แมลงศัตรูพืชดื้อยา: ปัญหาที่หนักขึ้นทุกปี...
👤
โดย: JANE FK
📅
2025-12-06 09:45:28
🌐
113.53.194.175
แมลงศัตรูพืชดื้อยา: ปัญหาที่หนักขึ้นทุกปี และวิธีรับมือแบบไม่เพิ่มต้นทุน
บทนำ: ทำไมปัญหาแมลงดื้อยาถึงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ?
ปัจจุบันเกษตรกรไทยพบปัญหาแมลงศัตรูพืช “ไม่ตาย” หลังพ่นสาร ทั้งที่เข้มข้นเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจาก การดื้อสารเคมีกำจัดแมลง (Insecticide Resistance) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่แมลงปรับตัวให้ทนต่อสารเคมีได้ดียิ่งขึ้น และปัญหานี้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5–10% ต่อปี ตามรายงานจากสถาบันวิจัยเกษตรหลายประเทศ
สาเหตุหลักที่ทำให้แมลงดื้อยาเร็วขึ้น
1) พ่นสารซ้ำตัวเดิมนานเกิน 2–3 ครั้ง
แมลงจะคัดเลือกสายพันธุ์ที่ทนยาได้เร็วที่สุด ทำให้สารตัวเดิมเสื่อมประสิทธิภาพลงเรื่อย ๆ
2) ใช้ “ปริมาณไม่ถูกต้อง” ทั้งน้อยเกินหรือมากเกิน
* น้อยเกิน → ฆ่าไม่หมด แมลงฟื้นตัว
* มากเกิน → แมลงบางกลุ่มรอดและแพร่พันธุ์แบบแข็งแรงกว่าเดิม อีกทั้งเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น
3) พ่นตอนอากาศไม่เหมาะสม
ลมแรง แดดจัด หรือฝนทำให้ประสิทธิภาพลดลง เกิดดื้อยาโดยไม่รู้ตัว
4) เลือกสารกลุ่มซ้ำซ้อน (Mode of Action เดิม)
กลไกเดิม = แมลงจำสูตรได้ ระบบประสาทหรือเอนไซม์ปรับตัวรับมือได้ ทำให้ดื้อยาเร็วมาก
ผลกระทบของแมลงดื้อยา (พิสูจน์โดยงานวิจัย)
• ผลผลิตลดลง 20–60%
• ต้นทุนค่าสารเคมีเพิ่มขึ้น 15–40%
• ต้องพ่นบ่อยขึ้น จนเสียทั้งเวลาและค่าแรง
• เสี่ยงตกค้าง ทำให้ขายไม่ได้ในตลาดส่งออก
งานวิจัยจาก FAO ระบุว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูญเสียมูลค่ากว่า **1,500 ล้านดอลลาร์ต่อปี** จากปัญหาดื้อสารเคมีในแมลงศัตรูพืช โดยเฉพาะเพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ หนอนกระทู้ และหนอนใยผัก
วิธีรับมือ “แมลงดื้อยา” แบบไม่เพิ่มต้นทุน
หัวใจคือ ปรับวิธี ใช้หลัก IPM (Integrated Pest Management) แบบเกษตรประหยัดต้นทุน
1) สลับสารตามกลุ่มฤทธิ์ (MOA) ทุกครั้งที่พ่น
ไม่ใช่แค่สลับยี่ห้อ แต่ต้อง สลับกลุ่มสาร เช่น
* กลุ่ม 1A / 1B
* กลุ่ม 3A
* กลุ่ม 4A / 4C
* กลุ่ม 5
* กลุ่ม 28
การสลับกลุ่มช่วยลดโอกาสที่แมลงจะปรับตัวได้เกือบ 70% จากงานวิจัยของ IRAC
ต้นทุน: เท่าเดิม
เพราะใช้ปริมาณเท่าที่เหมาะสม ไม่ต้องเพิ่มความเข้มข้น
2) พ่นตอนแมลงอ่อนวัย (Larva/Instar แรก)
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยพืชสวน พบว่าแมลงวัยอ่อนตายง่ายกว่า 3–8 เท่า
→ ลดจำนวนรอบพ่นได้เอง
→ ประหยัดต้นทุนทันที
3) ใช้สารเสริมจับใบ (สเปรดเดอร์) เล็กน้อย เพิ่มประสิทธิภาพ 20–30%
ไม่ต้องเพิ่มยา แค่ช่วยให้สารติดผิวดีขึ้น
เหมาะกับแมลงศัตรูที่ซ่อนในซอก เช่น เพลี้ยไฟ
4) ใช้วิธีกล (Mechanical Control) เสริม แต่ไม่เพิ่มต้นทุน
ตัวอย่างที่ได้ผลสูง เช่น
* ใช้กาวดักหนอน/แมลง
* ใช้กับดักล่อแสง
* ใช้ใบตอง/เศษฟางล่อหนอน แล้วเก็บทำลาย
* เปิดผิวดินบาง ๆ ให้โดนแดด ลดการฟักไข่
วิธีเหล่านี้ทำให้ความหนาแน่นของแมลงลดได้ 30–50% โดยไม่ต้องใช้สารเพิ่ม
5) ปล่อยให้ “ตัวห้ำ–ตัวเบียน” ทำงานร่วมด้วย
ศัตรูธรรมชาติ เช่น
* แตนเบียนไข่ Trichogramma
* ด้วงเต่าลาย
* มวนพิฆาต
การไม่พ่นสารที่แรงเกินไปในช่วงต้น จะช่วยให้ระบบนิเวศควบคุมแมลงได้เอง ลดการระบาดระยะยาว
6) พ่นสารในช่วงเย็น อุณหภูมิลดลง
งานวิจัยระบุว่าสารกำจัดแมลงหลายชนิดเสถียรขึ้นที่อุณหภูมิ 25–28°C ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น
→ ใช้ปริมาณเท่าเดิม แต่ผลดีขึ้น
→ ไม่เพิ่มต้นทุนแม้แต่นิดเดียว
สรุป: ปัญหาแมลงดื้อยาแก้ได้ โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนแม้แต่บาทเดียว
สิ่งที่ต้องทำคือ:
✔ สลับกลุ่มสาร
✔ พ่นถูกเวลา (วัยอ่อน)
✔ ใช้สเปรดเดอร์เพิ่มประสิทธิภาพ
✔ ใช้วิธีกลร่วม
✔ ลดการใช้สารแรง
✔ ให้ตัวห้ำ–ตัวเบียนช่วยควบคุมประชากรแมลง
ผลลัพธ์ที่เกษตรกรจะได้:
* ลดรอบพ่นลง 20–40%
* ต้นทุนลด
* แมลงระบาดน้อยลง
* ไม่เสี่ยงแมลงดื้อยาเพิ่ม
* ผลผลิตดีขึ้นอย่างยั่งยืน