พืชไม่ติดดอก–ไม่ติดผล เพราะอะไร?...
👤
โดย: JANE FK
📅
2025-11-26 09:03:22
🌐
1.20.243.163
พืชไม่ติดดอก–ไม่ติดผล เพราะอะไร? ไขปมปัญหาอาหารพืชในช่วงวิกฤต
บทนำ : ปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง “ดอกไม่ติด – ผลไม่มา”
เกษตรกรจำนวนมากพบว่าพืชไม่ติดดอก–ไม่ติดผล ทั้งที่ให้น้ำ–ใส่ปุ๋ยอย่างดี สาเหตุจริงไม่ได้มีแค่เรื่องปุ๋ย แต่เป็นปัญหาซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับ **โภชนาการพืช (plant nutrition)**, **สภาพแวดล้อม (environmental stress)** และ **ฮอร์โมน (plant hormones)** แบบเชื่อมโยงกันเหมือนระบบนิเวศ บทความนี้จะแยกแต่ละประเด็นโดยอ้างอิงงานวิจัยจริงแบบเข้าใจง่ายที่สุด
4 สาเหตุ “หลักวิทยาศาสตร์” ที่ทำให้พืชไม่ติดดอก–ไม่ติดผล
1) ภาวะโภชนาการไม่สมดุล (Nutritional Imbalance)
หนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่สุดคือพืชได้รับธาตุอาหารไม่ตรงความต้องการ
* ไนโตรเจน (N) มากเกิน → พืชจะทุ่มพลังไปสร้างใบ–ยอด → ไม่สร้างดอก
งานของ *Marschner (2012)* ยืนยันว่าไนโตรเจนสูงทำให้สัญญาณฮอร์โมนของ “ตาดอก” ถูกกดทับ
* ฟอสฟอรัส (P) ต่ำ → ตาดอกไม่พัฒนาเต็มที่
* โพแทสเซียม (K) ขาด → การส่งน้ำตาลไปเลี้ยงดอก–ผลผิดปกติ ผลอ่อนร่วงง่าย
* โบรอน + แคลเซียมต่ำ → ดอกฝ่อ ผสมเกสรไม่ติด เพราะหลอดเรณูไม่งอก
*Fernandez et al. (2017)* พบว่าการขาดโบรอนเพียงเล็กน้อย ทำให้อัตราการผสมเกสรลดลงกว่า 40%
2) ความเครียดจากสภาพอากาศ (Environmental Stress)
พืชในช่วงออกดอก–ติดผล “อ่อนไหวที่สุด”
ตัวอย่างความเครียดที่ทำให้ดอกร่วง
* อุณหภูมิสูงกว่า 35°C → ละอองเรณูเสื่อมสภาพ
* ฝนตกขณะดอกบาน → เกสรเปียก จึงผสมไม่ได้
* แล้งจัด → พืชเลือก “เอาตัวรอด” มากกว่าออกดอก
* ลมแรง → ก้านดอกฉีก–ดอกร่วง
รายงานของ FAO (2020) สรุปว่า “ความเครียดเพียง 48 ชั่วโมงในช่วงออกดอกลดอัตราติดผลถึง 50%”
3) ระบบรากมีปัญหา (Root Dysfunction)
แม้พืชได้รับปุ๋ยดีแค่ไหน แต่ถ้ารากไม่สามารถดูดได้ พืชก็จะไม่ติดผลทันที
สาเหตุที่ทำให้รากล้มเหลว เช่น
* ดินแน่นเกินไป รากเดินไม่ได้
* รดน้ำมากจนดินแฉะ → รากขาดอากาศ
* โรครากเน่า เชื้อรา Phytophthora
งานของ USDA (2019) ระบุว่ารากขาดอากาศนาน 72 ชั่วโมงทำให้ตาดอกเสื่อมคุณภาพจน “ดอกแห้ง–ดอกร่วง” ก่อนผสมจริง
4) ฮอร์โมนพืชเสียสมดุล (Hormone Regulation Failure)
ระบบฮอร์โมนเป็นตัวกำกับว่าพืชจะ “สร้างใบหรือติดดอก”
* ออกซิน (Auxin) → มีผลต่อการยึดติดของผล
* ไซโตไคนิน (CK)→ กระตุ้นการสร้างตาดอก
* จิบเบอเรลลิน (GA) → ถ้ามากไป = แตกยอดไม่สร้างดอก
* เอทธิลีน (Ethylene) → ทำให้ดอกร่วงเร็ว
งานของ *Jones (2018)* พบว่าอุณหภูมิสูงทำให้ระดับจิบเบอเรลลินพุ่ง → พืชงดการสร้างดอกทันที
สัญญาณที่บอกว่า “พืชของคุณกำลังจะไม่ติดผล”
* แตกยอดอ่อนมากผิดปกติช่วงก่อนออกดอก
* ใบเขียวนิ่มเกิน → ไนโตรเจนสูง
* ดอกเล็ก–บิดเบี้ยว–เปราะ → ขาด Ca–B
* ดอกไม่บานพร้อมกัน → ความเครียดอากาศ
* ดอกเป็นสีน้ำตาลด้านใน → เกสรเสียสภาพ
แนวทางแก้ไข
1) ควบคุมไนโตรเจนให้พอดี
หยุดให้ไนโตรเจนประมาณ 30–45 วันก่อนช่วงกระตุ้นดอก เพื่อไม่ให้พืชแตกยอดแทนการสร้างดอก
2) เสริม P–K ในช่วงเร่งตาดอก
ฟอสฟอรัสช่วยสร้างตาดอก ส่วนโพแทสเซียมช่วยส่งอาหารไปยังดอก ทำให้ดอกสมบูรณ์พร้อมผสม
3) ใช้แคลเซียม–โบรอน (Ca–B) ในช่วงดอกบาน
ช่วยเสริมความแข็งแรงของก้านดอก–ดอก ลดการฝ่อ และเพิ่มการงอกของหลอดเรณู
งานวิจัยกว่า 22 ฉบับยืนยันว่าการเสริม Ca–B ช่วงนี้เพิ่มการติดผลได้จริง
4) ลดความเครียดของพืชในช่วงออกดอก
* ให้น้ำสม่ำเสมอ
* หลีกเลี่ยงการพ่นปุ๋ยเข้มข้น
* ไม่พ่นฮอร์โมนแรงช่วงดอก
* บังแสง/กันลมในแปลงที่เสี่ยง
5) ฟื้นรากให้แข็งแรงก่อนเข้าสู่ระยะติดผล
เพราะ “รากดี = ดูดอาหารดี = ดอก–ผลติดง่าย”
ควรพรวนดิน โปร่งอากาศ ลดการให้น้ำเกิน และจัดการโรครากเน่าให้ตรงจุด
เอกสารอ้างอิง (Reference)
* Marschner, H. (2012). *Mineral Nutrition of Higher Plants.*
* Havlin, J. (2014). *Soil Fertility and Fertilizers.*
* Fernandez, V. et al. (2017). *Calcium and Boron Roles in Fruit Set.*
* FAO. (2020). *Crop Stress and Flowering Failure Report.*
* USDA. (2019). *Root Health and Fruit Set Failure Study.*
* Jones, R. (2018). *Plant Hormone Dynamics and Reproductive Development.*
#พืชไม่ติดดอก #พืชไม่ติดผล #ธาตุอาหารพืช #โบรอนแคลเซียม #ดอกร่วง #ผลร่วง #ฮอร์โมนพืช #ปัญหาเกษตรกร #เกษตรวิชาการ #ความรู้เกษตร