างประเทศที่ยังคงเติบโต
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา
ฤดูกาลเก็บเกี่ยว: ราคามันสำปะหลังจะลดลงในช่วงผลผลิตมาก (มกราคม-มีนาคม) และเพิ่มขึ้นเมื่อผลผลิตลดลง (ปลายปี)
คุณภาพผลิตภัณฑ์: การรักษาคุณภาพของมันสดและมันเส้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ราคาสูง
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม แนะนำติดตามผ่านกรมการค้าภายในหรือสมาคมผู้ผลิตมันสำปะหลังในภูมิภาคที่เกี่ยวข้องครับ
|
วิเคราะห์ตลาดทุเรียน แนวโน้มปี 2568
ตลาดทุเรียนในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยประเทศไทยยังคงครองตำแหน่งผู้ส่งออกทุเรียนอันดับหนึ่งของโลก คาดว่าจะส่งออกได้ถึง 1.04 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 57% จากปีก่อนหน้า โดยตลาดหลักยังคงเป็นจีน ซึ่งจะนำเข้าทุเรียนเพิ่มขึ้น 95% จากปี 2563 ส่วนตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง ได้แก่ เกาหลีใต้และไต้หวัน ที่มีการนำเข้าทุเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 50%.
ด้านราคา ทุเรียนหมอนทอง ที่ขายในประเทศคาดว่าจะเฉลี่ยประมาณ 144 บาท/กก. ในปี 2568 ส่วนราคาส่งออกไปจีนอาจพุ่งถึง 379 บาท/กก. หากการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 15%.
อย่างไรก็ตาม ตลาดทุเรียนต้องเผชิญความท้าทายจากคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม ที่เพิ่มศักยภาพการผลิตและส่งออกมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบกับไทยได้ในด้านคุณภาพและมาตรฐาน.
กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับเกษตรกรและผู้ส่งออก คือการขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย และตะวันออกกลาง เพื่อกระจายความเสี่ยง และพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดโลก.
|
5 พืชเศรษฐกิจไทย ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด
5 พืชเศรษฐกิจไทยที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในปี 2566 (มูลค่าเป็นเงินบาท) ได้แก่:
1. ผลไม้ - มูลค่าส่งออกประมาณ 248_500 ล้านบาท (คิดเป็น 25.9% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด) โดยทุเรียนเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนยอดขาย โดยเฉพาะในตลาดจีน
2. ข้าว - มูลค่าส่งออกประมาณ 184_200 ล้านบาท (19.2%) ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวคุณภาพสูง เช่น ข้าวหอมมะลิ ไปยังตลาดโลก
3. มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ - มูลค่าส่งออกประมาณ 132_500 ล้านบาท (13.8%) ส่วนใหญ่ส่งไปยังจีนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และพลังงาน
4. ยางพารา - มูลค่าส่งออกประมาณ 130_400 ล้านบาท (13.6%) โดยเน้นตลาดในเอเชีย เช่น จีน และมาเลเซีย
5. น้ำตาลทราย (จากอ้อย) - มูลค่าส่งออกประมาณ 120_000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลผลิตสำคัญที่มีตลาดหลักในประเทศอาเซียนและเอเชียใต้
ตัวเลขมูลค่าเงินบาทคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2566
|
การปลูกหอมแดง ให้ผลผลิตดี ใช้ ฮิวมิคFK ตามระยะการเจริญเติบโต
**ฮิวมิค FK (เสริมฟลูวิค) กับการดูแลหอมแดง**
ฮิวมิค FK (เสริมฟลูวิค) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและเพิ่มความแข็งแรงให้กับหอมแดงในทุกระยะการเจริญเติบโต โดยมีคุณสมบัติสำคัญดังนี้:
### คุณสมบัติของฮิวมิค FK ที่ช่วยดูแลหอมแดง 1. **กระตุ้นการแตกราก** ฟลูวิคในฮิวมิค FK ช่วยกระตุ้นการพัฒนาของระบบราก ทำให้รากยาว แข็งแรง และสามารถดูดซึมธาตุอาหารจากดินได้ดีขึ้น 2. **เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหาร** ช่วยปรับปรุงการดูดซึมธาตุอาหาร โดยเฉพาะไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ส่งผลให้หอมแดงเติบโตอย่างสมบูรณ์ 3. **ปรับปรุงโครงสร้างดิน** ช่วยปรับปรุงสภาพดินให้ร่วนซุย และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ในชั้นหน้าดิน 4. **เพิ่มความต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช** หอมแดงมีความแข็งแรงมากขึ้น สามารถต้านทานโรคและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดี
### วิธีการใช้ฮิวมิค FK ตามระยะการเจริญเติบโตของหอมแดง - **ระยะเตรียมดิน (ก่อนปลูก)** - ใช้ฮิวมิค FK ในการรดดินหรือผสมกับน้ำเพื่อเตรียมดินก่อนปลูก - ช่วยปรับปรุงสภาพดิน เพิ่มการแตกรากตั้งแต่เริ่มปลูก
- **ระยะเริ่มปลูก (อายุ 7-15 วัน)** - ผสมฮิวมิค FK ในอัตรา 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร - รดหรือพ่นบริเวณโคนต้น ช่วยกระตุ้นการแตกรากและส่งเสริมการเจริญเติบโต
- **ระยะเจริญเติบโต (อายุ 30-45 วัน)** - ผสมฮิวมิค FK ในอัตราเดิม และรดหรือพ่นทุก 7-10 วัน - ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร และส่งเสริมการขยายหัวหอมแดงให้ใหญ่ขึ้น
- **ระยะก่อนเก็บเกี่ยว (อายุ 60-75 วัน)** - ใช้ฮิวมิค FK ต่อเนื่องทุก 7-10 วัน - ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของหัวและคุณภาพของผลผลิต
การใช้งานฮิวมิค FK อย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ จะช่วยให้หอมแดงเติบโตแข็งแรง หัวใหญ่ สมบูรณ์ และมีผลผลิตที่มีคุณภาพสูง. |
การปลูกกระเทียม ให้ได้ผลผลิตดี ด้วยการดูแลให้ ฮิวมิคFK ตามระยะ
ฮิวมิค FK มีส่วนผสมของกรดฮิวมิคและฟลูวิคที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของกระเทียมในทุกระยะ โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญดังนี้: 1. **ปรับปรุงโครงสร้างดิน:** ช่วยเพิ่มความโปร่งของดิน ทำให้รากกระเทียมเจริญเติบโตได้ดี 2. **ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหาร:** เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหารสำคัญ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม 3. **กระตุ้นการแตกราก:** ทำให้รากพืชแข็งแรงและสามารถหาอาหารได้ดีขึ้น 4. **เพิ่มความต้านทานโรค:** ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันพืช ทำให้กระเทียมแข็งแรง 5. **ส่งเสริมผลผลิต:** กระตุ้นการเจริญเติบโตของหัวกระเทียมให้ใหญ่และสมบูรณ์
**ช่วงเวลาการใช้ฮิวมิค FK ตามระยะการเจริญเติบโตของกระเทียม** - **ระยะเริ่มปลูก (1-15 วันหลังปลูก):** ใช้ฮิวมิค FK อัตรา 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร รดหรือพ่นลงดินบริเวณโคนต้น ช่วยกระตุ้นการแตกรากและเพิ่มความแข็งแรงของต้นอ่อน - **ระยะเจริญเติบโตทางลำต้น (30-45 วันหลังปลูก):** ใช้ฮิวมิค FK อัตรา 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร รดหรือพ่นลงดิน ช่วยให้กระเทียมเติบโตอย่างสมบูรณ์ - **ระยะสร้างหัว (60-75 วันหลังปลูก):** ใช้ฮิวมิค FK อัตรา 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร รดหรือพ่นลงดิน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาหัวกระเทียมให้ใหญ่และสมบูรณ์ - **ระยะก่อนเก็บเกี่ยว (90 วันขึ้นไป):** งดการใช้ฮิวมิค FK เพื่อป้องกันการสะสมความชื้นส่วนเกินในดิน
**หมายเหตุ:** - ควรฉีดพ่นหรือรดในช่วงเช้าหรือเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด - ไม่แนะนำให้ฉีดพ่นในช่วงที่กระเทียมเริ่มติดดอกหรือในสภาพดินที่มีน้ำขัง
การใช้ฮิวมิค FK อย่างเหมาะสมจะช่วยให้กระเทียมเจริญเติบโตดี หัวใหญ่ น้ำหนักดี และเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ! |
ดูแลพริกไทย ให้ธาตุอาหารถูกช่วงการเจริญเติบโต ส่งเสริมผลผลิตให้ดีขึ้น
### การใช้ ฮิวมิค FK (เสริมฟลูวิค) และ ปุ๋ยทางใบ FK-1 (สูตร 20-20-20 + Mg Zn) ในการดูแลพริกไทยเพื่อให้เจริญเติบโตดี ผลผลิตสูง
**คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์:**
1. **ฮิวมิค FK (เสริมฟลูวิค)** - ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของราก ทำให้รากแข็งแรง ดูดซึมธาตุอาหารจากดินได้ดี ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพริกไทย
2. **ปุ๋ยทางใบ FK-1 (สูตร 20-20-20 + Mg Zn)** - มีธาตุอาหารหลัก (ไนโตรเจน-ฟอสฟอรัส-โพแทสเซียม) ในสัดส่วนที่เหมาะสม ส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบและต้นให้สมบูรณ์ และมีแมกนีเซียม (Mg) และสังกะสี (Zn) ที่ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ ทำให้ใบเขียวเข้ม กระบวนการสังเคราะห์แสงดีขึ้น เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับพืช
### ช่วงเวลาการใช้ตามระยะการเจริญเติบโตของพริกไทย
#### ระยะเริ่มต้นการเจริญเติบโต (1-3 เดือนแรก) - **ฮิวมิค FK**: ผสม 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร รดลงดินรอบโคนต้น ทุก 15-30 วัน ช่วยให้รากแข็งแรง และเพิ่มความสามารถในการดูดซึมธาตุอาหาร - **ปุ๋ยทางใบ FK-1**: ผสมทั้งสองถุงในน้ำ 20 ลิตร โดยใช้อัตรา 25-50 กรัม/ถุง ฉีดพ่นที่ใบ ทุก 15 วัน ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของใบและลำต้นให้แข็งแรง สมบูรณ์
#### ระยะเติบโตเต็มที่ (4-6 เดือน) - **ฮิวมิค FK**: ผสม 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร รดลงดินรอบโคนต้น ทุก 30 วัน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมอาหารให้กับราก - **ปุ๋ยทางใบ FK-1**: ผสมทั้งสองถุงในน้ำ 20 ลิตร ใช้อัตรา 25-50 กรัม/ถุง ฉีดพ่นที่ใบ ทุก 15 วัน เพื่อเสริมความเขียวและเพิ่มการสังเคราะห์แสงในต้นพริกไทย
#### ระยะก่อนการติดดอก (ช่วงเตรียมดอก) - **ฮิวมิค FK**: ผสม 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร รดลงดิน ทุก 15-30 วัน ช่วยเสริมความแข็งแรงให้รากและเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม - **ปุ๋ยทางใบ FK-1**: ผสมทั้งสองถุงในน้ำ 20 ลิตร ใช้อัตรา 25-50 กรัม/ถุง ฉีดพ่นเฉพาะใบและลำต้น ทุก 15 วัน ช่วยเพิ่มความเขียวเข้มของใบ กระตุ้นการเจริญเติบโตและเพิ่มโอกาสในการสร้างตาดอก
### คำแนะนำเพิ่มเติม ควรหลีกเลี่ยงการฉีดพ่น **ปุ๋ยทางใบ FK-1** ขณะพริกไทยกำลังติดดอก เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาดอกและผล
การดูแลพริกไทยด้วย **ฮิวมิค FK** และ **ปุ๋ยทางใบ FK-1** ตามระยะที่เหมาะสมนี้ จะช่วยให้พริกไทยโตไว แข็งแรง ใบเขียวเข้ม สามารถให้ผลผลิตที่ดีและต่อเนื่อง |
|
|
|
กลุ่มทางใบปุ๋ยประสิทธิภาพสูง
*โปรดอ่าน ใช้ FK-1 ในช่วงแรก เพื่อเร่งโต เร่งราก เร่งดอก จับคู่กับ FK-3 ในช่วงเร่งผลผลิต พืชออกผลทุกชนิด ใช้ FK-1 กับ FK-3,
นาข้าว ใช้ FK-1 กับ FK-3R (Rice), ไร่อ้อย ใช้ FK-1 กับ FK-3S (Sugarcane), มันสำปะหลัง ใช้ FK-1 กับ FK-3C (Cassava)
กลุ่มอินทรีย์ ปุ๋ย ยาปราบฯ
ที่ขายดีที่สุดบน ลาซาด้า
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอสกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอส3ลิตร กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งมาคากับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอกี้-บีทีกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง FK-T 1ลิตร กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งFK-T 250ซีซี กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอสกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
กลุ่มเคมียาปราบฯประสิทธิภาพสูง
สั่ง อินเวท กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง เมทาแลคซิล กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง คาร์รอน กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง แม็กซ่า กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|