[sort by : last post | top views]..
+ โพสเรื่องใหม่ | ^ เลือกหน้า | ค้นคำว่า - เพิ่มผลผลิต
922 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 92 หน้า, หน้าที่ 93 มี 2 รายการ

ปุ๋ยสละ FK-1 และ FK-3 กับบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเจริญเติบโต และการเพิ่มผลผลิตได้อย่างดีเยี่ยม
ปุ๋ยสละ FK-1 และ FK-3 กับบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเจริญเติบโต และการเพิ่มผลผลิตได้อย่างดีเยี่ยม
ปุ๋ยสละ FK-1 และ FK-3 กับบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเจริญเติบโต และการเพิ่มผลผลิตได้อย่างดีเยี่ยม
FK-1 เป็นปุ๋ยสำหรับส่งเสริมการเจริญเติบโตของสละ ส่วน FK-3 นั้นเป็นปุ๋ยเพิ่มผลผลิตสละ ใช้ฉีดพ่นเมือสละเริ่มติดผลแล้ว บทบาทสำคัญของธาตุหลัก ธาตุรอง ทีประกอบอยู่ใน FK-1 และ FK-3 มีรายละเอียดดังนี้

ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของต้นสละ ธาตุเหล่านี้หรือที่เรียกว่าธาตุอาหารหลักมีบทบาทสำคัญในสุขภาพโดยรวมและผลผลิตของต้นสละ

ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ช่วยให้พืชสังเคราะห์แสงและผลิตพลังงานจากแสงแดด หากไม่มีธาตุไนโตรเจนเพียงพอ ต้นสละจะใบเหลืองและแคระแกรน ไนโตรเจนยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากที่แข็งแรงและการพัฒนาของใบและกิ่งใหม่

ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับต้นสละ มีบทบาทในการผลิตคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช ฟอสฟอรัสยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบรากที่แข็งแรงและการออกดอกและติดผลของต้นสลัก

โพแทสเซียมยังเป็นธาตุอาหารหลักที่สำคัญสำหรับต้นสละอีกด้วย ช่วยควบคุมความสมดุลของน้ำภายในพืช ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากที่แข็งแรง และเพิ่มความต้านทานต่อโรคของพืช โพแทสเซียมยังมีความสำคัญต่อการสังเคราะห์โปรตีนและกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการเมแทบอลิซึมของพืช

โดยรวมแล้ว การใช้ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมอย่างเหมาะสมสามารถช่วยปรับปรุงผลผลิตของต้นสละได้ เพื่อให้แน่ใจว่าองค์ประกอบที่จำเป็นเหล่านี้มีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ผู้ปลูกสละสามารถช่วยให้ต้นไม้ของพวกเขาเติบโตแข็งแรงและแข็งแรง และให้ผลผลิตที่อร่อยมากมาย

แมกนีเซียมและสังกะสีเป็นสารอาหารที่จำเป็น 2 ชนิดที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของพืช รวมทั้งสละด้วย แร่ธาตุเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางสรีรวิทยาต่างๆ ของพืช และการได้รับแมกนีเซียมและสังกะสีในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของผลสละได้

ประโยชน์หลักประการหนึ่งของแมกนีเซียมในการปลูกสละคือช่วยควบคุมการดูดซึมและการใช้สารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม แมกนีเซียมยังมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ซึ่งช่วยให้พืชเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงานผ่านการสังเคราะห์ด้วยแสง

ในทางกลับกัน สังกะสีมีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์ฮอร์โมนและเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างเซลล์ใหม่และการเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงโดยรวมของต้นสละ

การให้แมกนีเซียมและสังกะสีในปริมาณที่เพียงพอแก่ต้นสละสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและผลผลิตได้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้ปุ๋ยที่มีแร่ธาตุเหล่านี้ หรือโดยการใส่ลงในดินโดยตรง นอกจากนี้ ต้นสละยังได้รับประโยชน์จากการใช้อินทรีย์วัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก ซึ่งสามารถช่วยปรับปรุงโครงสร้างโดยรวมและปริมาณธาตุอาหารของดิน

สรุปได้ว่าแมกนีเซียมและสังกะสีเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการปลูกสละ การให้แร่ธาตุเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพและผลผลิตของต้นสละ ส่งผลให้ผลผลิตสูงขึ้นและผลไม้มีคุณภาพดีขึ้น

สนใจสั่งซื้อ

ลาซาด้า http://ไปที่..link..

ช้อปปี้ http://ไปที่..link..

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3611
ปุ๋ยมังคุด FK-1 และ FK-3 เร่งการเจริญเติบโต เร่งผลผลิตมังคุด ด้วยธาตุอาหารที่ครบถ้วน
ปุ๋ยมังคุด FK-1 และ FK-3 เร่งการเจริญเติบโต เร่งผลผลิตมังคุด ด้วยธาตุอาหารที่ครบถ้วน
ปุ๋ยมังคุด FK-1 และ FK-3 เร่งการเจริญเติบโต เร่งผลผลิตมังคุด ด้วยธาตุอาหารที่ครบถ้วน
ประโยชน์ของไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ต่อต้นมังคุดมีมากมาย สารอาหารที่จำเป็นเหล่านี้ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดี ปรับปรุงการผลิตผลไม้ และเพิ่มคุณภาพโดยรวมของผลมังคุด

ไนโตรเจนเป็นธาตุอาหารหลักที่ช่วยให้ต้นมังคุดเจริญเติบโตทางใบและลำต้นได้มากขึ้น สิ่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากพืชที่แข็งแรงและแข็งแรงสามารถทนต่อความเครียดและโรคได้ดีกว่า และมีแนวโน้มที่จะผลิตพืชผลขนาดใหญ่และอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ไนโตรเจนยังจำเป็นสำหรับการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำให้พืชสังเคราะห์แสงได้

ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับต้นมังคุด มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาของรากและช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตที่แข็งแรงและแข็งแรง ฟอสฟอรัสยังมีความสำคัญต่อการผลิตดอกไม้และผลไม้ และมีส่วนในกระบวนการเปลี่ยนแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานที่พืชนำไปใช้ได้

โพแทสเซียมเป็นธาตุอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับต้นมังคุด ช่วยควบคุมสมดุลน้ำของพืชและจำเป็นสำหรับการผลิตเอนไซม์และโปรตีน โพแทสเซียมยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาของลำต้นที่แข็งแรง สุขภาพโดยรวมและความแข็งแกร่งของพืช

นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ปุ๋ย N-P-K ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพของผลมังคุดได้อีกด้วย พวกเขาสามารถเพิ่มขนาดของผลไม้ ความหวาน และคุณค่าทางโภชนาการโดยรวม สิ่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากผลไม้คุณภาพสูงมีแนวโน้มที่จะดึงดูดผู้บริโภคและควบคุมราคาในตลาดได้สูงกว่า

โดยสรุป การใช้ปุ๋ย N-P-K สามารถให้ประโยชน์มากมายแก่ต้นมังคุด รวมถึงการเจริญเติบโตของพืชที่ดีขึ้น การเพิ่มผลผลิตของผลไม้ และคุณภาพของผลไม้ที่ดีขึ้น ประโยชน์เหล่านี้สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและผลผลิตของต้นมังคุด และท้ายที่สุดสามารถนำไปสู่ผลผลิตที่ทำกำไรได้มากขึ้นและยั่งยืน

แมกนีเซียม (Mg) และสังกะสี (Zn) เป็นธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับพืช แมกนีเซียมมีส่วนในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ทำให้พืชมีสีเขียวและจำเป็นต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง สังกะสีมีบทบาทในการสังเคราะห์ฮอร์โมนและเอ็นไซม์ของพืช และจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของใบและรากพืชอย่างเหมาะสม

ในการปลูกมังคุด แมกนีเซียมและสังกะสีสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและผลผลิตของพืช แมกนีเซียมสามารถช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ ทำให้พืชแข็งแรงและให้ผลผลิตมากขึ้น สังกะสีสามารถช่วยปรับปรุงระบบราก ซึ่งช่วยให้พืชดูดซับน้ำและสารอาหารจากดินได้ดีขึ้น สิ่งนี้สามารถนำไปสู่พืชที่แข็งแรงขึ้นซึ่งมีความทนทานต่อความเครียดและโรค

โดยทั่วไปแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องให้สารอาหารที่สมดุลแก่พืช รวมทั้งแมกนีเซียมและสังกะสี เพื่อให้พืชเติบโตอย่างแข็งแรงและให้ผลผลิตสูงสุด ซึ่งทำได้โดยการใช้ปุ๋ยที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการปลูกมังคุด หรือโดยการใส่อาหารเสริมแมกนีเซียมและสังกะสีลงในดินโดยตรง

สั่งซื้อ

ลาซาด้า http://ไปที่..link..

ช้อปปี้ http://ไปที่..link..

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3506
ปุ๋ยสำหรับข้าว FK-1 และ FK-3R ส่งเสริมผลผลิตสูง มีกลไกการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวได้อย่างไร?
ปุ๋ยสำหรับข้าว FK-1 และ FK-3R ส่งเสริมผลผลิตสูง มีกลไกการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวได้อย่างไร?
ปุ๋ยสำหรับข้าว FK-1 และ FK-3R ส่งเสริมผลผลิตสูง มีกลไกการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวได้อย่างไร?
ต้นข้าวต้องการสารอาหารที่จำเป็นหลายชนิดเพื่อให้เจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดี ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเป็นสารอาหารหลัก 3 ชนิดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าวในนาข้าว

ไนโตรเจนเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืชทุกชนิด และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของต้นข้าว ไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเนื้อเยื่อใหม่ในพืช นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการผลิตคลอโรฟิลล์ซึ่งจำเป็นต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง หากไม่มีธาตุไนโตรเจนเพียงพอ ต้นข้าวจะไม่สามารถเติบโตและพัฒนาได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ผลผลิตตกต่ำและคุณภาพผลผลิตลดลง

ฟอสฟอรัส เป็นธาตุอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับต้นข้าวในนา เช่นเดียวกับไนโตรเจน ฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนและโมเลกุลอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนพลังงานภายในเซลล์พืช เช่นเดียวกับในการผลิต DNA และ RNA หากไม่มีฟอสฟอรัสเพียงพอ ต้นข้าวอาจชะงักการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ทำให้ผลผลิตลดลงและคุณภาพของพืชลดลง

โพแทสเซียมเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นอันดับสามสำหรับต้นข้าวในนาข้าว โพแทสเซียมมีบทบาทสำคัญหลายประการในพืช รวมถึงการควบคุมการดูดซึมน้ำและการรักษาระดับ pH ที่เหมาะสมภายในเซลล์พืช นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการผลิตแป้งและน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของพืช หากไม่มีโพแทสเซียมที่เพียงพอ ต้นข้าวอาจทนต่อความเครียดและโรคได้น้อยลง ส่งผลให้ผลผลิตลดลงและคุณภาพของพืชลดลง

โดยรวมแล้ว ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าวในนาข้าว การให้สารอาหารเหล่านี้แก่ต้นข้าว เกษตรกรสามารถช่วยให้แน่ใจว่าพืชของพวกเขาแข็งแรงและให้ผลผลิต ซึ่งจะนำไปสู่ผลผลิตที่สูงขึ้นและคุณภาพของพืชที่ดีขึ้น นอกจากนี้ การใช้สารอาหารเหล่านี้สามารถช่วยปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์และผลผลิตโดยรวมของนาข้าว ทำให้มีความยั่งยืนและให้ผลผลิตมากขึ้นในระยะยาว

แมกนีเซียมและสังกะสีเป็นธาตุอาหารรองที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช เมื่อนำไปใช้กับนาข้าว แร่ธาตุเหล่านี้สามารถเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืชได้

แมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นสารสีที่ช่วยให้พืชสังเคราะห์แสงและเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงาน หากไม่มีแมกนีเซียมเพียงพอ พืชจะไม่สามารถผลิตพลังงานที่จำเป็นต่อการเติบโตและพัฒนาได้ ในนาข้าว การขาดแมกนีเซียมอาจทำให้พืชเจริญเติบโตช้าและให้ผลผลิตลดลง

สังกะสีมีบทบาทสำคัญหลายประการในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช ช่วยให้พืชผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เอนไซม์และโปรตีนอื่นๆ ซึ่งจำเป็นสำหรับกระบวนการเมแทบอลิซึมที่หลากหลาย ในนาข้าว การขาดธาตุสังกะสีอาจทำให้ผลผลิตพืชลดลงและคุณภาพของเมล็ดข้าวไม่ดี

การใช้แมกนีเซียมและสังกะสีในนาข้าวสามารถช่วยแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้และปรับปรุงความสมบูรณ์ของพืชผล แร่ธาตุเหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้หลายวิธี รวมถึงการใช้ปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน

นอกจากการปรับปรุงผลผลิตและคุณภาพของพืชแล้ว แมกนีเซียมและสังกะสียังช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของนาข้าวอีกด้วย แร่ธาตุเหล่านี้สามารถช่วยรักษาโครงสร้างและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งจำเป็นต่อการเพิ่มผลผลิตของพืชในระยะยาว นอกจากนี้ยังสามารถช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน ซึ่งสามารถปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของระบบนิเวศ

สรุปได้ว่าประโยชน์ของแมกนีเซียมและสังกะสีต่อนาข้าวมีมากมาย ธาตุอาหารรองที่จำเป็นเหล่านี้สามารถปรับปรุงผลผลิตและคุณภาพของพืช รักษาสุขภาพของดิน และส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ การนำแร่ธาตุเหล่านี้ไปใช้ในนาข้าว เกษตรกรสามารถช่วยรับประกันผลผลิตในระยะยาวและความยั่งยืนของพืชผล
อ่าน:3464
ปุ๋ยอ้อย FK-1 และ FK-3S ฉีดพ่นทางใบ ให้อ้อยโตไว ย่างปล้อง เพิ่มผลผลิต ได้ค่า CCS สูง
ปุ๋ยอ้อย FK-1 และ FK-3S ฉีดพ่นทางใบ ให้อ้อยโตไว ย่างปล้อง เพิ่มผลผลิต ได้ค่า CCS สูง
ปุ๋ยอ้อย FK-1 และ FK-3S ฉีดพ่นทางใบ ให้อ้อยโตไว ย่างปล้อง เพิ่มผลผลิต ได้ค่า CCS สูง
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็น 3 ชนิดที่พืชต้องการเพื่อการเจริญเติบโตและเจริญเติบโต ในกรณีของอ้อย สารอาหารเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาพืชที่แข็งแรงและให้ผลผลิตสูง ซึ่งสามารถผลิตน้ำตาลได้ผลผลิตสูง

ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญของโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อพืชทั้งหมด ไนโตรเจนยังเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เอนไซม์และฮอร์โมน ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช ระดับไนโตรเจนในดินที่เพียงพอสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของต้นอ้อย ส่งผลให้การเจริญเติบโตดีขึ้น ผลผลิตสูงขึ้น และต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืชได้ดีขึ้น

ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับต้นอ้อย มันเกี่ยวข้องกับการก่อตัวของรากที่แข็งแรงซึ่งจำเป็นสำหรับการดูดซับน้ำและสารอาหารจากดิน ฟอสฟอรัสยังมีบทบาทในการสังเคราะห์คาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของพืช ระดับฟอสฟอรัสในดินที่เพียงพอสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและความแข็งแรงของต้นอ้อย ซึ่งนำไปสู่ผลผลิตที่สูงขึ้นและการเจริญเติบโตโดยรวมที่ดีขึ้น

โพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นอันดับที่สามที่ต้นอ้อยต้องการเพื่อการเจริญเติบโต มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่สำคัญหลายอย่างของพืช รวมถึงการควบคุมการดูดซึมน้ำ การสังเคราะห์โปรตีนและเอนไซม์ และการควบคุมการสังเคราะห์ด้วยแสง ระดับโพแทสเซียมในดินที่เพียงพอสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและผลผลิตของต้นอ้อย ซึ่งนำไปสู่ผลผลิตที่สูงขึ้นและการเจริญเติบโตโดยรวมที่ดีขึ้น

โดยสรุปแล้ว ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของต้นอ้อย ระดับสารอาหารเหล่านี้ในดินที่เพียงพอสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและผลผลิตของต้นอ้อย ซึ่งนำไปสู่ผลผลิตที่สูงขึ้นและการเจริญเติบโตโดยรวมที่ดีขึ้น

แมกนีเซียมและสังกะสีเป็นแร่ธาตุที่จำเป็น 2 ชนิดที่สามารถให้ประโยชน์มากมายแก่ต้นอ้อย ประโยชน์เหล่านี้รวมถึงการเจริญเติบโตและการพัฒนาที่ดีขึ้น ความต้านทานความเครียดและโรคที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มการผลิตน้ำตาล

แมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ช่วยให้พืชสังเคราะห์แสงและเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงาน ระดับแมกนีเซียมที่เพียงพอในดินสามารถช่วยให้ต้นอ้อยเติบโตได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรง ส่งผลให้ต้นมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น

นอกจากบทบาทในการสังเคราะห์ด้วยแสงแล้ว แมกนีเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้พืชทนต่อความเครียดและโรคได้ การขาดแมกนีเซียมสามารถทำให้พืชอ่อนแอต่อความเครียดจากสิ่งแวดล้อม เช่น ความแห้งแล้งและอุณหภูมิที่สูงเกินไป ตลอดจนศัตรูพืชและโรคต่างๆ การให้แมกนีเซียมในระดับที่เพียงพอ สามารถช่วยต้นอ้อยให้แข็งแรงและให้ผลผลิต

สังกะสีเป็นแร่ธาตุสำคัญอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของต้นอ้อย เช่นเดียวกับแมกนีเซียม สังกะสีมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์แสงและช่วยให้พืชเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงาน นอกจากนี้ สังกะสียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเซลล์และเนื้อเยื่อใหม่ และจำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์และฮอร์โมนในพืชอย่างเหมาะสม ระดับสังกะสีในดินที่เพียงพอสามารถช่วยให้ต้นอ้อยเติบโตได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรง ส่งผลให้ผลผลิตของทั้งมวลชีวภาพและน้ำตาลสูงขึ้น

นอกจากบทบาทในการส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาแล้ว สังกะสียังสามารถช่วยให้ต้นอ้อยต้านทานความเครียดและโรคได้อีกด้วย การขาดสังกะสีสามารถทำให้พืชอ่อนแอต่อศัตรูพืชและโรคต่างๆ และลดความสามารถในการทนต่อความเครียดจากสิ่งแวดล้อม การให้ธาตุสังกะสีในระดับที่เพียงพอ ชาวไร่สามารถช่วยให้ต้นอ้อยของพวกเขาแข็งแรงและให้ผลผลิตได้แม้ในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม

โดยรวมแล้ว แมกนีเซียมและสังกะสีเป็นแร่ธาตุที่จำเป็น 2 ชนิดที่สามารถให้ประโยชน์หลายประการแก่ต้นอ้อย การให้แร่ธาตุเหล่านี้ในดินในระดับที่เพียงพอ ชาวไร่สามารถช่วยให้ต้นอ้อยของพวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแรง ต้านทานความเครียดและโรค และสร้างผลผลิตของทั้งมวลชีวภาพและน้ำตาลที่สูงขึ้น
อ่าน:3549
ปุ๋ยมันสำปะหลัง FK-1 และ FK-3C ส่งเสริมการเจริญเติบโต เพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
ปุ๋ยมันสำปะหลัง FK-1 และ FK-3C ส่งเสริมการเจริญเติบโต เพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
ปุ๋ยมันสำปะหลัง FK-1 และ FK-3C ส่งเสริมการเจริญเติบโต เพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
เพื่อให้มันสำปะหลังเจริญเติบโตและให้ผลผลิตสูง จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยด้วยธาตุอาหารที่เหมาะสม ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม (NPK) เป็นสารอาหารที่จำเป็น 3 ชนิดที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาของมันสำปะหลัง

ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช เนื่องจากเป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นสารสีที่ทำให้พืชมีสีเขียวและช่วยให้เปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงานผ่านการสังเคราะห์ด้วยแสง ไนโตรเจนยังมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์กรดอะมิโนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีน หากไม่มีไนโตรเจนเพียงพอ ต้นมันสำปะหลังจะแคระแกร็นและใบเหลือง ซึ่งจะทำให้ผลผลิตโดยรวมของพืชลดลง

ฟอสฟอรัสเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับพืชอีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสงและการผลิตพลังงาน นอกจากนี้ยังช่วยให้พืชพัฒนารากและลำต้นที่แข็งแรง และมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์ DNA และ RNA การขาดธาตุฟอสฟอรัสจะทำให้ต้นมันสำปะหลังเติบโตช้าและให้ผลผลิตลดลง

โพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับพืช เนื่องจากช่วยควบคุมการดูดซึมและการใช้สารอาหารอื่นๆ เช่น ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส มันยังมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และช่วยควบคุมปริมาณน้ำของพืช การขาดโพแทสเซียมจะทำให้ใบของมันสำปะหลังเป็นสีเหลืองและกลายเป็นเนื้อตาย ทำให้ผลผลิตลดลง

โดยสรุปแล้ว ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเป็นธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของต้นมันสำปะหลัง สารอาหารเหล่านี้ในระดับที่เพียงพอสามารถช่วยให้ต้นมันสำปะหลังเติบโตแข็งแรงและสมบูรณ์แข็งแรง และเพิ่มผลผลิตโดยรวมของพืชผลได้ การใช้ปุ๋ยที่มี NPK สมดุล เกษตรกรสามารถมั่นใจได้ว่าต้นมันสำปะหลังได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต

แมกนีเซียมและสังกะสี ที่มีบทบาทสำคัญ ต่อมันสำปะหลังเช่นกัน

มันสำปะหลังมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ และปัจจุบันปลูกในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนหลายแห่ง รวมถึงแอฟริกา เอเชีย และแคริบเบียน มันสำปะหลังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญเพราะทนแล้งและให้ผลผลิตสูง

ประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของแมกนีเซียมและสังกะสี ที่มีต่อมันสำปะหลังคือความสามารถในการปรับปรุงการเจริญเติบโต และพัฒนาการของพืช แมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นสารสีที่ช่วยให้พืชเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงานผ่านการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งหมายความว่าแมกนีเซียมมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่เหมาะสมของต้นมันสำปะหลัง ในทางกลับกัน สังกะสีมีความสำคัญต่อการสังเคราะห์เอนไซม์และฮอร์โมน ซึ่งมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช

ประโยชน์อีกประการของแมกนีเซียมและสังกะสีที่มีต่อมันสำปะหลัง คือความสามารถในการปรับปรุงความต้านทานของพืชต่อศัตรูพืชและโรค แมกนีเซียมและสังกะสีมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถช่วยปกป้องต้นมันสำปะหลังจากการทำลายของศัตรูพืช และโรคต่างๆ สิ่งนี้สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและผลผลิตของพืช

นอกจากประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของต้นมันสำปะหลังแล้ว แมกนีเซียมและสังกะสียังมีประโยชน์ต่อคุณภาพของหัวมันสำปะหลังอีกด้วย แมกนีเซียมและสังกะสีเป็นที่รู้จักกันในการปรับปรุงคุณค่าทางโภชนาการของหัวมันสำปะหลังโดยการเพิ่มปริมาณโปรตีนและไฟเบอร์ สิ่งนี้สามารถทำให้มันสำปะหลังเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้นสำหรับผู้คนนับล้านที่พึ่งพามันเป็นอาหารหลัก

โดยสรุปแล้ว แมกนีเซียมและสังกะสีเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายสำหรับทั้งมนุษย์และพืช สำหรับมันสำปะหลัง แมกนีเซียมและสังกะสีสามารถปรับปรุงการเจริญเติบโตและการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มความต้านทานต่อศัตรูพืชและโรค และเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการของรากของมัน ประโยชน์เหล่านี้ทำให้แมกนีเซียมและสังกะสีเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังและสำหรับผู้คนนับล้านที่อาศัยพืชชนิดนี้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ
อ่าน:3482
อะมิโนโปรตีนจำเป็นสำหรับพืช 18 ชนิด แรปเตอร์ ตราไดโนเร็กซ์ ปุ๋ยน้ำ บำรุงพืช ปลอดภัยไม่มีเคมีตกค้าง 100% บำรุงพืชทุกชนิด
อะมิโนโปรตีนจำเป็นสำหรับพืช 18 ชนิด แรปเตอร์ ตราไดโนเร็กซ์ ปุ๋ยน้ำ บำรุงพืช ปลอดภัยไม่มีเคมีตกค้าง 100% บำรุงพืชทุกชนิด
อะมิโนโปรตีน แรปเตอร์อะมิโนโปรตีนจำเป็นสำหรับพืช 18 ชนิด ช่วยในการสร้างฮอร์โมนพืช ทำให้เกิด การสร้างและขยายขนาดของเซลล์ เนื้อเยื่อ ขยายขนาดของเซลล์เนื้อเยื่อ และพัฒนาส่วนต่างๆ ของพืชเจริญ เติบโตได้อย่างเต็มที่ ผ่านระยะการ ออกดอก และผลได้อย่างสมบูรณ์

อะมิโนโปรตีน แรปเตอร์ : ใช้อย่างไร?
1. ผสมน้ำฉีดพ่น พืชผัก
- 10-20 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร
- 10-20 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร
- 10-20 มล. ต่อน้ำ 20 ลิตร
2. นาข้าว พืชไร่ ไม้ผล 20-40 มล. : น้ำ 20 ลิตร
3. ผสมน้ำระบบน้ำหยด 500 มล. : 1 ไร่
4. ควรฉีดพ่น 2 ครั้ง / เดือน
* ไม่ควรฉีดพ่นช่วงระยะพืชออกดอก *


สั่งซื้อ
โทร 0909-592-8614
ไลน์ @FarmKaset มี @ ด้วยนะคะ
สามารเลือกซื้อกับลาซาด้า http://ไปที่..link.. และช้อปปี้ http://ไปที่..link.. ได้เช่นกัน
ปลูกมังคุดให้ถูกวิธี ใส่ปุ๋ยให้กับมังคุด ฉีดพ่น FK-1 และ FK-3 เพิ่มผลผลิต ได้คุณภาพ
ปลูกมังคุดให้ถูกวิธี ใส่ปุ๋ยให้กับมังคุด ฉีดพ่น FK-1 และ FK-3 เพิ่มผลผลิต ได้คุณภาพ
ปลูกมังคุดให้ถูกวิธี ใส่ปุ๋ยให้กับมังคุด ฉีดพ่น FK-1 และ FK-3 เพิ่มผลผลิต ได้คุณภาพ
ข้อมูลทางด้านล่างนี้ เป็นการปลูกมังคุดให้ได้ผลผลิตทีดี FK-1 และ FK-3 เป็นปุ๋ยทางใบประสิทธิภาพสูง ใช้เพิ่มผลผลิต และคุณภาพของผลมังคุดได้ดี

ฉีดพ่น FK-1 ในช่วงที่ต้องการเร่งการเจริญเติบโตของมังคุด ปุ๋ยน้ำ FK-1 จะส่งเสริมการเจริญเติบโต ขยายทรงพุ่ม สร้างความเขียวของใบ ทำให้ระบบรากแข็งแรงดูดกินอาหารได้ดีขึ้น มีสารสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ ประกอบอยู่ใน FK-1 ส่งเสริมกระบวนการสร้างอาหารให้กับต้นมังคุด มังคุดจึงโตใบ เขียวสมบูรณ์ แข็งแรง ต้านทานต่อโรคพืชได้ดีขึ้น

ฉีดพ่น FK-3 เมื่อมังคุดเริ่มติดผล ทำให้มังคุดผลโต น้ำหนักดี มีคุณภาพดี FK-3 ประกอบด้วยธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการส่งเสริมผลผลิตมังคุดอย่างครบถ้วน เน้นให้ ธาตุ โพแตสเซียม (K) สูงมาเป็นพิเศษถึง 40% จึงเน้นไปที่การส่งเสริมกระบวนการสะสมอาหารไปที่ผลมังคุดโดยตรง ทำให้มังคุดผลโต คุณภาพดี มีน้ำหนัก จึงได้ผลผลิตที่สูงขึ้น

การปลูกมังคุดให้ได้ผลผลิตดี

การวางผังปลูก มี 2 ระบบ คือ ระบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสามเหลี่ยมด้านเท่า ระยะระหว่างแถวและต้น 8×8 เมตร หรือ 10×10 และระบบแถวกว้างต้นชิด ระยะปลูกระหว่างแถว 8×3 เมตร หรือ 10×5 เมตร

วิธีการปลูก มี 2 แบบ คือ การปลูกแบบเตรียมหลุมปลูก เหมาะกับพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้ง และการปลูกแบบนั่นแท่นหรือยกโคก เหมาะกับพื้นที่ฝนตกชุก ช่วยให้ดินระบายน้ำได้ดีขึ้น

การลดต้นทุน
ใช้ระยะปลูกและวิธีปลูกที่เหมาะสม สะดวกต่อการจัดการแปลงและการดูแลรักษา ทำให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ

5. การใส่ปุ๋ยให้กับมังคุด
เก็บตัวอย่างดินและตัวอย่างพืชส่งวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารและใส่ปุ๋ยให้สอดคล้องกับค่าวิเคราะห์ดินและใบ หรือ

การใส่ปุ๋ยหลังการเก็บเกี่ยว: ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 20-30 กิโลกรัม/ต้น ร่วมกับใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา (กิโลกรัม/ต้น) 1/3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม

การใส่ปุ๋ยในช่วงพัฒนาของผล: ใส่ปุ๋ยสัดส่วน 3:1:4 เช่นปุ๋ยสูตร 15-5-20 อัตรา(กิโลกรัม/ต้น) 1 ใน 3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม หรือตามค่าวิเคราะห์ดินหลังการติดผลทันที ร่วมกับพ่นปุ๋ยทางใบสัดส่วน 4:1:6 อัตรา 100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร

การลดต้นทุน
ใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินและความต้องการของพืช และใส่ 3 ครั้ง หลังเก็บเกี่ยว ก่อนออกดอก และเมื่อติดผลผสมปุ๋ยใช้เองลดต้นทุนค่าปุ๋ยได้ 30-50ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีและปุ๋ยชีวภาพให้ปุ๋ยในระบบน้ำ ลดต้นทุนการใช้แรงงาน 15-20%

การให้น้ำ
ให้น้ำเพียงพอกับความต้องการของมังคุดในแต่ละช่วงการเจริญเติบโต
ระยะติดผล อายุผลประมาณ 5 สัปดาห์ ให้น้ำทุก 3 วัน อัตรา 80% ของการให้น้ำปกติ
ระยะอายุผล 5 สัปดาห์ถึงก่อน 10 สัปดาห์ ให้น้ำอัตรา 90% ของการให้น้ำปกติ
ระยะอายุผลประมาณ 10-12 สัปดาห์ถึงเก็บเกี่ยว ให้น้ำอัตรา 80% ของการให้น้ำปกติ

7. การดูแลรักษา
การพรางแสง เพื่อให้ร่มเงาในช่วงแรกของการเจริญเติบโต อาจใช้วัสดุธรรมชาติช่วยพรางแสง หรืออาจปลูกต้นไม้โตเร็วระหว่างแถวมังคุด เช่น กล้วย ทองหลาง

การตัดแต่งและควบคุมทรงพุ่ม
มังคุดต้นเล็ก ตัดแต่งเฉพาะกิ่งด้านล่างให้สูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร และกิ่งที่ซ้อนทับกันจนแน่นทึบออก

มังคุดที่ให้ผลผลิตแล้ว ตัดแต่งกิ่งที่อยู่ด้านข้างของทรงพุ่มที่ประสานกันออก ให้มีช่องว่างระหว่างชายพุ่มโดยรอบกับต้นข้างเคียงประมาณ 50-70 เซนติเมตร ตัดยอดที่สูงเกินต้องการออก ตัดกิ่งประธานหรือกิ่งรองออกด้านละ 1-5 กิ่ง ให้เลี้ยงกิ่งแขนงที่อยู่ในทรงพุ่มไว้เพื่อได้ผลผลิตเพิ่ม

อ้างอิงข้อมูลทางวิชาการ จาก กรมวิชาการเกษตร
อ่าน:3486
ขายปุ๋ย FK-1 -ปุ๋ยนาข้าว คุณภาพสูง ข้าวแตกกอ โตไว ให้ผลผลิตดี
ขายปุ๋ย FK-1 -ปุ๋ยนาข้าว คุณภาพสูง ข้าวแตกกอ โตไว ให้ผลผลิตดี
ขายปุ๋ย FK-1 -ปุ๋ยนาข้าว คุณภาพสูง ข้าวแตกกอ โตไว ให้ผลผลิตดี
ปุ๋ยน้ำฉีดพ่นนาข้าว FK-1 ประกอบด้วย ธาตุอาหารหลักที่จำเป็นที่สุดสำหรับการเจริญเติบโต และการเพิ่มผลผลิตข้าว ทำให้ข้าวแตกกอใหญ่ ใบเขียว ส่งเสริมผลผลิต ข้าวรวงยาว เมล็ดเต็ม ผลผลิตเพิ่มขึ้นทันทีในรอบการปลูกที่ฉีดพ่น FK-1
อ่าน:3534
การปลูกทานตะวัน
การปลูกทานตะวัน
ทานตะวัน เป็นพืชนํ้ามันที่มีความสําคัญพืชหนึ่ง นํ้ามันที่ได้จากการสกัดจากเมล็ดทานตะวันจะ
มีคุณภาพสูง ที่ประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว เช่น กรดลิโนเลนิค หรือกรดลิโนเลอิค ที่จะช่วยลด
โคเลสเตอรอลที่เป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด นอกจากนี้นํ้ามันจากทานตะวันยังประกอบด้วย วิตามิน เอ ดีอีและเคด้วย ผลผลิตส่วนใหญ่อยู่ในเขตอบอุ่น เช่น สหภาพโซเวียต อาร์เจนตินา และประเทศ ในแถบยุโรปตะวันออก สําหรับประเทศไทย ได้มีการส่งเสริมให้มีการ ปลูกทานตะวันเป็นอาชีพเสริมมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับอุตสาหกรรมพืชนํ้ามันและความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้ เพราะ ทานตะวันเป็นพืชที่มีอายุสั้นระบบรากลึก มีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีกว่าพืชอื่น ๆ แหล่งปลูกที่สําคัญ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี เพชรบูรณ์ และสระบุรี

สภาพแวดล้อม
ทานตะวัน เป็นพืชที่มีการปรับตัวเข้ากับสภาพของเขตร้อนได้ดีพอสมควรไม่ไวต่อแสง สามารถ
ออกดอกใหผลได้ทุกสภาพช่วงแสง ปลูกได้ในบริเวณที่มีการปลูกข้าวโพด ข้าวฟาง เมื่่อทานตะวันตั้งตัวได้แล้ว จะมีความทนทานต่อสภาพแห้งและร้อนได้พอสมควร และจะเริ่มเติบโตทันทีเมื่อมีฝน นอกจากนี้ทานตะวันยังมีความทนทานต่อสภาพอากาศเย็นจัดได้ดีกว่าข้าวโพด ข้าวฟ่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นกล้า ทานตะวันขึ้นได้กับดินหลายประเภท แต่จะขึ้นได้ดีในสภาพดินที่มีผิวดินหนาและอุ้มความชื้นไว้ได้ดี สามารถทนต่อสภาพความอุดมสมบูรณ์ตํ่า ตลอดจนสภาพดินเกลือและเป็นด่างจัดได้พอสมควร ซึ่งดินเหล่านี้จะมีอยู่เป็นจํานวนมากในเขตแห้งแล้งทั่วๆไป

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ทานตะวัน เป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับเบญจมาศ คําฝอย ดาวเรือง เป็นพืชล้มลุกที่มีปลูกกัน
มากในเขตอบอุ่น การที่มีชื่อเรียกว่า ทานตะวัน เพราะลักษณะการหันของช่อดอกและใบจะหันไปทาง
ทิศของดวงอาทิตย์คือ หันไปทางทิศตะวันออกในตอนเช้า และทิศตะวันตกในตอนเย็น แต่การหันจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ หลังจากมีการผสมเกสรแล้วไปจนกระทั่งถึงช่วงดอกแก่ ซึ่งช่อดอกจะหันไปทิศตะวันออกเสมอ

ราก เป็นระบบรากแก้วหยั่งลึกลงไปประมาณ 150-270 เซนติเมตร มีรากแขนงค่อนข้างแข็ง
แรงแผ่ขยายไปด้านข้างได้ยาวถึง 60-150 เซนติเมตร เพื่อช่วยคํ้าจุนลําต้นได้ดีและสามารถใช้ความชื้นระดับผิวดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลําต้น ส่วนใหญ่ไม่มีแขนง แต่บางพันธุ์มีการแตกแขนง ขนาดของลําต้น ความสูง การแตก
แขนงขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพแวดล์อม ความสูงของต้นอยู๋ระหว่าง 1-10 เซนติเมตร การโค้งของลําต้น ตรงส่วนที่เป็นก้านช่อดอกมีหลายแบบ แบบที่ต้องการคือแบบที่ ส่วนโค้งตรงก้านช่อดอกคิดเป็นร้อยละ15 ของความสูงของลําต้น พันธุ์ที่มีการแตกแขนง อาจมีความยาวของแขนงสูงกวาลําตนหลักแขนง อาจแตกมาจากส่วนโคนหรือยอด หรือตลอดลําต้นก็ได้

ใบ เป็นใบเดี่ยวเกิดตรงกันข้าม หลังจากที่มีใบเกิดแบบตรงกันข้ามอยู่ 5 คู่แล้ว ใบที่เกิดหลัง
จากนั้นจะมีลักษณะวน จํานวนใบบนต้นอาจมีตั้งแต่ 8-70 ใบ รูปร่างของใบแตกต่างกันตามพันธุ์สีของ
ใบอาจมีตั้งแต่เขียวอ่อน เขียว และเขียวเข้ม ใบที่เกิดออกมาจากตายอดใหม่ๆ ก้านใบจะอยู่ในแนวตั้งจนกระทั้งใบมีความยาว 1 เซนติเมตร ปลายยอดจะค่อย ๆ โค้งลงจนเมื่อใบแก่แล้วก็จะโค้งลงมาเป็นรูปตัวยู (U) การสร้างใบจะมีมากจนกระทั่งดอกบาน หลังจากนั้นการสร้างใบจะลดน้อยลง
ดอก เป็นรูปจาน เกิดอยู่บนตายอดของลําต้นหลัก หรือแขนงลําต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอก
อยู่ระหว่าง 6-37 เซนติเมตร ซึ่งขึ้นกับพันธุ์และสภาพแวดล้อม ดอกมีลักษณะเป็นแบบช่อดอก
ประกอบด้วยดอกย่อยเป็นจํานวนมาก ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

1. ดอกย่อยที่อยู่รอบนอกจานดอก เป็นดอกที่ไม่มีเพศ (เป็นหมัน) มีกลับดอกสีเหลืองส้ม
2. ดอกย่อยที่อยู่ในจานดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีเกสรตัวผู้ที่พร้อมจะผสมได้ก่อนเกสรตัว
เมีย และสายพันธุ์ผสมเป็นส่วนใหญ่ผสมตัวเองน้อยมาก
ในแต่ละจานดอกจะมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 700-3_000 ดอก ในพันธุ์ที่ให้นํ้ามัน ส่วนพันธุ์
อื่นๆ อาจมีดอกย่อยถึง 8_000 ดอก การบานหรือการแก่ของดอกจะเริ่มจากวงรอบนอกเข้าไปสู่ศูนย์
กลางของดอก ดอกบนกิ่งแขนงจะมีขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นแขนงที่แตกออกมาตอนแรกๆ ดอกจะมีขนาด
ใหญ่เกือบเท่ากับดอกบนลําต้นหลัก ส่วนใหญ่พันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า มักจะเลือกต้นชนิดที่มีดอกเดี่ยว
เพื่อความสมบูรณ์ของดอก และให้เมล็ดที่มีคุณภาพดี

เมล็ด (หรือผล) ประกอบด้วยเนื้อใน ซึ่งถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเปลือกที่แข็งแรง เมื่อผลสุกส่วนของ
ดอกที่อยู่เหนือรังไข่จะร่วง ผลที่มีขนาดใหญ่จะอยู่วงรอบนอก ส่วนผลที่อยู่ข้างในใกล้ๆ กึ่งกลางจะมีผลเล็กลง

เมล็ดทานตะวัน แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ
1. เมล็ดใช้สกัดนํ้ามัน จะมีเมล็ดเล็ก สีดํา เปลือกเมล็ดบางให้นํ้ามันมาก
2. เมล็ดใช้รับประทาน จะมีเมล็ดโตกว่าพวกแรก เปลือกหนาไม่ติดกับเนื้อในเมล็ด เพื่อสะดวก
ในการกะเทาะแล้วใช้เนื้อในรับประทาน โดยอบหรือปรุงแต่งขนมหวาน หรือทําเป็นแป้งประกอบอาหารหรือใช้เมล็ดคั่วกับเกลือแล้ว แทะเปลือกออกรับประทานเนื้อข้างในเป็นอาหารว่าง เช่นเดียวกับเมล็ดแตงโม
3. เมล็ดใช้เลี้ยงนก ใช้เมล็ดเป็นอาหารเลี้ยงนก หรือไก่ โดยตรง

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ทานตะวันชอบอากาศอบอุ่นในเวลากลางวันและอากาศเย็นในเวลากลางคืน อุณหภูมิที่เหมาะ
สมคือ อยู่ระหว่าง 18-25 องศาเซลเซียส สภาพความเป็นกรด-ด่าง ของดินประมาณ 5.7-8 สามารถ
ขึ้นได้ในดินแทบทุกประเภท แต่ที่ขึ้นได้ดีคือดินที่มีหน้าดินลึกที่อุ้มนํ้าได้ดี แต่ไม่ชอบนํ้าขังและไม่ชอบดินที่มีลักษณะเป็นกรด หากดินที่ปลูกมีความชื้นตํ่า ผลผลิตของเมล็ดจะตํ่าลงมาก

พันธุ์
ทานตะวันมี 3 สายพันธุ์พันธุ์ผสมเปิด ซึ่งเป็นพันธุ์เดิมที่ใช้ปลูก ซึ่งในดอกจะมีจํานวนเรณูที่ติด
อยู่ที่ก้านชูเกสรตัวเมียน้อย ทําให้การติดเมล็ดด้วยการผสมตัวเองตํ่า ต้องอาศัยแมลงช่วยในการผสม
เกสร จึงจะทําให้ติดเมล็ด การปลูกจึงไม่ประสบผลสําเร็จเพราะได้เมล็ดลีบ ผลผลิตตํ่าเนื่องจากไม่ค่อยมีแมลงช่วยผสมเกสร แต่ปัจจุบันมีพันธุ์ลูกผสมสามารถติดเมล็ดได้ดีโดยไม่ต้องอาศัยแมลงช่วยผสมเกสร เพราะในดอกมีละอองเรณูที่ติดอยู่ก้านชูเกสรตัวเมียมากกว่าพันธุ์ผสมเปิด 3-4 เท่า จึงทําให้การติดเมล็ดด้วยการผสมตัวเองดีกว่าสายพันธุ์ผสมเปิด

ปัจจุบันยังไม่มีการผลิตเมล็ดทานตะวันลูกผสมในประเทศไทย ต้องนําเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่
พันธุ์ไฮซัน 33 และพันธุ์เอส 101 ซึ่งมีลักษณะของจานดอกค่อนข้างใหญ่กลีบดอกสีเหลืองสดใสและให้ปริมาณนํ้ามันสูง สายพันธุ์สังเคราะห์ซึ่งยังไม่มีการส่งเสริมในปัจจุบัน แต่ในขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยของหน่วยงานวิจัย สําหรับทานตะวันที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในขณะนี้คือ สายพันธุ์ลูกผสม

ลักษณะดีเด่นของพันธุ์ลูกผสม ได้แก่
1. ผลผลิต เฉลี่ย 254.82 กิโลกรัมต่อไร่
2. การติดเมล็ด เฉลี่ยร้อยละ 76.3
3. เส้นผ่าศูนย์กลาง เฉลี่ย 15.4 เซนติเมตรของจานดอก
4. ความสูงของต้น เฉลี่ย 168.9 เซนติเมตร
5. อายุเก็บเกี่ยว เฉลี่ย 90-100 วัน
6. ปริมาณนํ้ามัน เฉลี่ยร้อยละ 48 ที่มา
1-4 การเปรียบเทียบพันธุ์ทานตะวันในท้องถิ่น จํานวน 5 พันธุ์ฤดูแล้ง ปี 2529 ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ 5-6 บริษัทแปซิฟิค เมล็ดพันธุ์จํากัด

ลักษณะที่ดีของพันธุ์ ลูกผสม คือ สามารถผสมเกสรภายในดอกเดียวกันได้สูง การติดเมล็ดค่อน
ข้างดี การหาผึ้งหรือแมลงช่วยผสมเกสรจึงไม่จําเป็นมากนัก แต่ถ้ามีแมลงช่วยผสมก็มีลักษณะประจํา
พันธุ์ที่มีผลต่อการดึงดูดแมลง เช่น กลีบดอกสีสดใส กลิ่นของเรณูปริมาณและคุณภาพของนํ้าหวานก็ดีกว่าพันธุ์ผสมเปิด ทนทานต่อการโค่นล้มและต้านทานต่อโรคราสนิม

ฤดูปลูก
ทานตะวันเป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ในทุกฤดูกาล เพราะเป็นพืชที่ไม่ไวต่อช่วงแสง อย่าง
ไรก็ตามการปลูกในบางท้องที่อาจไม่มีความเหมาะสม เช่น ในที่ลุ่มภาคกลาง ในฤดูฝนจะมีนํ้าขังแฉะ
เกินไป หรือที่ดินในฤดูแล้งที่ไม่มีนํ้าชลประทาน ดังนั้นฤดูที่เหมาะสมที่สุดมี 2 ฤดูคือ

1. ปลายฤดูฝน ในสภาพพื้นที่ที่เป็นดินร่วนเหนียว ควรปลูกทานตะวันในปลายฤดูฝน คือ ตั้ง
แต่เดือนกันยายน-พฤศจิกายน แต่ถ้าสภาพพื้นที่ที่ปลูกเป็นดินร่วนทราย ควรปลูกในเดือนสิงหาคมตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูฝน
2. ฤดูแล้ง ถ้าในแหล่งปลูกนั้นสามารถใช้นํ้าจากชลประทานได้ก็สามารถปลูกเป็นพืชเสริมได้
โดยปลูกในช่วงเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว
เนื่องจากพันธุ์ลูกผสมนี้ดอกค่อนข้างใหญ่ เวลาเมล็ดแก่จานดอกจะห้อยลงมาและด้านหลังของ
จานดอกจะมีลักษณะเป็นแอ่งเหมือนกระทะก้นแบน เมื่อฝนตกลงมานํ้าฝนจะขังในแอ่งดังกล่าว จะทําให้เกิดโรคเน่าได้มากและทําให้เมล็ดเน่าเสียหาย ดังนั้นจึงควรปลูกในปลายฤดูฝน หรือในฤดูแล้งถ้ามี
ฝนตกนํ้าขังในแอ่งของจานดอก ให้เขย่าต้นเพื่อทําให้นํ้าไหลออกให้หมด

การเตรียมดิน
การเตรียมดินก้อนปลูก ควรไถดินให้ลึกในระดับ30 เซนติเมตรหรือลึกกว่านั้น เพราะว่า เมื่อฝนตกดินจะสามารถรับนํ้าให้ซึมซับอยู่ในดินได้มากขึ้น การไถดินลึกจะช่วยทําลายการอัดแน่นของดินในชั้นไถพรวน ทําให้นํ้าซึมลงในดินชั้นล่างได้มากขึ้น ควรกําจัดวัชพืชในแปลงให้สะอาด และไถย่อยดินครั้งสุดท้ายให้ร่วนซุย หากมีการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปพร้อมกับการย่อยดินครั้งสุดท้ายจะช่วย
เสริมธาตุอาหารต่างๆเพื่อให้พืชนําไปใช้ประโยชน์

การปลูก
หลังจากเตรียมดินเสร็จแล้ว ควรทําร่องสําหรับหยอดเมล็ด โดยให้แต่ละร่องห่างกัน 70-75 เซนติเมตร และให้หลุมปลูกในร่องห่างกัน 25-30เซนติเมตร หยอดหลุมละ 2 เมล็ด แลวกลบดินโดยให้เมล็ดอยู่ลึก 5-8เซนติเมตร เมื่อพืชงอกได้ 10 วัน หรือมีใบจริง 2-4 คู่ให้ถอนแยกเหลือไว้
เฉพาะต้นที่แข็งแรงเพียงหลุมละ 1 ต้น และถ้าหากดินมีความชื้นตํ่าควรใช้
ระยะปลูกกว้างขึ้น

การยกร่องนี้ เพื่อเป็นการสะดวกในการให้นํ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกในฤดูแล้งที่ต้องการนํ้ามาก ส่วนการปลูกในฤดูฝน ถ้าเป็นดินที่มีการระบายนํ้าดีก็ไม่จําเป็นต้องยกร่องและใช้ระยะปลูกเช่นเดียวกับยกร่องการปลูกวิธีนี้ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมจํานวน 0.7 กิโลกรัมต่อไร่และปลูกตามระยะที่แนะนํานี้
จะได้จํานวนต้น 6_400-8_500 ต้นต่อไร่

ใส่ปุ๋ย
ทานตะวันเป็นพืชที่ให้โปรตีน และแร่ธาตุสูง จึงควรใส่ปุ๋ยในปริมาณที่พืชต้องการตามสภาพดิน
ที่ปลูกด้วยสําหรับปุ๋ยเคมีที่เหมาะสมที่แนะนํา คือ สูตร 15 – 15 - 15 หรือ 16 - 16 - 8 อัตรา 30
- 50 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่รองพื้นพร้อมปลูก และใช้ปุ๋ยยูเรีย 46 – 0 - 0 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อ
ไร่ เมื่อทานตะวันอายุได้ 30 วัน หรือมีใบจริง 6-7 คู่ ซึ่งเป็นระยะกําลังจะออกดอก หากมีการตรวจ
วิเคราะห์ดินก่อนปลูก จะช่วยให้การใช้ปุ๋ยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและในกรณีที่เป็นดินทรายและขาดธาตุ
โบรอน ควรใส่ผงโบแรกซ์ประมาณ 2 กิโลกรัมต่อไร่ จะทําให้เพิ่มผลผลิตได้มากและทําให้คุณภาพของเมล็ดทานตะวันดีขึ้น

ให้นํ้า
นํ้าเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการผลิตทานตะวัน หากความชื้นในดินมีน้อยก็จะทําให้ผล
ผลิตลดลงด้วย การให้นํ้าที่เหมาะสมแก่ทานตะวันจึงจะทําให้ได้รับผลผลิตดีด้วย ดังนั้นการให้นํ้าควร
ปฏิบัติดังนี้
ครั้งที่ 1 หลังจากปลูกเสร็จแล้วรีบให้นํ้าทันทีหรือควรทําการปลูกทันทีหลังฝนตกเพื่อใช้ความชื้นในดินให้เต็มที่โดยไม่ต้องรดนํ้า
ครั้งที่ 2 ระยะมีใบจริง 2 คู่ หรือประมาณ 10-15 วัน หลังงอก
ครั้งที่ 3 ระยะเริ่มมีตาดอก หรือประมาณ 30-35 วัน หลังงอก
ครั้งที่ 4 ระยะดอกเริ่มบาน หรือประมาณ 50-55 วัน หลังงอก
ครั้งที่ 5 ระยะกําลังติดเมล็ด หรือประมาณ 60-70 วัน หลังงอก การให้นํ้าควรให้นํ้าอย่างเพียง
พอให้ดินชุ่ม แต่ไม่ต้องถึงกับแฉะและนํ้าขังการให้นํ้าควรคํานึงถึงความชุ่มชื้นในดินด้วย ไม่ควรปล่อย
ให้ดินแห้งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงแรกของการเจริญเติบโตจนถึงระยะติดเมล็ด

การกําจัดวัชพืช
ควรกําจัดวัชพืชอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อทานตะวันมีใบจริง 2-4 คู่ ซึ่งการทํารุ่นครั้งแรก
นี้ทําพร้อมกับการถอนแยกต้นพืชให้เหลือ 1 ต้นต่อหลุม เป็นการสะดวกสําหรับเกษตรกรในการปฏิบัติ
และครั้งที่สองทําพร้อมกับการใส่ปุ๋ยครั้งที่สอง เมื่อทานตะวันมีใบจริง 6-7 คู่ ทํารุ่นพร้อมกับใส่ปุ๋ยและ
พูนโคนต้นไปด้วย ในแปลงที่มีปัญหาวัชพืชขึ้นรบกวน ควรทําการกําจัดวัชพืชเพื่อป้องกันการแย่งอาหารและความชื้นในดิน ตั้งแต่ต้นยังเล็กหรือใช้สารเคมีคุมกําเนิดหรือใช้สารเคมีคุมกําเนิดพวกอะลาคลอร์ หรือเมโธลาคลอร์ฉีดพ่นหลังหยอดเมล็ดก่อนที่จะงอกในอัตรา 300-400 ซีซีผสมนํ้า 4 ปี๊บ สําหรับฉีดพ่นในเนื้อที่ปลูก 1 ไร่ โดยฉีดให้สมํ่าเสมอกันสามารถคุมการเกิดวัชพืชได้นานถึง 2 เดือน และควรใช้แรงงานคน สัตว์หรือเครื่องทุ่นแรง ทํารุ่นได้ตามความจําเป็น

ข้อควรระวัง
ห้ามใช้สารเคมีกําจัดวัชพืชอะทราซีนในทานตะวันโดยเด็ดขาด

การเก็บเกี่ยว
ทานตะวัน จะมีอายุการเก็บเกี่ยวแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่ปลูก (พันธุ์ลูกผสม อายุเก็บเกี่ยว 90-100 วัน)

วิธีการ
เก็บเกี่ยวนั้นให้สังเกตจากด้านหลังของจานดอกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นช่วงการสร้างนํ้ามันในเมล็ดจะเริ่มลดลง และจะหยุด
สร้างนํ้ามันเมื่อจานดอกเปลี่ยนเป็นสีนํ้าตาลก็เริ่มเก็บเกี่ยวได้หลัง
จากนั้นให้นําไปผึ่งแดดจัด ๆ 1-2 แดด โดยแขวนให้หัวห้อยลงและ
หมั่นกลับช่อดอก เพื่อให้ดอกแห้งอย่างสมํ่าเสมอ ถ้าเก็บเกี่ยวในช่วงที่ยังมีฝนชุกให้นํามาผึ่งในร่ม
หลายๆ วันจนแห้งสนิท แล้วจึงรวบรวมไปนวด อาจใช้แรงคนหรือสัตว์หรือใช้เครื่องนวดเมล็ดถั่วเหลืองหรือถั่วลิสงก็ได้เสร็จแล้วนําไปทําความสะอาดแล้วเก็บไว้ในยุ้งฉางที่ป้องกันแดด-ฝน และแมลงศัตรูได้ เพื่อรอจําหน่าย (ความชื้นของเมล็ดที่จะเก็บรักษาไว้ควรไม่เกิน 10%)

การให้ผลผลิต
การปลูกทานตะวันในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการบํารุงรักษาดีจะให้ผลผลิตไม่ตํ่ากว่า
300 กิโลกรัมต่อไร่แต่โดยเฉลี่ยประมาณไม่ตํ่ากว่า 200 กิโลกรัมต่อไร่

โรคแมลงและศัตรูทานตะวัน
- โรคใบและลําตำนไหม้อัลเทอร์นาเรีย
- โรคโคนเน่าหรือลําต้นเน่า
แมลงศัตรูทานตะวัน
- หนอนกระทู้ผัก
- หนอนเจาะสมอฝ้าย
- หนอนม้วนใบส้ม
- หนอนเจาะลําต้นข้าวโพด

ศัตรูทานตะวัน
นก หนูและอื่น ๆ นับว่าเป็นศัตรูสําคัญอีกประการหนึ่ง ที่จะทําความเสียหายให้แก่ทานตะวัน
โดยเฉพาะในแหล่งปลูกใหญ่ๆ ฉะนั้นเกษตรจะต้องหมั่นออกสํารวจตรวจแปลงเสมอ เมื่อพบว่ามีการ
ระบาดก็ให้รีบทําการป้องกันกําจัด โดยวิธีกลคือ การวางกับดัก การล้อมตีเป็นต้น

ประโยชน์ของทานตะวัน
แต่เดิมทานตะวันเป็นเพียงไม้ดอกไม้ประดับเท่านั้น ต่อมาได้นําเมล็ดมาเป็นของขบเคี้ยว และ
สกัดเป็นนํ้ามัน จึงทําให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สําคัญพืชหนึ่ง การใช้ประโยชน์จากทานตะวันมีหลายลักษณะดังนี้

1. เมล็ด ใช้บริโภคโดยตรง เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ได้ในเมล็ด มีธาตุเหล็กสูงไม่แพ้
ธาตุเหล็กจากไข่แดงและตับสัตว์เมื่อบดทําแป้งจะได้แป้งสีขาว มีไขมันสูง มีโปรตีนมากกว่าร้อยละ 50ของปริมาณแป้ง
2. เปลือกของลําต้น มีลักษณะเหมือนเยื่อไม้นํามาทํากระดาษสีขาวได้คุณภาพดีลําต้นใช้ทํา
เชื้อเพลิงได้เมื่อไถกลบจะเป็นปุ๋ยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินได้ดี
3. ราก ใช้ทําแป้งเค้ก สปาเก็ตตี้ในรากมีวิตามินบี1 และธาตุอีกหลายชนิด แพทย์แนะนําให้ใช้ รากทานตะวันประกอบอาหารสําหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
4. นํ้ามัน นํ้ามันที่สกัดจากเมล็ดจะให้ปริมาณนํ้ามันสูงถึงร้อยละ 35 และได้นํ้ามันที่มีคุณภาพ
สูง ประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวเช่น กรดลิโนเลอิค หรือกรดลิโนเลนิค สูงถึงร้อยละ 60-70 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการช่วยลดคลอเรสเตอรอลที่เป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ และยังประกอบด้วยไวตามิน เอ ดีอีและเค ซึ่งคุณภาพของไวตามินอีจะสูงกว่าในนํ้ามันพืชอื่น ๆ เมื่อ เก็บไว้เป็นเวลานานจะไม่เกิดกลิ่นหืน ทั้งยังทําให้สีกลิ่น และรสชาติไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากใช้เป็นนํ้ามันพืชแล้วยังนิยมใช้ในอุตสาหกรรม ทําเนยเทียม สีนํ้ามันชักเงา สบู่และนํ้ามันหล่อลื่นเครื่องยนต์
5. กาก กากที่ได้จากการสกัดนํ้ามันออกแล้ว จะนําไปใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ได้ในกาก
เมล็ดทานตะวันที่กะเทาะเปลือกและบีบนํ้ามันออกแล้ว จะมีโปรตีนร้อยละ 42 และใช้เป็นแหล่ง
แคลเซียมสําหรับปศุสัตว์ได้ดีแต่จะมีปริมาณกรดอะมิโนอยู่เล็กน้อย และขาดไลซีนจึงต้องใช้อย่างรอบคอบ เมื่อจะเอาไปผสมเป็นอาหารสัตว์ที่มิใช่สัตว์เคี้ยวเอื้อง


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
รูปภาพจาก
อ่าน:3582
การปลูกดอกทานตะวัน ปลูกเป็นไร่ หรือปลูกรอบบ้าน
การปลูกดอกทานตะวัน ปลูกเป็นไร่ หรือปลูกรอบบ้าน
วิธีการปลูกดอกทานตะวัน

ดอกทานตะวัน (ทานตะวัน) เป็นพืชที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ ต้องหยุดเชยชมและแมลงวันที่กินเกสรเป็นอาหารต้องเข้ามาตอมดูดดื่มน้ำหวานจากดอกทานตะวัน

การปลูกดอกทานตะวันมี 3 รูปแบบวิธี
1. วิธีการปลูกแบบจำนวนมากให้เป็นไร่หลายไร่หรือเป็นทุ่งกว้าง
2. วิธีการปลูกต้นไม้รอบบ้านประดับรอบบ้านให้บานสวยงาม
3. วิธีการปลูกใส่กระถางเพื่อจัดเรียงหรือย้ายไปปลูกตามจุดที่ต้องการ

1. วิธีการปลูกแบบจำนวนมาก เป็นไร่หลายไร่หรือเป็นทุ่งกว้าง
ขั้นตอนแรก การเตรียมดิน
เตรียมดิน กำจัดวัชพืช หว่านปุ๋ยคอกอัตรา 1.5 ตัน/ไร่ แล้วไถปรับสภาพพื้นดิน ยกร่องให้กว้าง 150 เซนติเมตร ระยะระหว่างร่อง 75 เซนติเมตร ขุดหลุมบนสันร่อง ระยะระหว่างหลุม 45 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยรองพื้น สูตร 16-20-0 หรือ 25-7-7 อัตรา 20-25 กิโลกรัม/ไร่

ในการขุดดินที่ไม่เคยปลูกอะไรมานานควรเลือกใช้ผานดิน 3 ใบลงหลุมที่ 1 จากนั้นทิ้งดิน 15 นาทีให้ดินกรอบจากนั้นเราจะเปลี่ยนเป็น
หน้าผาพรวนดินเผาพรวนให้ ดินแตกละเอียดอีกครั้งก่อนทำการปลูก พืชใด ๆ ครับ

ขั้นตอนการปลูกโดยการหยอดเมล็ดพันธุ์

1. เตรียมดิน โดยดายหญ้าให้เตียน หว่านปุ๋ยคอกอัตรา 1.5 ตัน/ไร่ แล้วไถปรับสภาพพื้นดิน
2. ยกร่องให้กว้าง 150 เซนติเมตร ระยะระหว่างร่อง 75 เซนติเมตร ขุดหลุมบนสันร่อง ระยะระหว่างหลุม 45 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยรองพื้น สูตร 16-20-0 หรือ 25-7-7 อัตรา 20-25 กิโลกรัม/ไร่
3. ใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 0.8 กิโลกรัม / ไร่ หยอดหลุมละ 2-3 เมล็ด กลบดินหนา ประมาณ 3-5 เซนติเมตร ให้แน่นพอสมควร
4. ใช้ยาคุมหญ้า อัตรา 300-400 ซีซี/ไร่ หรือ 7-8 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 18-20 ลิตร ฉีดพ่นหลังหยอดเมล็ด
5. หลังจากปลูกไปแล้ว 5 – 10 วัน ให้ตรวจดูการงอก และการปลูกซ่อม หลังจากนั้นอีก 5– 8 วัน ถอนแยกให้เหลือ 1 ต้น/หลุม โดยเลือกถอนต้นที่มีขนาดเล็กหรือผิดปกติก่อน

การให้น้ำ
ทานตะวันต้องการน้ำพอสมควรในช่วงระยะแรกของการเจริญเติบโต ถ้าปลูกปลายฤดูฝนอาจไม่จำเป็นต้องให้น้ำ แต่ถ้าปลูกในฤดูแล้งควรรดน้ำช่วงระยะ 1 เดือนแรก และระยะ 50 วัน (ช่วงมีดอก)

การให้ปุ๋ย
ระยะที่ 1 เสริมสร้างการเจริญเติบโตของราก ลำต้นและใบ หลังจากย้ายกล้าแล้วประมาณ 30 วัน ให้ปุ๋ยไนโตรเจนสูง 46-0-0 อัตรา 20-30 กก./ไร่
ระยะที่ 2 ช่วงการเจริญเติบโตถึงระยะสังเกตเห็นตุ่มดอก ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 20-30 กก/ไร่ ระยะที่ 3 เมื่อดอกเริ่มบาน ให้ปุ๋ยสูตร ให้ปุ๋ยสูตร 8 – 24 – 24 หรือ 13 – 13 – 21 อัตรา 20-30 กก./ไร่ต่อเนื่องตลอดอายุการให้ดอก

การเก็บเกี่ยว
ทานตะวันต้องรอให้ดอกแห้ง ซึ่งจะมีอายุหลังปลูกประมาณ 4 เดือนสำหรับทานตะวันซึ่งเป็นมีผลผลิตเฉลี่ย 350 กก ต่อไร่ แต่ถ้าดูแลดีจะมีผลผลิตสูงถึง 500 กิโลกรัม เมล็ดที่เก็บได้ถ้าอยากให้เก็บได้นาน ๆ ควรเอาไปตากแดดให้แห้งสัก 1-2 แดด แล้วเก็บเข้าห้องเย็น เพราะเมล็ดทานตะวันเป็นพืชน้ำมันอายุการเก็บรักษาจะสั้นถ้าเก็บไว้ในที่อุณหภูมิสูง

ขั้นตอนตอนการปลูกโดย(ด้วยเครื่องและใช้คน)

หลังจากที่เตรียมดินเสร็จแล้วให้เราเอาเมล็ดพันธุ์ทานตะวันเดินสูงส่งลงบนพื้นดินใช้ปริมาณที่เหลือ 1-1.2 กม. ต่อไร่ 1 ไร่ ด้วยความลึกของการวางผานประมาณ 5 ซม. ให้ดินกลบให้ทั้งแปลงหรือถ้าใครที่มีผานพรวนที่มีอุปกรณ์การสะสมเหลืออยู่เราก็สามารถใส่ลงไปในอุปกรณ์และการกระจายพรวนและการชุมนุมในพื้นที่

นำเข้าใส่ขุนนางแล้วก็คร่ำครวญเอาไว้ในรอบเดียวในการเป็นผู้มีเกียรติจะใช้ลงคะแนนเสียงมากกว่า
การสะสม แต่แลกด้วยความสะดวกสะบายรวดเร็วครับ

การใส่

เกลือทานตะวันเป็นพืชที่ให้โปรตีนและแร่ธาตุสูงควรใส่ปุ๋ยในปริมาณที่ต้องการตามสูตรที่เหมาะสมสำหรับการทำปุ๋ยเคมี 15-15-15 หรือ 16-16-8 อัตรา 30 -50 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่รองหนาพร้อมปลูกและใช้ปุ๋ยยูเรีย46-0-0 อัตรา20-30 กิโลกรัมต่อไร่เมื่อทานตะวันมีอายุได้30 วันหรือมีใบจริง6-7 คู่ การตรวจวิเคราะห์ดินก่ อนปลูกจะช่วยให้การใช้ปุ๋ยมีคุณสมบัติมากขึ้นและในกรณีที่เป็นดินทรายและขาดธาตุโบรอนควรใส่ผงโบแรกซ์ประมาณ2กิโลกรัมต่อไร่จะช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากและทำให้คุณภาพของเมล็ดทานตะวันดีขึ้น แต่ถ้าคุณมีใครบ้างที่มีปุ๋ยสามารถใช้ได้มาก ๆ ถ้ามีปริมาณมากเราสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีหรือ ไม่ใส่เลยวรรณกรรมครับ

การให้น้ำดอกไม้เป็น

ผลดีต่อการผลิตทานตะวันการลดปริมาณน้ำฝนจะช่วยลดปริมาณการผลิตลงได้ด้วยการให้น้ำที่เหมาะสมแก่การผลิตทานตะวัน
ครั้งที่ 1 ปลูกทันทีทำการหลังที่คุณคุณคุณฝนตกเพื่อใช้ความชื้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดห้างหุ้นส่วนจำกัดที่คุณคุณคุณดินให้เต็มที่โดยไม่ที่คุณคุณคุณต้องรดน้ำ
ครั้งที่ 2 ยระมีคุณใบจริง 2 คู่หรือประมาณ 10-15 หลังงอกการ ธ นา วันรา
ครั้งที่ 3 ระยะเริ่มมีตาดอกหรือประมาณ 30-35 หัวเรื่อง: การงอกหลังธนาคารวัน
ครั้งที่ 4 ระยะดอกเริ่มบานหรือประมาณ 50-55 หัวเรื่อง: การงอกหลังธนาคารวัน
ครั้งที่ 5 ระยะกำลังติดหรือประมาณ 60-70 วัน ที่ได้หลังจากรับหัวเรื่อง: การปฐมพยาบาล แต่อย่างใด แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะคุณต้องทำด้วยความสามารถระมัดระวัง แต่อย่างใดยิ่งชวงแรกของหัวเรื่อง: การเจริญเติบโตจนถึงระยะติดยังไม่ได้

การเก็บเกี่ยวทานตะวัน
ในกรณีที่มีการปลูกพืชจำนวนมากในสมัยก่อนฉันจะใช้วิธีการตัดดอกออกมาแดดเมื่อแห้งแล้วจะนำมาใช้ในการแกะหรือแกะออกมาพร้อมกับการกรีด เพื่อให้ได้มาซึ่งความสะอาดและสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกเป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้วจึงทำการนวดด้วยเครื่องนวดข้าว เมื่อถึงเวลาที่เราจะใช้รถเกี่ยวกับทานตะวันออกมาเป็นสีแดงได้เร็ว ๆ นี้ แต่ในโซนเกษตรกรที่ปลูกมาก ๆ เฉพาะในพื้นที่ห่างไกลก็จะ สามารถใช้วิธีที่ไร่เราใช้สมัยก่อนก็ได้ครับ

ปัญหาในการ ปลูกทานตะวัน
1. ตอนวิกตอเรีย
ตอบ เมื่อวิคตอเรียจากนั้นควรคร่ำครวญเพื่อป้องกันตัวทันที
2. ต้นอายุได้ 7-10 วันมันชอบกินช่วงที่ตัวอ่อนถ้ากินจะยอดของต้นทานตะวันไม่เหลือต้นนั้นก็จะตายในที่สุดครับ
ตอบ สนองต่อการกินก็กินเพียง 5-10% เมื่อต้นบานเต็มท้องทุ่งแล้วเราไม่ได้เห็นความแตกต่างต่างประเทศครับ ขึ้นบางและเราไม่อยากให้มันกินยอดอ่อนในช่วง 7-10 วันแรกที่เราจะต้องพ่ายแพ้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นการเคาะปี๊บใช้ถุงกระสอบห้อยกับไม้ให้ลมพัด วิธีนี้ก็ช่วยให้นกไม่กล้าม กินได้
3. เมื่อต้นทานตะวันมีอายุ 15 วันขึ้นไปก็จะมีหนอนมากินที่ใบ
การตอบ สนองต่อการทำลายของหนอนกินใบถ้าเราจะหลีกเลี่ยงการใช้ยาเคมีและปล่อยให้มันเป็นไปได้ที่จะใช้เวลานานในการกำจัดแมลงศัตรูพืชที่เหลืออยู่ ดีไม่มีผลกับความสมบูรณ์ของการลงคะแนนในแน่นอน

2. วิธีการปลูกต้นไม้รอบบ้านประดับรอบบ้านให้บานสวยงาม
วิธีการปลูกต้นไม้เพื่อประดับบ้านจะไม่มีขั้นตอนอะไรมากครับขอแสดงความยินดีเลือกสถานที่ที่มีแสงแดดมากที่สุดจากนั้นขุดหลุมลึก 5 ซม. รวบรวมเมล็ดทานตะวันลงไปในหลุมที่ 2 จากนั้นกลบทิ้งด้วยดินที่ขุด ระยะห่างต่อหลุมประมาณ 30 ซม. เมื่อต้นขึ้นแล้วถ้าหลุมไหนมี 2 ต้นให้เราดึงต้นหนึ่งออกให้เหลือเพียงหลุมละ 1 ต้นเท่านั้น

การดูแลรักษา
การให้น้ำ ควรรดน้ำทุกวันในตอนเช้าหรือเย็น หากรดน้ำในเวลาเย็นควรให้น้ำ ที่ค้างอยู่บนใบแห้งก่อนพระอาทิตย์ตกดิน และเมื่อมีดอกบาน อย่ารดน้ำให้ถูกดอกเพราะอาจทำให้ดอกช้ำหรือเน่าได้ การให้น้ำควรให้สภาพดินชุ่มสลับแห้ง ไม่ควรให้ชุ่มตลอดเวลา เพราะอาจเป็นสาเหตุของโรครากเน่า โคนเน่า และทำให้ระบบรากไม่พัฒนา ส่งผลให้ต้นแคระแกร็น ไม่สมบูรณ์ สามารถสังเกตสีของดินหรือวัสดุเพาะ หากมีสีดำหรือน้ำตาลเข้ม แสดงว่าดินยังชุ่มหรือมีน้ำอยู่ เมื่อดินเปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลอ่อน แห้งแข็ง แสดงว่าดินขาดน้ำ

วิธีการปลูกแบบกระถาง
1.เตรียมดินสำหรับการปลูกทานตะวัน
สูตรที่ 1 ส่วนประกอบดินผสมโดยทั่วไป ได้แก่ ดินร่วน ปุ๋ยหมัก แกลบดิบ แกลบเผา ขุยมะพร้าว
อัตราส่วน 1 : 1 : 2 : 2 : 2
สูตรที่ 2 ส่วนประกอบดินผสมโดยทั่วไป ได้แก่ แกลบดิบ ขุยมะพร้าว ดิน อัตราส่วน 3 : 5 : 2

2.หลังจากการเพาะเมล็ดไปแล้วประมาณ 10-15 วัน ให้สังเกต ต้นกล้าเมื่อมีใบจริง 2 คู่ขึ้นไป ต้นกล้าจะโตพอที่จะย้ายได้ รดน้ำดินให้ชื้นก่อนการย้ายปลูก โดยการเจาะหลุมดินให้ลึกและกว้างพอกับดินที่หุ้มรากมา แล้วนำต้นกล้าหยอดลงในหลุมแล้วกลบด้วยดิน

3.รดน้ำให้ชุ่มโดยใช้บัวรดแบบฝอยละเอียด ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เช้า-เย็น



ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อ่าน:3887
922 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 92 หน้า, หน้าที่ 93 มี 2 รายการ
|-Page 80 of 93-|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | 39 | 40 | 41 | 42 | 43 | 44 | 45 | 46 | 47 | 48 | 49 | 50 | 51 | 52 | 53 | 54 | 55 | 56 | 57 | 58 | 59 | 60 | 61 | 62 | 63 | 64 | 65 | 66 | 67 | 68 | 69 | 70 | 71 | 72 | 73 | 74 | 75 | 76 | 77 | 78 | 79 | 80 | 81 | 82 | 83 | 84 | 85 | 86 | 87 | 88 | 89 | 90 | 91 | 92 | 93 |


โทร 090-592-8614
ไลน์ไอดี @FarmKaset

กลุ่มสินค้าขายดีมาก

ฮิวมิค FK
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ
ไทอะมีทอกแซม
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ
แพนน่อน
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ


กลุ่มทางใบปุ๋ยประสิทธิภาพสูง
*โปรดอ่าน ใช้ FK-1 ในช่วงแรก เพื่อเร่งโต เร่งราก เร่งดอก จับคู่กับ FK-3 ในช่วงเร่งผลผลิต พืชออกผลทุกชนิด ใช้ FK-1 กับ FK-3, นาข้าว ใช้ FK-1 กับ FK-3R (Rice), ไร่อ้อย ใช้ FK-1 กับ FK-3S (Sugarcane), มันสำปะหลัง ใช้ FK-1 กับ FK-3C (Cassava)

FK-1
สั่ง FK-1 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3
สั่ง FK-3 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3S
สั่ง FK-3S กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3R
สั่ง FK-3R กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3C
สั่ง FK-3C กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มอินทรีย์ ปุ๋ย ยาปราบฯ
ที่ขายดีที่สุดบน ลาซาด้า

FKT250-IS250-499B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 1ลิตร
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 3ลิตร
สั่งไอเอส3ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
มาคา
สั่งมาคากับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอกี้-บีที
สั่งไอกี้-บีทีกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L
สั่ง FK-T 1ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK ธรรมชาตินิยม
สั่งFK-T 250ซีซี กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 250ซีซี
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-IS1L-970B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-MAKA-980B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-AiKi-990B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มเคมียาปราบฯประสิทธิภาพสูง

invet
สั่ง อินเวท กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
metalaxyl
สั่ง เมทาแลคซิล กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
carron
สั่ง คาร์รอน กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มปุ๋ยทางใบผสมสูตรเองได้
เว็บระบบคำนวณการผสมปุ๋ย


starfer 30-20-5
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 10-40-10
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 15-5-30
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
maxza
สั่ง แม็กซ่า กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้



บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
Central Laboratory (Thailand) Co.,Ltd.

ให้บริการตรวจวิเคราะห์
ตรวจฉลากโภชนาการ
ตรวจสารสำคัญกัญชา/กัญชง
ตรวจน้ำใช้ในกระบวนการผลิต
ฟอร์มขอใบเสนอราคา
สำหรับตรวจวิเคราะห์อื่นๆ ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (ตรวจวิเคราะห์ได้ทุกอย่าง) โปรดกรอก ฟอร์มขอใบเสนอราคา
ตรวจขึ้นทะเบียนปุ๋ยเคมี
ตรวจสารพิษตกค้างเพื่อการส่งออก
ตรวจผักสดปลอดเชื้อจุลินทรีย์ E. coli, Salmonella spp.
ส่งตัวอย่างมะละกอ เพื่อการทดสอบการดัดแปลงพันธุกรรม
ส่งตัวอย่างเพื่อทดสอบ ปริมาณอะฟลาทอกซินในเมล็ดแมงลัก ลูกเดือย และพริกแห้ง เพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร
Hardline Test Application
ปุ๋ยคุณภาพสูง
พืชทุกชนิด | ปุ๋ยทุเรียน | ปุ๋ยมันสำปะหลัง | ปุ๋ยสำหรับไร่อ้อย | ปุ๋ยนาข้าว | ปุ๋ยยางพารา | ปุ๋ยมะพร้าว | ปุ๋ยข้าวโพด | ปุ๋ยปาล์ม | ปุ๋ยสับปะรด | ปุ๋ยถั่วเหลือง | ปุ๋ยพริกไทย | ปุ๋ยกาแฟ | ปุ๋ยมะนาว | ปุ๋ยส้ม | ปุ๋ยลำไย | ปุ๋ยลิ้นจี่ | ปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่ง | ปุ๋ยกระเจี๊ยบเขียว | ปุ๋ยมังคุด | ปุ๋ยมันฝรั่ง | ปุ๋ยหอมหัวใหญ่ | ปุ๋ยกระเทียม | ปุ๋ยหอมแดง | ปุ๋ยมะเขือเทศ | ปุ๋ยกล้วยไม้ | ปุ๋ยอินทผลัม | ปุ๋ยน้อยหน่า | ปุ๋ยชมพู่ | ปุ๋ยเงาะ | ปุ๋ยมะม่วง | ปุ๋ยมะขาม | ปุ๋ยพริก
ยาอินทรีย์แก้โรคพืช
โรคใบไหม้ | ทุเรียนใบติด | มันสำปะหลังใบไหม้ | โรคอ้อยใบไหม้ | ข้าวใบไหม้ | ยางพาราใบไหม้ | โรคมะพร้าวใบไหม้ | โรคราน้ำค้างข้าวโพด | ปาล์มใบไหม้ | โรคสับปะรด | โรคราน้ำค้างถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟใบไหม้ | ราสนิมมะนาว | ส้มใบไหม้ | ลำไยใบไหม้ | ลิ้นจี่ใบไหม้ | หน่อไม้ฝรั่งลำต้นไหม้ | กระเจี๊ยบเขียวฝักลาย | โรคใบจุดมังคุด | มันฝรั่งใบใหม้ | โรคหอมเลื้อย | โรคใบจุดกระเทียม | โรคหอมแดง | ราแป้งมะเขือเทศ | โรคจุดสนิมกล้วยไม้ | อินทผลัมใบไหม้ | น้อยหน่าดอกร่วง | ชมพู่ใบไหม้ | เงาะใบไหม้ | มะม่วงใบไหม้ | ราแป้งมะขาม | โรคพริก
ยาเคมี กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยทุเรียน | เพลี้ยมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยข้าว | เพลี้ยยางพารา | เพลี้ยมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยสับปะรด | เพลี้ยถั่วเหลือง | เพลี้ยพริกไทย | เพลี้ยกาแฟ | เพลี้ยมะนาว | เพลี้ยส้ม | เพลี้ยลำไย | เพลี้ยลิ้นจี่ | เพลี้ยหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยมังคุด | เพลี้ยมันฝรั่ง | เพลี้ยหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยกระเทียม | เพลี้ยหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยกล้วยไม้ | เพลี้ยอินทผาลัม | เพลี้ยน้อยหน่า | เพลี้ยชมพู่ | เพลี้ยเงาะ | เพลี้ยมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยพริก
ยาเคมี กำจัดโรคพืช
โรคใบไหม้ | โรคทุเรียน | โรคมันสำปะหลัง | โรคอ้อย | โรคข้าว | โรคยางพารา | โรคมะพร้าว | โรคข้าวโพด | โรคปาล์ม | โรคสับปะรด | โรคถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟ | โรคมะนาว | โรคส้ม | โรคลำไย | โรคลิ้นจี่ | โรคหน่อไม้ฝรั่ง | โรคกระเจี๊ยบเขียว | โรคมังคุด | โรคมันฝรั่ง | โรคหอม | โรคกระเทียม | โรคหอมแดง | โรคมะเขือเทศ | โรคกล้วยไม้ | โรคอินทผาลัม | โรคน้อยหน่า | โรคชมพู่ | โรคเงาะ | โรคมะม่วง | โรคมะขาม | โรคพริก
ยาอินทรีย์ กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน | เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยศัตรูข้าว | เพลี้ยแป้งยางพารา | เพลี้ยศัตรูมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยอ่อนปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยแป้งสับปะรด | เพลี้ยอ่อนถั่วเหลือง | เพลี้ยแป้งพริกไทย | เพลี้ยแป้งกาแฟ | เพลี้ยไฟมะนาว | เพลี้ยไฟส้ม | เพลี้ยแป้งลำไย | เพลี้ยแป้งลิ้นจี่ | เพลี้ยไฟหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยจักจั่นฝ้ายกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยไฟมังคุด | เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง | เพลี้ยไฟหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยไฟกระเทียม | เพลี้ยไฟหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยไฟกล้วยไม้ | เพลี้ยแป้งอินทผาลัม | เพลี้ยแป้งน้อยหน่า | เพลี้ยไฟชมพู่ | เพลี้ยแป้งเงาะ | เพลี้ยจักจั่นมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยไฟพริก
สารชีวินทรีย์ กำจัดหนอนต่างๆ
กำจัดหนอนศัตรูพืช | กำจัดหนอนทุเรียน | กำจัดหนอนมันสำปะหลัง | กำจัดหนอนกออ้อย | กำจัดหนอนในนาข้าว | กำจัดหนอนในสวนยางพารา | กำจัดหนอนมะพร้าว | กำจัดหนอนข้าวโพด | กำจัดหนอนปาล์มน้ำมัน | กำจัดหนอนสับปะรด | กำจัดหนอนถั่วเหลือง | กำจัดหนอนพริกไทย | กำจัดหนอนกาแฟ | กำจัดหนอนมะนาว | กำจัดหนอนส้ม | กำจัดหนอนลำไย | กำจัดหนอนลิ้นจี่ | กำจัดหนอนหน่อไม้ฝรั่ง | กำจัดหนอนกระเจี๊ยบเขียว | กำจัดหนอนมังคุด | กำจัดหนอนมันฝรั่ง | กำจัดหนอนหอมหัวใหญ่ | กำจัดหนอนกระเทียม | กำจัดหนอนหอมแดง | กำจัดหนอนมะเขือเทศ | กำจัดหนอนกล้วยไม้ | กำจัดหนอนอินทผาลัม | กำจัดหนอนน้อยหน่า | กำจัดหนอนชมพู่ | กำจัดหนอนเงาะ | กำจัดหนอนมะม่วง | กำจัดหนอนมะขาม | กำจัดหนอนพริก
iLab.work ผู้ใช้บริการตรวจวิเคราะห์ค่าธาตุอาหารใน ดิน น้ำ ปุ๋ย พืช กากอุตสาหกรรม มาตฐาน ISO/IEC 17025


ตรวจง่ายนับ 1 2 3 มาตฐาน ISO/IEC 17025
1.เลือกและคำนวณค่าตรวจที่หน้าเว็บ คลิก
2.ส่งดินเข้าห้อง LAB (ไปรษณีย์,เคอรี่,แฟรช)
3.อ่านผลออนไลน์ (เราจัดส่งต้นฉบับผลวิเคราะห์ ไปตามที่อยู่ที่ให้ไว้เช่นกัน)
→เริ่มกันเลย เลือกค่าที่ต้องการวิเคราะห์
[มีชุดโปรฯแนะนำลดพิเศษ หรือเลือกเองได้]
คำนิยม - ลูกค้า ไอกี้บีที กำจัดหนอนปลอดสารพิษ
Update: 2562/08/30 11:59:16 - Views: 3542
ปุ๋ยสตาร์เฟอร์ สูตร 15-5-30+3 MgO: เคล็ดลับใหม่สำหรับการขยายขนาดและเพิ่มคุณภาพของมะม่วง
Update: 2567/02/13 13:05:45 - Views: 3752
ถั่วฝักยาว ใบไหม้ โรคราสนิม ราแป้ง ราเขม่า โรคใบจุด โรคราต่างๆ ป้องกันกำจัดด้วย ไอเอส และเร่งฟื้นฟู ด้วย ปุ๋ย FK-T
Update: 2567/04/01 11:03:07 - Views: 3909
ปุ๋ย FK-1 บำรุงพืช โตไว ใบเขียว ผลใหญ่ น้ำหนักดี ผลผลิตดี ต้นทุนต่อไร่ถูกกว่าปุ๋ยเม็ด 4 เท่า เพิ่มผลผลิตสูงสุด 20 %
Update: 2566/06/17 10:27:10 - Views: 3494
🔥โรคราสนิม ในพืชต่างๆ ใช้ ไอเอส
Update: 2564/07/08 16:47:19 - Views: 3955
ทุ่มงบประมาณ  34 ล้านบาท ขยายตลาดยางแบบ ข้อตกลงส่งมอบจริง
Update: 2555/08/07 15:28:15 - Views: 3574
คุยกับคุณวินน์ สุทธิเดช ผู้บริหาร ICD มุกดาหาร และวอวิศโฮม อำนาจเจริญ - Piyamas Live ปิยะมาศ บัวแก้ว
Update: 2563/05/31 20:49:58 - Views: 3687
คุยกับคุณวินน์ สุทธิเดช ผู้บริหาร ICD มุกดาหาร และวอวิศโฮม อำนาจเจริญ - Piyamas Live ปิยะมาศ บัวแก้ว
Update: 2563/05/21 15:21:33 - Views: 3815
การต่อสู้กับโรคเชื้อราในต้นฟักทอง: วิธีป้องกันและรักษา
Update: 2566/11/18 10:24:18 - Views: 3607
การปลูกแตงโม : คู่มือการปลูกแตงโมเบื้องต้น ให้ได้ผลผลิตดี
Update: 2566/04/29 09:30:53 - Views: 4097
กำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ใน ทับทิม เร่งฟื้นฟูจากการเข้าทำลายของเชื้อรา ไตรโครเร็กซ์ ปุ๋ยน้ำอะมิโน โดย ไดโนเร็กซ์
Update: 2566/04/24 15:59:18 - Views: 3502
เลี้ยงหมูป่า รายได้เดือนละแสนกว่าบาท หนุ่มพะเยา เพาะเลี้ยงหมูป่าเป็นอาชีพเสริม
Update: 2563/06/15 20:11:28 - Views: 4001
เทคนิคการบำรุง สวนมะพร้าว ให้ได้ผลผลิตสูง
Update: 2567/11/07 09:02:03 - Views: 331
ไอเอส สารอินทรีย์ ป้องกันและยับยั้งเชื้อรา ขนาด 3 ลิตร ปลอดภัย ใช้ดี
Update: 2562/08/30 11:47:08 - Views: 4297
เร่งการเจริญเติบโต เพิ่มความเขียว เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับพืช ด้วย FK-1 สามารถใช้ได้ทั้งฉีดพ่นทางใบ หรือราดลงโคนต้น
Update: 2566/10/09 13:55:42 - Views: 3498
ทุเรียน ผลใหญ่ ด้วย ปุ๋ย สตาร์เฟอร์ 0-0-60 โพแทสเซี่ยม สูตรเร่งผล เพิ่มผลผลิต ขยายขนาด เพิ่มน้ำหนัก และคุณภาพ
Update: 2567/04/25 11:33:37 - Views: 3842
กำจัดแมลงศัตรูพืช ยาฆ่าเพลี้ยอ่อน ในกัญชากัญชง และ พืชทุกชนิด บิวทาเร็กซ์ โดย ไดโนเร็กซ์
Update: 2566/02/08 10:20:55 - Views: 3616
ปุ๋ยสตาร์เฟอร์ 3 สูตร: ช่วยให้ต้นฝรั่งของคุณเติบโตอย่างสมบูรณ์ในทุกช่วงอายุ
Update: 2567/02/12 15:00:00 - Views: 3548
ปุ๋ยสตาร์เฟอร์ 0-0-60 สูตรลับผลใหญ่ ผลดก เพิ่มน้ำหนัก สร้างคุณภาพให้สตรอเบอร์รี่ของคุณ
Update: 2567/03/09 13:50:44 - Views: 3609
ฮิวมิค แอซิด ฟาร์มิค: การปลดปล่อยธาตุอาหารเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของต้นส้มโอ
Update: 2567/02/13 09:38:41 - Views: 3567
GA4 © FarmKaset.ORG | สถาบันอนุญาโตตุลาการ : 2022