พิมพ์คำค้นหา หรือลองคลิกตัวอย่าง >
มันสำปะหลัง
,
ข้าว
,
อ้อย
,
ทุเรียน
,
กัญชา
,
ข้าวโพด
,
ปาล์ม
,
ยางพารา
,
อินทผลัม
,
โรคใบไหม้
,
ราสนิม
,
เพลี้ย
,
ยาแช่ท่อนพันธุ์
+ โพสเรื่องใหม่ |
^ เลือกหน้า |
ค้นคำว่า - ข้าว
641 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 64 หน้า, หน้าที่ 65 มี 1 รายการ
การใช้ปุ๋ยทางใบ เพื่อเสริมธาตุอาหารอย่างมีประสิทธิภาพในข้าว
บทนำ ต้นข้าวต้องการธาตุอาหารครบถ้วนตลอดวงจรชีวิต เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ การใส่ปุ๋ยทางดินเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากธาตุอาหารบางชนิดถูกตรึงในดินหรือสูญเสียจากการชะล้าง การใช้ ปุ๋ยทางใบ จึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ FK-1 และ FK-3R ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้เหมาะกับการเจริญเติบโตของข้าวในแต่ละช่วง
ส่วนประกอบและบทบาทของธาตุอาหารใน FK-1 FK-1 สูตร 20-20-20 + ธาตุเสริม เหมาะสำหรับช่วงต้นฤดูปลูก ช่วยกระตุ้นการแตกกอและการตั้งต้นของข้าว
ธาตุหลักใน FK-1:
ไนโตรเจน (20%) - ส่งเสริมการสร้างโปรตีนและคลอโรฟิลล์ - เร่งการแตกกอ ใบเขียวเข้ม การสังเคราะห์แสงดีขึ้น - จำเป็นในช่วงเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ
ฟอสฟอรัส (20%) - กระตุ้นการพัฒนาระบบรากให้แข็งแรง - ส่งเสริมการสร้างพลังงาน (ATP) และการแบ่งเซลล์ - ช่วยให้ต้นข้าวตั้งตัวได้ดีและทนต่อสภาพแวดล้อม
โพแทสเซียม (20%) - ควบคุมการเปิด-ปิดปากใบและการลำเลียงน้ำตาล - เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับลำต้น - แม้ไม่ใช่ช่วงสร้างเมล็ด แต่โพแทสเซียมช่วยเสริมโครงสร้างพืชแต่แรก
ธาตุเสริมใน FK-1: - แมกนีเซียม - เป็นแกนกลางของคลอโรฟิลล์ - ช่วยให้ข้าวสังเคราะห์แสงได้เต็มที่
ซิงค์ (สังกะสี) - จำเป็นต่อการสังเคราะห์ฮอร์โมนพืช เช่น ออกซิน - เร่งการแตกกอ การเจริญเติบโตของยอดอ่อน และการพัฒนาใบ
ส่วนประกอบและบทบาทของธาตุอาหารใน FK-3R FK-3R สูตร 5-10-40 + ธาตุเสริม เหมาะสำหรับช่วงข้าวตั้งท้อง–ออกรวง ต้องการสารอาหารเพื่อสร้างดอกและเมล็ด
ธาตุหลักใน FK-3R: - ไนโตรเจน (5%) - ในปริมาณน้อย เพื่อไม่ให้ต้นข้าวแตกใบมากเกินไป - รักษาความเขียวของต้นในช่วงใกล้เก็บเกี่ยว
ฟอสฟอรัส (10%) - สนับสนุนการสร้างดอกและพัฒนารวง - ช่วยเคลื่อนย้ายพลังงานไปยังส่วนของเมล็ด - โพแทสเซียม (40%)
เน้นโพแทสเซียมสูงเป็นพิเศษ - เร่งการอัดเมล็ดและเพิ่มน้ำหนักข้าว - เพิ่มความต้านทานต่อโรคและความแห้งแล้ง - ช่วยข้าวสุกเสมอกัน ลดปัญหาเมล็ดลีบ
ธาตุเสริมใน FK-3R:
แมกนีเซียม - สนับสนุนการสร้างแป้งและน้ำตาล
ซิงค์ - กระตุ้นการสร้างเมล็ดและการแบ่งเซลล์ช่วงสุดท้าย - ช่วยให้รวงข้าวสมบูรณ์ สม่ำเสมอ
กลยุทธ์การใช้ FK-1 และ FK-3R ร่วมกัน
การวางแผนการให้ปุ๋ยทางใบตามช่วงอายุข้าวเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มผลผลิต: - ช่วง 15–30 วันหลังหว่าน/ปักดำ: ใช้ FK-1 เพื่อกระตุ้นการแตกกอและการพัฒนาราก - ช่วงเริ่มตั้งท้อง–ออกรวง: ใช้ FK-3R เพื่อเร่งการสร้างเมล็ดและเพิ่มน้ำหนัก
การใช้ร่วมกันนี้ ช่วยให้พืชได้รับธาตุอาหารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสมกับระยะพัฒนาการของต้นข้าว
สรุป FK-1 และ FK-3R ไม่ใช่เพียงแค่ปุ๋ยทางใบทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการธาตุอาหารแบบแม่นยำ (Precision Fertilization) แต่ละสูตรถูกออกแบบตามความต้องการของข้าวในแต่ละช่วง ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
หากสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อ สามารถติดต่อได้ที่ โทร: 090-592-8614 ไลน์ไอดี: @FarmKaset |
การป้องกันกันกำจัดโรคพืช อย่างมีประสิทธิภาพ โรคใบไหม้ โรคใบจุด โรคราสนิม โรคราต่างๆ
การใช้แพนน่อน (แมนโคเซป) ร่วมกับปุ๋ยทางใบ FK-1: ประโยชน์และวิธีการใช้อย่างมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคพืช
บทนำ การเกษตรสมัยใหม่จำเป็นต้องอาศัยนวัตกรรมและเทคนิคที่มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดความเสียหายจากโรคพืช บทความวิชาการนี้นำเสนอการใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชแพนน่อน (ที่มีสารออกฤทธิ์คือแมนโคเซป) ร่วมกับปุ๋ยทางใบ FK-1 เพื่อการจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ประสิทธิภาพของแพนน่อน (แมนโคเซป) ในการป้องกันกำจัดโรคพืช แพนน่อน ซึ่งมีสารออกฤทธิ์สำคัญคือแมนโคเซป เป็นสารป้องกันกำจัดโรคพืช (fungicide) ประเภทสัมผัส ที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันและควบคุมโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา สามารถใช้ป้องกันกำจัดโรคพืชได้หลากหลายชนิด ได้แก่:
โรคใบจุด (Leaf spot diseases) - โรคที่เกิดจากเชื้อราหลายชนิด ทำให้เกิดจุดบนใบพืช ส่งผลให้พื้นที่ในการสังเคราะห์แสงลดลง โรคราสนิม (Rust diseases) - โรคที่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Puccinia ทำให้เกิดแผลสีส้มหรือสีน้ำตาลบนใบพืช โรคราน้ำค้าง (Downy mildew) - โรคที่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Oomycetes ทำให้เกิดคราบขาวใต้ใบพืช โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) - โรคที่ทำให้เกิดแผลยุบตัวบนผล ใบ และลำต้น โรคใบไหม้ (Blight diseases) - โรคที่ทำให้ใบพืชเหี่ยวแห้งและตายอย่างรวดเร็ว โรคผลเน่า (Fruit rot) - โรคที่ทำให้ผลไม้เน่าเสียก่อนเก็บเกี่ยว
แมนโคเซปมีความเหมาะสมในการใช้กับพืชหลายชนิด เช่น:
ข้าว - ป้องกันโรคไหม้ที่เกิดจากเชื้อรา Pyricularia oryzae ผัก - ป้องกันโรคราน้ำค้างและโรคใบจุดในพืชตระกูลแตง มะเขือเทศ และพืชผักอื่นๆ ไม้ผล - ป้องกันโรคแอนแทรคโนสและโรคผลเน่าในมะม่วง ทุเรียน และผลไม้อื่นๆ มันฝรั่ง - ป้องกันโรคใบไหม้ที่เกิดจากเชื้อรา Phytophthora infestans ยางพารา - ป้องกันโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อรา Phytophthora และ Colletotrichum
องค์ประกอบและประโยชน์ของปุ๋ยทางใบ FK-1 ปุ๋ยทางใบ FK-1 เป็นปุ๋ยสูตรพิเศษที่ประกอบด้วยธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่:
ไนโตรเจน (N) - ช่วยในการเจริญเติบโตของใบและลำต้น กระตุ้นการสร้างโปรตีนและคลอโรฟิลล์ ฟอสฟอรัส (P) - ช่วยในการออกดอก ติดผล และพัฒนาระบบราก มีบทบาทสำคัญในกระบวนการถ่ายทอดพลังงาน โพแทสเซียม (K) - เพิ่มความแข็งแรงของพืช ช่วยในการเคลื่อนย้ายน้ำตาล และเพิ่มความต้านทานต่อโรคและแมลง แมกนีเซียม (Mg) - เป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสง ซิงค์ (Zn) - ช่วยในการสร้างฮอร์โมนเติบโตและเอนไซม์ที่สำคัญ ส่งเสริมการสังเคราะห์โปรตีน
ประโยชน์ของการใช้แพนน่อน (แมนโคเซป) ร่วมกับปุ๋ยทางใบ FK-1 การผสมแพนน่อน (แมนโคเซป) ร่วมกับปุ๋ยทางใบ FK-1 และฉีดพ่นไปพร้อมกัน ให้ประโยชน์หลายประการต่อเกษตรกรและพืช ดังนี้:
1. เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการ การใช้สารป้องกันกำจัดโรคควบคู่กับการเสริมธาตุอาหารให้พืช เป็นแนวทางการจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ โดยแมนโคเซปจะช่วยป้องกันการเข้าทำลายของเชื้อรา ในขณะที่ปุ๋ยทางใบ FK-1 จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้พืช ทำให้พืชมีความต้านทานต่อโรคได้ดีขึ้น
2. ประหยัดเวลาและลดต้นทุนการผลิต การฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดโรคและปุ๋ยทางใบในคราวเดียวกัน ช่วยประหยัดเวลา แรงงาน และลดต้นทุนการผลิต เนื่องจาก:
ลดจำนวนครั้งในการฉีดพ่น ประหยัดน้ำและเชื้อเพลิงที่ใช้ในการฉีดพ่น ลดการสึกหรอของอุปกรณ์การเกษตร ลดค่าแรงงานในการฉีดพ่น
3. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของพืช ธาตุอาหารที่เพียงพอ โดยเฉพาะโพแทสเซียม ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของพืช ทำให้พืชแข็งแรงและต้านทานต่อการเข้าทำลายของเชื้อโรคได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมประสิทธิภาพการทำงานของแมนโคเซปในการป้องกันกำจัดโรคพืช
4. เร่งการฟื้นตัวของพืชที่เริ่มแสดงอาการของโรค หากพืชเริ่มแสดงอาการของโรค การได้รับทั้งสารป้องกันกำจัดโรคและธาตุอาหารพร้อมกัน จะช่วยให้พืชสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยแมนโคเซปจะช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อรา ในขณะที่ธาตุอาหารจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย
5. เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของสารป้องกันกำจัดโรค ธาตุอาหารบางชนิดในปุ๋ยทางใบ FK-1 อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของแมนโคเซปเข้าสู่เนื้อเยื่อพืช ทำให้การป้องกันกำจัดโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีการใช้แพนน่อน (แมนโคเซป) ร่วมกับปุ๋ยทางใบ FK-1 อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้แพนน่อน (แมนโคเซป) ร่วมกับปุ๋ยทางใบ FK-1 ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยต่อพืช ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:
1. การทดสอบความเข้ากันได้ของสารเคมี ก่อนนำแพนน่อนและปุ๋ยทางใบ FK-1 มาผสมกันเพื่อใช้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ ควรทำการทดสอบความเข้ากันได้ของสารเคมีในปริมาณน้อยก่อน เพื่อตรวจสอบว่าไม่เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การตกตะกอน การแยกชั้น หรือการเกิดฟอง
2. อัตราส่วนการผสมที่เหมาะสม ควรใช้อัตราส่วนการผสมตามที่ระบุไว้บนฉลากของทั้งสองผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไปแล้ว:
แพนน่อน (แมนโคเซป): ใช้อัตรา 40-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ปุ๋ยทางใบ FK-1: ใช้อัตรา 25-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หมายเหตุ แกะกล่องมาจะผสมสองถุง ต้องใช้ทั้งสองถุงผสมกัน
3. การผสมสารเคมี ขั้นตอนการผสมที่ถูกต้องมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพของการใช้สารเคมี ควรปฏิบัติดังนี้:
เติมน้ำลงในถังพ่นประมาณครึ่งถัง ละลายแพนน่อน (แมนโคเซป) ในน้ำปริมาณเล็กน้อยก่อน แล้วจึงเทลงในถังพ่น คนให้เข้ากัน เติมปุ๋ยทางใบ FK-1 ลงในถังพ่น คนให้เข้ากันอีกครั้ง เติมน้ำให้ได้ปริมาตรตามต้องการ คนให้เข้ากันตลอดเวลาระหว่างการฉีดพ่น
4. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดพ่น ควรฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น เมื่อแสงแดดไม่จัดและอุณหภูมิไม่สูงเกินไป เพื่อให้พืชสามารถดูดซึมสารเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการเกิดอาการไหม้ของใบพืช
5. ความถี่ในการฉีดพ่น ความถี่ในการฉีดพ่นขึ้นอยู่กับชนิดของพืช ระยะการเจริญเติบโต และความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปควรฉีดพ่นทุก 7-14 วัน หรือตามที่ระบุไว้บนฉลากของผลิตภัณฑ์
6. ข้อควรระวัง
ควรผสมและใช้ทันที ไม่ควรเก็บสารละลายที่ผสมแล้วไว้ข้ามคืน สังเกตอาการของพืชหลังการฉีดพ่น หากพบความผิดปกติควรหยุดใช้ ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น ถุงมือ หน้ากาก และชุดป้องกัน ขณะผสมและฉีดพ่นสารเคมี ไม่ควรฉีดพ่นในขณะที่มีลมแรง เพื่อป้องกันการปลิวของละอองสารเคมีไปยังพื้นที่ข้างเคียง
สรุป การใช้แพนน่อน (แมนโคเซป) ร่วมกับปุ๋ยทางใบ FK-1 เป็นแนวทางการจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันและควบคุมโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแรงให้พืชด้วยธาตุอาหารที่จำเป็น ทำให้พืชมีความต้านทานต่อโรคได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลา แรงงาน และลดต้นทุนการผลิต อย่างไรก็ตาม การใช้สารเคมีทางการเกษตรควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากและหลักการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและมีความปลอดภัยต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
คำสำคัญ แพนน่อน_ แมนโคเซป_ ปุ๋ยทางใบ FK-1_ โรคพืช_ สารป้องกันกำจัดโรคพืช_ ไนโตรเจน_ ฟอสฟอรัส_ โพแทสเซียม_ แมกนีเซียม_ ซิงค์_ การจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการ_ ราสนิม_ ราน้ำค้าง_ ใบจุด_ แอนแทรคโนส_ ใบไหม้_ ผลเน่า_ การป้องกันโรคพืช |
อัปเดตสถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 2568: ผลผลิตเพิ่ม มาตรการรัฐคุมราคา และแนวโน้มตลาดโลก
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทยที่มีบทบาทในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และพลังงานชีวภาพ ล่าสุด สถานการณ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปี **2568** มีแนวโน้มที่น่าจับตามอง ตั้งแต่การคาดการณ์ผลผลิต ราคาตลาด ไปจนถึงมาตรการที่ภาครัฐออกมาเพื่อควบคุมและรักษาเสถียรภาพ วันนี้เรามาอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดกัน
---
### **📌 ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2568 คาดแตะ 5.2 ล้านตัน** ด้วยสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและการพัฒนาเทคนิคการเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพ **กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ว่า ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.2 ล้านตัน** ซึ่งมากกว่าปี 2567 ที่อยู่ที่ 5 ล้านตัน
ปัจจัยที่ช่วยให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ✅ **การใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง** ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ✅ **การบริหารจัดการน้ำและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ** เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ✅ **สภาพอากาศที่เอื้ออำนวย** ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตได้ดี
---
### **📌 มาตรการรัฐ: คุมราคาข้าวโพด – ลดต้นทุนเกษตรกร** คณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการ **รักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568** ด้วยงบประมาณกว่า **70 ล้านบาท** เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับราคาที่เป็นธรรม รวมถึงป้องกันปัญหาผลผลิตล้นตลาด
นอกจากนี้ กรมการค้าภายในยังมีแผน **เปิดจุดรับซื้อข้าวโพด** เพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ **ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ** ซึ่งเป็นแหล่งปลูกหลัก
---
### **📌 จีนเดินหน้านำเข้าข้าวโพด GMO ไทยปรับกลยุทธ์อย่างไร?** จีนยังคงเดินหน้า **อนุมัติและนำเข้าข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรม (GMO)** ซึ่งอาจทำให้ราคาข้าวโพดในตลาดโลกปรับตัวขึ้นลงตามอุปสงค์และอุปทาน
อย่างไรก็ตาม **ข้าวโพดไทยที่ไม่ใช่ GMO ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดพรีเมียม เช่น ญี่ปุ่น และยุโรป** ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร ทำให้ไทยสามารถรักษาตลาดในกลุ่มประเทศเหล่านี้ได้
---
### **📌 ลดฝุ่น PM2.5! รัฐเข้มมาตรการห้ามเผาข้าวโพด** ในปี 2568 รัฐบาลมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการ **ลดฝุ่น PM2.5** โดยกำหนดให้ **ห้ามนำเข้าข้าวโพดจากแหล่งที่มีการเผา** ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนลดมลพิษทางอากาศ
มาตรการนี้จะช่วยให้ ✅ เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปใช้ **แนวทางการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม** ✅ ตลาดข้าวโพดไทยได้รับความเชื่อถือในระดับสากล ✅ ลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนจากมลพิษฝุ่นละออง
---
### **📌 สรุปแนวโน้มตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2568** ✔ **ผลผลิตเพิ่มขึ้น** คาดแตะ 5.2 ล้านตัน ✔ **รัฐเข้มมาตรการคุมราคา** สนับสนุนเกษตรกรผ่านจุดรับซื้อ ✔ **การแข่งขันสูงจากข้าวโพด GMO ของจีน** ไทยยังคงรักษาตลาดพรีเมียม ✔ **มาตรการลดฝุ่น PM2.5 เข้มขึ้น** ส่งเสริมเกษตรกรปลูกข้าวโพดอย่างยั่งยืน
### **ฮิวมิค FK: ตัวช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลดต้นทุน ปรับปรุงดิน เพื่อเกษตรกรยุคใหม่** 🌽🌱
ปัจจุบัน **เกษตรกรข้าวโพดเลี้ยงสัตว์** ต้องเผชิญกับหลายความท้าทาย ทั้งเรื่อง **ต้นทุนปุ๋ยที่สูงขึ้น ดินเสื่อมคุณภาพ และความผันผวนของตลาด** ในปี **2568** ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น **5.2 ล้านตัน** แต่ **หากไม่มีการจัดการดินที่ดี** อาจส่งผลให้ผลผลิตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
**ฮิวมิค FK** จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่ **ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนปุ๋ยเคมี และฟื้นฟูดินให้มีความสมบูรณ์** พร้อมช่วยให้เกษตรกรปรับตัวเข้าสู่แนวทางเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
---
## **✔️ Value-Oriented: ฮิวมิค FK ให้คุณค่าอะไรกับเกษตรกรข้าวโพด?**
### ✅ **1. เพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้สูงขึ้น 20-30%** - ฮิวมิคช่วยให้ **รากแข็งแรง** และ **ดูดซึมธาตุอาหารได้ดีขึ้น** - ข้าวโพดเจริญเติบโตเร็วขึ้น เมล็ดเต็มและสมบูรณ์
### ✅ **2. ลดต้นทุนปุ๋ยเคมี ใช้ได้น้อยลงแต่ได้ผลดีขึ้น** - ฮิวมิคช่วย **ตรึงปุ๋ยในดิน** ทำให้พืชดูดซึมได้อย่างเต็มที่ - ลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ **15-30%** โดยไม่ลดผลผลิต
### ✅ **3. ปรับปรุงโครงสร้างดิน แก้ปัญหาดินเสื่อมสภาพ** - เพิ่ม **อินทรียวัตถุในดิน** ทำให้ดินร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี - เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มี **ปัญหาดินแข็ง ดินแน่น หรือดินเสื่อมโทรม**
### ✅ **4. ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และการเผาตอซังที่ก่อให้เกิด PM2.5** - ทำให้ซากพืชย่อยสลายเร็วขึ้น **ไม่ต้องเผา ลดฝุ่นควัน** - สนับสนุนแนวทางเกษตรอินทรีย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
---
## **✔️ Personalization: ฮิวมิค FK ตอบโจทย์เกษตรกรข้าวโพดแต่ละแบบได้อย่างไร?**
📌 **สำหรับเกษตรกรที่ต้องการเพิ่มผลผลิต** - ใช้ **ฮิวมิค FK** ร่วมกับปุ๋ยเคมี จะช่วยให้ข้าวโพดออกฝักใหญ่ น้ำหนักดี - ลดความเสี่ยงจาก **ดินเสื่อมและธาตุอาหารขาดแคลน**
📌 **สำหรับเกษตรกรที่ต้องการลดต้นทุน** - ใช้ฮิวมิค FK **ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี** และทำให้พืชดูดซึมธาตุอาหารได้เต็มที่ - ลดต้นทุนระยะยาว โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไป
📌 **สำหรับเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรยั่งยืน** - ฮิวมิค FK **เป็นสารอินทรีย์ 100%** ไม่มีสารเคมีตกค้าง - ช่วยปรับปรุงดินให้สมบูรณ์ โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี
📌 **สำหรับเกษตรกรที่มีปัญหาดินแข็ง หรือดินเสื่อมคุณภาพ** - ฮิวมิคช่วย **ฟื้นฟูดิน เพิ่มอินทรียวัตถุ** ให้ดินร่วนซุย เหมาะสำหรับการปลูกพืชระยะยาว
---
## **✔️ Authority: ฮิวมิคFK สำคัญอย่างไร**
- งานวิจัยหลายฉบับระบุว่า **ฮิวมิคแอซิด และฟลูวิค ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุอาหาร และกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช**
- **ผลผลิตเพิ่มขึ้น ต้นทุนปุ๋ยลดลง** และดินดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
🌍 **ช่วยสนับสนุนนโยบายภาครัฐเรื่อง PM2.5 และเกษตรยั่งยืน** - รัฐบาลส่งเสริม **การใช้ปุ๋ยอินทรีย์และลดการเผาตอซัง** - การใช้ฮิวมิค FK ช่วยลดมลพิษ **และทำให้ดินดีขึ้นในระยะยาว**
---
## **📌 วิธีใช้ฮิวมิค FK กับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์**
📍 **ระยะเตรียมดิน:** ผสมฮิวมิค FK กับปุ๋ยอินทรีย์ หรือโรยลงดินก่อนปลูก 📍 **ระยะต้นกล้า (1-2 สัปดาห์แรก):** ฉีดพ่นทางใบ เพื่อกระตุ้นการแตกราก 📍 **ระยะขยายต้น:** ผสมฮิวมิค FK กับน้ำแล้วราดโคนต้น เพื่อช่วยดูดซึมธาตุอาหาร 📍 **ระยะออกฝัก:** ใช้ฮิวมิค FK ควบคู่กับปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพื่อเพิ่มคุณภาพและขนาดฝัก
---
## **📌 สรุป: ฮิวมิค FK คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเกษตรกรข้าวโพดเลี้ยงสัตว์**
✅ **เพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 20-30%** ✅ **ช่วยให้ดินอุ้มน้ำและดูดซึมธาตุอาหารได้ดีขึ้น** ✅ **ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ประหยัดต้นทุนระยะยาว** ✅ **ช่วยลดปัญหาดินเสื่อม ดินแข็ง และเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน** ✅ **เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดฝุ่น PM2.5**
ปรุงดิน เพิ่มผลผลิตข้าวโพดของคุณ ด้วย "ฮิวมิค FK" วันนี้!** 🌱✨ |
แนวโน้มข้าวคาร์บอนต่ำ กับตลาดการส่งออกของไทยสู่ตลาดโลก
แนวโน้มการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำกำลังเป็นที่สนใจในตลาดโลก เนื่องจากผู้บริโภคและนโยบายการค้าระหว่างประเทศให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปกป้องสิ่งแวดล้อม การผลิตข้าวแบบดั้งเดิมที่มีน้ำขังในนาข้าวมักปล่อยก๊าซมีเทนในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ได้เริ่มส่งเสริมการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการไทยไรซ์ นามา (Thai Rice NAMA) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) โครงการนี้มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำนาโดยการส่งเสริมเทคโนโลยีและวิธีการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนาม พบว่าเวียดนามมีการส่งเสริมการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำอย่างจริงจังและมีเป้าหมายชัดเจน โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศ เวียดนามมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำให้ได้ 6.25 ล้านไร่ภายในปี 2030 ซึ่งคาดว่าจะผลิตข้าวคาร์บอนต่ำได้ประมาณ 6.3 ล้านตัน ขณะที่ไทยมีศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านตัน
นอกจากนี้ สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของข้าวไทย มีแนวโน้มที่จะบังคับใช้เกณฑ์การค้าข้าวคาร์บอนต่ำในอนาคต หากไทยไม่ปรับตัว อาจต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลก
ดังนั้น การเร่งพัฒนาการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำและการปรับปรุงเทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลกและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
**ฮิวมิค FK กับการเพิ่มผลผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ**
การใช้ **ฮิวมิค FK** สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวคาร์บอนต่ำได้โดยการปรับปรุงคุณภาพของดินและลดการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตร โดยมีแนวทางหลัก ๆ ดังนี้
---
### **1. เพิ่มอินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ของดิน** - **ฮิวมิค FK** อุดมไปด้วย **ฮิวมิกแอซิด (Humic Acid) และฟุลวิกแอซิด (Fulvic Acid)** ซึ่งช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน ทำให้ดินสามารถกักเก็บน้ำและธาตุอาหารได้ดีขึ้น - ลดความเป็นกรดในดินและช่วยให้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดินเจริญเติบโตดีขึ้น
---
### **2. ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดต้นทุน และลดก๊าซเรือนกระจก** - การใช้ฮิวมิค FK ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์สามารถช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N₂O) - ดินที่มีฮิวมิคสูงสามารถดูดซับธาตุอาหารจากปุ๋ยได้ดีขึ้น ทำให้พืชนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียธาตุอาหารในดิน
---
### **3. เพิ่มการดูดซับคาร์บอนในดิน (Carbon Sequestration)** - ดินที่มีปริมาณอินทรียวัตถุสูงสามารถกักเก็บคาร์บอนในรูปของฮิวเมต (Humate) ทำให้การปลูกข้าวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น - ลดการปล่อยก๊าซมีเทน (CH₄) จากดินเปียกที่เกิดจากการทำนาแบบดั้งเดิม
---
### **4. ส่งเสริมการเจริญเติบโตของข้าว เพิ่มผลผลิต** - ฮิวมิค FK ช่วยกระตุ้นการแตกกอของข้าว ทำให้ได้รวงข้าวมากขึ้น - ช่วยให้ระบบรากพืชแข็งแรง ข้าวดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น ทำให้เมล็ดข้าวเต็ม น้ำหนักดี - เพิ่มความต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช ลดการใช้สารเคมี
---
### **5. ลดการใช้น้ำและส่งเสริมระบบการปลูกข้าวแบบยั่งยืน** - ดินที่ได้รับฮิวมิค FK สามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ทำให้ลดการใช้น้ำในการปลูกข้าว - ส่งเสริมการทำนาแบบ **"เปียกสลับแห้ง" (Alternate Wetting and Drying: AWD)** ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว
---
### **สรุป** การใช้ **ฮิวมิค FK** ในการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำมีประโยชน์ทั้งในด้าน **การเพิ่มผลผลิต** และ **ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม** โดยช่วยปรับปรุงดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มความยั่งยืนของการผลิตข้าวในระยะยาว
|
ทำไม? ฮิวมิคFK จึงจำเป็น และมีประโยชน์กับพืชทุกชนิด
**ฮิวมิค FK** (Humic FK) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์กับพืชทุกชนิด เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพดินและเสริมการเจริญเติบโตของพืช โดยมีเหตุผลดังนี้:
### 1. **ปรับปรุงโครงสร้างของดิน** - ฮิวมิค FK ช่วยเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำและอากาศในดิน ทำให้รากพืชได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ - ช่วยลดการจับตัวเป็นดินแข็ง (Compact Soil) โดยเฉพาะในดินเหนียวและดินทราย
### 2. **เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน** - เป็นแหล่งของคาร์บอนอินทรีย์ (Organic Carbon) ที่ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ในดิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายธาตุอาหาร - ช่วยจับธาตุอาหารสำคัญ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ทำให้พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น
### 3. **เสริมการเจริญเติบโตของพืช** - ช่วยกระตุ้นการพัฒนาระบบราก ทำให้รากพืชแข็งแรงและสามารถดูดซึมน้ำและธาตุอาหารได้ดีขึ้น - มีผลต่อการเร่งการแบ่งเซลล์ (Cell Division) และการสร้างคลอโรฟิลล์ ส่งผลให้พืชโตเร็วและให้ผลผลิตสูงขึ้น
### 4. **ลดผลกระทบจากสภาวะแวดล้อม** - ช่วยพืชทนต่อความเครียดจากสภาพแวดล้อม เช่น ความแห้งแล้ง ดินเค็ม และดินเป็นกรด - ลดการสูญเสียธาตุอาหารจากการชะล้างหรือการระเหย
### 5. **เหมาะกับพืชทุกชนิด** - ใช้ได้กับพืชทุกประเภท เช่น - พืชผล: ข้าว_ ข้าวโพด_ มันสำปะหลัง_ อ้อย - พืชผัก: ผักชี_ คะน้า_ แตงกวา - ไม้ผล: ทุเรียน_ มะม่วง_ ส้ม - พืชสวนและไม้ดอก: กุหลาบ_ กล้วยไม้_ ดาวเรือง
### สรุป **ฮิวมิค FK** มีคุณสมบัติช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน เพิ่มธาตุอาหาร และเสริมความแข็งแรงให้พืช ทำให้พืชทุกชนิดเติบโตได้ดีขึ้น ทนต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
---
#ฮิวมิคFK #ประโยชน์ของฮิวมิค #เพิ่มผลผลิตพืช #เกษตรอินทรีย์ #ปรับปรุงดิน #พืชโตไว #เกษตรกรไทย |
กลไกการทำงานของฮิวมิค FK ในการเพิ่มผลผลิตข้าว
### กลไกการทำงานของฮิวมิค FK ในการเพิ่มผลผลิตข้าว
**ฮิวมิค FK** เป็นสารอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบหลักจากกรดฮิวมิก (Humic Acid) และกรดฟุลวิก (Fulvic Acid) ซึ่งสกัดมาจากแหล่งอินทรีย์ธรรมชาติ เช่น ลีโอนาร์ไดต์ (Leonardite) โดยมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและปรับปรุงคุณภาพของดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน **การทำนาข้าว** ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ฮิวมิค FK ช่วยเพิ่มผลผลิตได้จากกลไกดังนี้:
---
### **1. ปรับปรุงโครงสร้างดิน** ฮิวมิค FK มีความสามารถในการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินโดย: - เพิ่มการจับตัวของเม็ดดิน ทำให้ดินโปร่ง ระบายอากาศได้ดี - เพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำและธาตุอาหารในดิน ทำให้ต้นข้าวสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างต่อเนื่อง - ลดความเป็นกรด-ด่างของดิน ทำให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของข้าว
---
### **2. เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหาร** - กรดฮิวมิกช่วยกระตุ้นรากข้าวให้แข็งแรงและขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ดูดซึมธาตุอาหารในดินได้มากขึ้น - ช่วยจับธาตุอาหารสำคัญ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ทำให้พืชได้รับสารอาหารที่เพียงพอสำหรับการสร้างผลผลิต
---
### **3. กระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นข้าว** - กระตุ้นการแบ่งเซลล์และขยายขนาดเซลล์ ทำให้ต้นข้าวโตเร็ว แข็งแรง และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม - ช่วยกระตุ้นการสร้างคลอโรฟิลล์ในใบ ส่งผลให้ข้าวสังเคราะห์แสงได้ดี และสร้างพลังงานเพียงพอสำหรับการสร้างเมล็ด
---
### **4. เพิ่มความต้านทานต่อโรคและแมลง** - ฮิวมิค FK ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของต้นข้าว ลดความเสี่ยงจากโรคและแมลงศัตรูพืช - ทำให้ต้นข้าวสามารถเติบโตในสภาวะที่มีความเครียด เช่น ภัยแล้งหรือสภาพดินที่มีความเค็มสูง
---
### **5. เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเมล็ดข้าว** - ช่วยเพิ่มจำนวนรวงข้าวและน้ำหนักเมล็ด ทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น - เพิ่มความสมบูรณ์ของเมล็ด ลดอัตราเมล็ดลีบ - ช่วยให้ข้าวมีคุณภาพดี เหมาะสำหรับการบริโภคและการแปรรูป
---
### วิธีการใช้ฮิวมิค FK ในการทำนาข้าว 1. **ช่วงเตรียมดิน**: ผสมฮิวมิค FK กับน้ำแล้วฉีดพ่นลงบนพื้นที่นา เพื่อปรับปรุงโครงสร้างดิน 2. **ช่วงปลูกข้าว**: ฉีดพ่นฮิวมิค FK ในอัตราส่วนที่เหมาะสมในช่วงที่ต้นข้าวเริ่มแตกกอ 3. **ช่วงข้าวตั้งท้อง**: ใช้ฮิวมิค FK เพื่อเพิ่มธาตุอาหารและกระตุ้นการสร้างเมล็ด
---
### สรุป **ฮิวมิค FK** ช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวด้วยการปรับปรุงคุณภาพดิน เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหาร และกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นข้าว อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช ส่งผลให้ข้าวมีผลผลิตสูงขึ้น คุณภาพดีขึ้น และเกษตรกรสามารถลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีได้ในระยะยาว
---
#### คำแนะนำการใช้งาน: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือศึกษาวิธีใช้งานจากฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการทำนาข้าวของคุณ
#ฮิวมิคFK #ทำนาข้าว #เพิ่มผลผลิตข้าว #เกษตรอินทรีย์ #ปรับปรุงดิน #ข้าวไทยคุณภาพ #ปุ๋ยฮิวมิค |
5 พืชเศรษฐกิจไทย ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด
5 พืชเศรษฐกิจไทยที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในปี 2566 (มูลค่าเป็นเงินบาท) ได้แก่:
1. ผลไม้ - มูลค่าส่งออกประมาณ 248_500 ล้านบาท (คิดเป็น 25.9% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด) โดยทุเรียนเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนยอดขาย โดยเฉพาะในตลาดจีน
2. ข้าว - มูลค่าส่งออกประมาณ 184_200 ล้านบาท (19.2%) ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวคุณภาพสูง เช่น ข้าวหอมมะลิ ไปยังตลาดโลก
3. มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ - มูลค่าส่งออกประมาณ 132_500 ล้านบาท (13.8%) ส่วนใหญ่ส่งไปยังจีนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และพลังงาน
4. ยางพารา - มูลค่าส่งออกประมาณ 130_400 ล้านบาท (13.6%) โดยเน้นตลาดในเอเชีย เช่น จีน และมาเลเซีย
5. น้ำตาลทราย (จากอ้อย) - มูลค่าส่งออกประมาณ 120_000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลผลิตสำคัญที่มีตลาดหลักในประเทศอาเซียนและเอเชียใต้
ตัวเลขมูลค่าเงินบาทคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2566
|
วิธีดูแลไร่ ข้าวโพด ให้ได้ผลผลิตสูง
**ด้วยการใช้ฮิวมิค FK เสริมฟลูวิคและปุ๋ยทางใบ FK-1**
การเพิ่มผลผลิตข้าวโพดอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการบำรุงดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่การเตรียมดินไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ฮิวมิค FK เสริมฟลูวิค และปุ๋ยทางใบ FK-1 (สูตร 20-20-20 พร้อมสารสังเคราะห์คลอโรฟิล Mg + Zn) เป็นทางเลือกที่ดีในการเสริมการเจริญเติบโตของข้าวโพด ทำให้ต้นแข็งแรง ผลผลิตสมบูรณ์ และให้ผลผลิตสูงขึ้น
### คุณประโยชน์ของฮิวมิค FK และฟลูวิคต่อข้าวโพด - **ฮิวมิค FK** ช่วยปรับโครงสร้างดิน เพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำ และเสริมการเจริญเติบโตของราก ทำให้รากสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น - **ฟลูวิค** ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุอาหารที่จำเป็นในดิน ทำให้พืชแข็งแรงและพร้อมต่อการเจริญเติบโตที่ดี
### วิธีการใช้ฮิวมิค FK - **อัตราการผสม**: ใช้ฮิวมิค FK 10 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร - **การใช้งาน**: ฉีดพ่นรอบโคนต้นข้าวโพดเมื่อเริ่มปลูก และทำซ้ำทุก 1-2 เดือน โดยเน้นบริเวณรากเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากและเสริมการดูดซึมของธาตุอาหาร
### ปุ๋ยทางใบ FK-1 สูตร 20-20-20 พร้อมสารสังเคราะห์คลอโรฟิล Mg + Zn ปุ๋ย FK-1 เป็นปุ๋ยสูตร 20-20-20 ที่มีธาตุอาหารครบถ้วนช่วยเสริมการเจริญเติบโตของลำต้นและใบ อีกทั้งยังเสริมด้วยสารสังเคราะห์คลอโรฟิล Mg + Zn ซึ่งมีส่วนช่วยในการสังเคราะห์แสงและทำให้ใบมีสีเขียวเข้ม มีความสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยให้ข้าวโพดแข็งแรงและเพิ่มผลผลิต
#### วิธีการใช้ปุ๋ยทางใบ FK-1 1. **แกะกล่อง FK-1** จะพบสองถุง: - **ถุงแรก**: ปุ๋ยสูตร 20-20-20 - **ถุงที่สอง**: สารสังเคราะห์คลอโรฟิล Mg + Zn 2. **อัตราการผสม**: ใช้ถุงละ 25-50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร 3. ผสมปุ๋ยทั้งสองถุงในน้ำ คนให้เข้ากันดี 4. ฉีดพ่นทางใบข้าวโพดทุก 15-30 วัน ช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้กับใบและต้น เพื่อให้ต้นข้าวโพดได้รับสารอาหารครบถ้วน
### ตารางการบำรุงดูแลไร่ข้าวโพด - **ระยะต้นอ่อน**: ฉีดพ่นฮิวมิค FK รอบโคนต้นและใช้ปุ๋ยทางใบ FK-1 เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต - **ระยะกลางการเจริญเติบโต**: ฉีดพ่นปุ๋ย FK-1 ทุก 15-30 วัน เพื่อเสริมใบและลำต้น - **ระยะก่อนเก็บเกี่ยว**: ฉีดพ่นฮิวมิค FK เพื่อฟื้นฟูสภาพดินและเตรียมความพร้อมสำหรับรอบการเพาะปลูกต่อไป
### สรุป การใช้ **ฮิวมิค FK เสริมฟลูวิค** และ **ปุ๋ยทางใบ FK-1 สูตร 20-20-20 พร้อมสารสังเคราะห์คลอโรฟิล Mg + Zn** เป็นวิธีการที่ช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวโพดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเสริมราก ใบ และลำต้น ทำให้ต้นข้าวโพดสมบูรณ์แข็งแรงและเพิ่มปริมาณผลผลิต |
ปุ๋ย สำหรับนาข้าว ดูแลตลอดช่วงอายุ เพิ่มผลผลิตข้าว
การเพิ่มผลผลิตข้าวโดยการใช้ **ฮิวมิค FK** เสริม **ฟลูวิค** ร่วมกับปุ๋ยทางใบ เช่น **FK-1** และ **FK-3R** ตลอดช่วงการปลูกข้าว จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ต้นข้าวและส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อใช้ฮิวมิคและฟลูวิคร่วมกัน จะช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน ทำให้รากดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น และส่งเสริมการเจริญเติบโตตั้งแต่เริ่มปลูก
### ขั้นตอนการฉีดพ่นปุ๋ยและการใช้งานในแต่ละระยะการปลูกข้าว
1. **ระยะเริ่มต้นหลังปลูก** - ใช้ **ฮิวมิค FK ผสมฟลูวิค** ฉีดพ่นร่วมกับ **ปุ๋ยทางใบ FK-1 (สูตร 20-20-20)** เพื่อกระตุ้นการงอกและการตั้งตัว โดยสารฟลูวิคจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุอาหารในดิน และ FK-1 จะให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของใบและลำต้น แมกนีเซียม (Mg) และสังกะสี (Zn) จะเสริมสร้างคลอโรฟิลล์ เพิ่มการสังเคราะห์แสงและความเขียวของใบ ทำให้ต้นข้าวแข็งแรง
2. **ระยะเติบโตและขยายตัว** - ยังคงฉีดพ่น **ฮิวมิค FK และฟลูวิค** ร่วมกับ **FK-1** เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง FK-1 ที่มีไนโตรเจนในปริมาณสูงจะช่วยให้ใบเขียวสดใสและเติบโตได้ดีขึ้น ส่วนฟอสฟอรัสจะช่วยกระตุ้นระบบราก ทำให้ต้นข้าวสามารถรับน้ำและธาตุอาหารจากดินได้ดีขึ้น
3. **ระยะสร้างรวงและเติมเมล็ดข้าว** - เปลี่ยนไปใช้ **ปุ๋ยทางใบ FK-3R (สูตร 5-10-40)** ผสมกับ **ฮิวมิค FK และฟลูวิค** โดย FK-3R ที่มีโพแทสเซียมในปริมาณสูงจะช่วยในการพัฒนาและเพิ่มขนาดของเมล็ด ทำให้เมล็ดมีน้ำหนักและความสมบูรณ์ พร้อมสารสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ที่ช่วยให้การสังเคราะห์แสงมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ต้นข้าวสะสมสารอาหารในเมล็ดได้ดีขึ้น
4. **ระยะก่อนการเก็บเกี่ยว** - ลดการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ เพื่อให้ต้นข้าวสะสมพลังงานในเมล็ดอย่างเต็มที่ พร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว ฮิวมิคและฟลูวิคที่ยังอยู่ในดินจะช่วยรักษาสภาพดินให้คงความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ดินพร้อมสำหรับการปลูกครั้งต่อไป
การใช้ฮิวมิค FK เสริมฟลูวิคร่วมกับปุ๋ยทางใบ FK-1 และ FK-3R ตามขั้นตอนนี้จะช่วยให้ข้าวมีการเจริญเติบโตที่ดีและเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
|
|
|
กลุ่มทางใบปุ๋ยประสิทธิภาพสูง
*โปรดอ่าน ใช้ FK-1 ในช่วงแรก เพื่อเร่งโต เร่งราก เร่งดอก จับคู่กับ FK-3 ในช่วงเร่งผลผลิต พืชออกผลทุกชนิด ใช้ FK-1 กับ FK-3,
นาข้าว ใช้ FK-1 กับ FK-3R (Rice), ไร่อ้อย ใช้ FK-1 กับ FK-3S (Sugarcane), มันสำปะหลัง ใช้ FK-1 กับ FK-3C (Cassava)
กลุ่มอินทรีย์ ปุ๋ย ยาปราบฯ
ที่ขายดีที่สุดบน ลาซาด้า
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอสกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอส3ลิตร กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งมาคากับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอกี้-บีทีกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง FK-T 1ลิตร กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งFK-T 250ซีซี กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอสกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
กลุ่มเคมียาปราบฯประสิทธิภาพสูง
สั่ง อินเวท กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง เมทาแลคซิล กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง คาร์รอน กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง แม็กซ่า กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|