💧 รู้หรือไม่? การให้น้ำผิดเวลา ลดผลผลิตได้ถึง 30% –...
👤
โดย: JANE FK
📅
2025-10-08 10:53:28
🌐
1.1.245.21
💧 รู้หรือไม่? การให้น้ำผิดเวลา ลดผลผลิตได้ถึง 30% – เทคนิคให้น้ำแบบมืออาชีพที่ควรรู้
🔍 บทนำ
น้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของการเจริญเติบโตของพืช แต่สิ่งที่เกษตรกรจำนวนมากยังมองข้ามคือ “ช่วงเวลาในการให้น้ำ” งานวิจัยจากกรมวิชาการเกษตร (2566) ชี้ว่า การให้น้ำในเวลาที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ผลผลิตลดลงถึง **20–30%** โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย มะม่วง และทุเรียน ซึ่งล้วนไวต่อการเปลี่ยนแปลงของความชื้นในดินและอุณหภูมิในแต่ละช่วงเวลา
🌡️ ทำไมการให้น้ำ “ผิดเวลา” ถึงลดผลผลิตได้จริง
ในช่วงสายถึงบ่าย (ประมาณ 10.00–15.00 น.) แสงแดดจัดและอุณหภูมิสูง ทำให้การระเหยของน้ำจากผิวดินและใบพืชเพิ่มขึ้นอย่างมาก ข้อมูลจาก FAO (2020) พบว่า น้ำที่ให้ในช่วงนี้สูญเสียไปกับการระเหยมากถึง **40%** ซึ่งหมายความว่าพืชได้รับน้ำจริงๆ เพียงครึ่งหนึ่งของที่ให้ไป นอกจากนี้ยังส่งผลให้รากพืชดูดซึมน้ำได้ช้าลง เกิดความเครียดจากความร้อน (heat stress) ทำให้กระบวนการสังเคราะห์แสงลดลงและส่งผลต่อการสร้างผลผลิตโดยตรง
ในทางกลับกัน การให้น้ำในตอนกลางคืนก็มีข้อเสียเช่นกัน เพราะเมื่อดินอุ้มน้ำมากในช่วงที่อุณหภูมิต่ำ จะทำให้การถ่ายเทอากาศในดินลดลง รากขาดออกซิเจน และเกิดโรครากเน่าได้ง่าย โดยเฉพาะในพืชหัว เช่น มันสำปะหลัง หรือพืชสวนอย่างทุเรียนและลำไย
🕕 เวลาให้น้ำที่ “เหมาะสมที่สุด” ตามหลักวิทยาศาสตร์
ผลการทดลองจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2565) ระบุว่า แปลงทดลองที่ให้น้ำในช่วงเช้า ระหว่างเวลา **05.30–08.00 น.** ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงกว่าการให้น้ำตอนบ่ายถึง **27.6%** สาเหตุเพราะอุณหภูมิต่ำ การระเหยของน้ำต่ำ และพืชสามารถดูดซึมน้ำได้เต็มที่ก่อนอากาศร้อนจัด
ส่วนช่วงเย็นระหว่าง **17.00–18.30 น.** ก็เหมาะกับพืชใบ เช่น ผักกาด ผักชี หรือพืชกินใบ เพราะพืชจะได้รับความชื้นเพียงพอในการฟื้นตัวหลังผ่านวันร้อนๆ โดยไม่กระทบต่อการหายใจของรากในเวลากลางคืน
🌿 เทคนิคให้น้ำแบบ “มืออาชีพ” ที่เกษตรกรยุคใหม่ควรรู้
1. **ติดตั้งระบบให้น้ำอัตโนมัติ (Timer Control)**
การควบคุมเวลาการให้น้ำแบบตั้งอัตโนมัติช่วยให้ปริมาณและเวลาการให้น้ำสม่ำเสมอ ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ และสามารถตั้งเวลาให้น้ำได้ในช่วงที่เหมาะสมที่สุดโดยไม่ต้องเฝ้า (Kasetsart Research Journal, 2022)
2. ใช้ระบบน้ำหยดหรือมินิสปริงเกลอร์
ระบบเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำได้ถึง 90–95% เมื่อเทียบกับการรดน้ำแบบราด (FAO, 2021) เพราะน้ำจะซึมตรงบริเวณรากพืช ลดการสูญเสียจากการระเหย
3. ติดตั้งเซนเซอร์วัดความชื้นในดิน (Soil Moisture Sensor)
การใช้เทคโนโลยีวัดความชื้นจะช่วยให้รู้ว่าพืชต้องการน้ำเมื่อใด ป้องกันทั้งภาวะขาดน้ำและน้ำขัง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคในระบบราก (กรมพัฒนาที่ดิน, 2566)
4. คลุมดินด้วยวัสดุธรรมชาติ (Mulching)
เช่น ฟางข้าว หรือใบไม้แห้ง การคลุมดินช่วยลดการระเหยของน้ำในดินได้มากถึง 50% (Department of Agriculture, 2023) และยังช่วยควบคุมอุณหภูมิของดินให้เหมาะสมต่อการทำงานของจุลินทรีย์ในดิน
5. ใช้น้ำหมุนเวียน (Reuse Water)
โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดเล็กหรือเกษตรผสมผสาน การนำน้ำที่ผ่านการกรองกลับมาใช้ใหม่ ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำอย่างยั่งยืน
📈 ผลลัพธ์ที่ได้จากการให้น้ำอย่างถูกวิธี
* เพิ่มผลผลิตเฉลี่ยของพืชได้ถึง **15–30%**
* ลดปริมาณการใช้น้ำลง **20–40%**
* ลดปัญหาโรครากเน่า ดินแน่น และภาวะขาดน้ำ
* ระบบรากแข็งแรงขึ้น ดูดซึมปุ๋ยได้ดีขึ้น
* พืชมีความทนทานต่อสภาพอากาศร้อนและแล้ง
🧩 บทสรุป
การให้น้ำพืชอย่างถูกเวลาและถูกวิธีไม่ใช่แค่เรื่องของความเคยชิน แต่คือ “ศาสตร์การจัดการน้ำเชิงวิทยาศาสตร์” ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนได้จริง เกษตรกรที่ปรับระบบให้น้ำให้สอดคล้องกับธรรมชาติของพืชและสภาพอากาศ จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงกว่าเดิม และยังช่วยลดการสูญเสียน้ำซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในภาคเกษตรของไทย
📚 เอกสารอ้างอิง (References)
* กรมวิชาการเกษตร. (2566). *คู่มือการจัดการน้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตพืชเศรษฐกิจ*.
* กรมพัฒนาที่ดิน. (2566). *เทคโนโลยีการวัดความชื้นดินเพื่อการให้น้ำอย่างแม่นยำ*.
* FAO. (2020). *Irrigation Scheduling and Water Use Efficiency*.
* Kasetsart Research Journal. (2022). *Smart Irrigation System for Crop Productivity*.
* Department of Agriculture. (2023). *Mulching and Soil Moisture Conservation in Tropics*.
#เทคนิคให้น้ำพืช #จัดการน้ำเกษตร #ให้น้ำผิดเวลาผลผลิตลด #ระบบน้ำหยด #เกษตรอัจฉริยะ #เพิ่มผลผลิตพืช #ฟื้นฟูดินและน้ำ #เคล็ดลับเกษตรกรยุคใหม่ #วิธีให้น้ำอย่างถูกต้อง #เกษตรไทยยั่งยืน
❤️