ทำไมพืช “ไม่กินปุ๋ย” แม้ใส่หนักแล้ว? คำตอบอยู่ที่ระบบราก!...

ทำไมพืช “ไม่กินปุ๋ย” แม้ใส่หนักแล้ว? คำตอบอยู่ที่ระบบราก!

บทนำ

หลายครั้งเกษตรกรใส่ปุ๋ยจำนวนมาก แต่พืชกลับไม่ตอบสนอง ไม่แตกยอด ไม่ออกดอก และไม่ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างที่หวัง ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจาก “ปุ๋ยไม่ดี” หรือ “ดินไม่ดี” เพียงอย่างเดียว แต่สาเหตุสำคัญที่สุดคือ ระบบรากไม่สามารถดูดปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานวิจัยด้านสรีรวิทยาพืชชี้ชัดว่า “รากพืชคือจุดตัดสินผลผลิตมากกว่าปริมาณปุ๋ยที่ใส่” หากระบบรากเสียหาย ถูกโรครากทำลาย หรืออยู่ในดินที่ไม่เหมาะสม ต่อให้ใส่ปุ๋ยหนักแค่ไหน พืชก็ไม่สามารถดูดไปใช้ได้ (Marschner, 2012).

ทำไมใส่ปุ๋ยหนัก แต่พืชกลับไม่กิน? ปัจจัยสำคัญด้านระบบราก

รากถูกทำลายจากเชื้อราในดิน

เชื้อสาเหตุโรคราก เช่น Phytophthora, Pythium และ Fusarium ทำให้รากเน่า ปลายรากไม่พัฒนา ส่งผลให้พื้นที่ดูดซึมลดลงกว่า 40–70% (Agrios, 2005).

เมื่อรากเน่า → การดูด N, P, K ลดลงทันที → พืชขาดอาหารแม้ปุ๋ยเต็มดิน

ดินแน่น อัดตัว ความพรุนต่ำ ทำให้รากหายใจไม่ได้

รากต้องการออกซิเจนเพื่อคงความมีชีวิต หากดินแน่นและอุ้มน้ำมากเกินไป รากจะขาดอากาศ ส่งผลให้การดูดปุ๋ยลดลงทันที
งานวิจัยของ University of Nebraska พบว่า ดินอัดตัวทำให้ความสามารถในการดูดไนโตรเจนของข้าวโพดลดลงถึง 60%

ค่า pH ดินไม่เหมาะสม ทำให้ปุ๋ยไม่ละลาย

แม้ใส่ปุ๋ยหนัก แต่ถ้า pH ดินผิดพลาด พืชจะดูดไม่ได้ เพราะธาตุอาหาร “ถูกตรึง” อยู่ในดิน
ตัวอย่าง:

* pH < 5 : ฟอสฟอรัสจับตัวกับเหล็กและอะลูมิเนียม → พืชใช้ไม่ได้
* pH > 7.5 : สังกะสี เหล็ก แมงกานีส ดูดไม่ได้

ตามงานของ Lindsay (2001) ระบุว่า ธาตุอาหารกว่า 50% ที่ใส่ลงดินสูญหายหรือถูกตรึงโดย pH ที่ผิด

รากขาดปลายราก (Root hairs) ซึ่งเป็นจุดดูดสารอาหารหลัก

ปลายรากมีบทบาทดูดสารอาหารกว่า 80%
หากถูก:

* สารเคมีเข้มข้น
* ปุ๋ยเกลือสูง
* น้ำขัง
ปลายรากจะตาย ทำให้ปุ๋ยในดินดูดไม่ได้แม้มีจำนวนมาก

ธาตุอาหารแข่งขันกันเอง เช่น ใส่ปุ๋ยบางตัวมากเกินไป

ตัวอย่างที่พบในประเทศไทยมากที่สุดคือ:

* ใส่ยูเรียมากเกิน → ทำให้พืชดูดโพแทสเซียมน้อยลง
* ใส่ฟอสฟอรัสหนักเกิน → สังกะสีถูกยับยั้ง

งานวิจัยของ Fageria (2001) ยืนยันว่า “**การใส่ปุ๋ยเกิน ไม่ใช่แค่สิ้นเปลือง แต่ทำให้พืชขาดธาตุอาหารบางชนิดโดยอ้อม**”

ระบบรากดี = ปุ๋ยคุ้ม = ผลผลิตสูง

งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า เกษตรกรที่ให้ความสำคัญกับการบำรุงราก เช่น การใช้จุลินทรีย์ส่งเสริมราก ปรับปรุงอินทรียวัตถุ และจัดการดินอย่างถูกวิธี สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย (FUE) ได้มากกว่า **30–50%**

กล่าวคือ ใช้น้อย แต่ได้มากกว่าใส่หนักแบบผิดวิธี

กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการ “กินปุ๋ย” ของพืชแบบวิชาการ ใช้ได้จริง

ปรับสภาพดินให้โปร่ง มีความพรุน

เพิ่มอินทรียวัตถุ 3–5% ช่วยให้รากเดินดีขึ้น (FAO, 2020)

รักษา pH ให้อยู่ที่ 5.8–6.8

ช่วงนี้พืชดูดปุ๋ยได้ดีที่สุด

ใช้จุลินทรีย์ที่ช่วยละลายฟอสเฟตหรือย่อยอินทรียวัตถุ

ช่วยให้ธาตุอาหารอยู่ในรูปที่พืชดูดได้มากขึ้น

งดใส่ปุ๋ยเคมีหนักจนเกินไป

เพราะความเข้มข้นสูงทำให้ปลายรากไหม้ได้

ตรวจดินทุก 6–12 เดือน

เพื่อปรับสูตรปุ๋ยให้เหมาะกับสภาพดินของแปลง

สรุป

การใส่ปุ๋ยหนักไม่ได้หมายความว่าพืชจะได้อาหารมากขึ้น หากระบบรากไม่สมบูรณ์ อากาศในดินไม่เพียงพอ หรือค่า pH ไม่เหมาะสม พืชจะไม่สามารถดูดธาตุอาหารได้เลย

หัวใจสำคัญไม่ใช่ปริมาณปุ๋ยที่ใส่ แต่คือ ‘คุณภาพระบบราก’ ของพืช

Reference

* Marschner, P. (2012). *Mineral Nutrition of Higher Plants*.
* Agrios, G. (2005). *Plant Pathology*.
* Lindsay, W.L. (2001). *Chemical Equilibria in Soils*.
* Fageria, N.K. (2001). *Nutrient interactions in crop plants*.
* FAO (2020). Soil structure and root development research report.
* University of Nebraska–Lincoln. Soil Compaction and Root Growth Study.

#ปุ๋ยไม่ดูดทำไงดี #ระบบรากสำคัญที่สุด #ดินดีรากเดินดี #ความรู้เกษตร #เกษตรอินทรีย์ #เกษตรสมัยใหม่ #เพิ่มผลผลิต #แก้ปัญหาดินเสีย #ทำเกษตรให้คุ้ม #ความรู้ปุ๋ยแบบวิชาการ
รูปภาพประกอบ
🌟 แนะนำ ปุ๋ย ยาปราบฯ คุณภาพดี
ผลผลิตเพิ่ม ราคาประหยัด! คลิกเลย!
← กลับหน้าบทความ
👁️ ผู้เยี่ยมชมทั้งหมด: 322243