[sort by : last post | top views]..
+ โพสเรื่องใหม่ | ^ เลือกหน้า | ค้นคำว่า - อ้อย
120 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 12 หน้า, หน้าที่ 13 มี 0 รายการ

การปลูกอ้อย เพิ่มผลผลิตอ้อยสูงสุดด้วยปุ๋ยตรา FK ปุ๋ยน้ำสำหรับอ้อย
การปลูกอ้อย เพิ่มผลผลิตอ้อยสูงสุดด้วยปุ๋ยตรา FK ปุ๋ยน้ำสำหรับอ้อย
การปลูกอ้อย เพิ่มผลผลิตอ้อยสูงสุดด้วยปุ๋ยตรา FK ปุ๋ยน้ำสำหรับอ้อย
หากคุณต้องการเพิ่มผลผลิตอ้อยและปรับปรุงคุณภาพพืชผล ปุ๋ยตรา FK อาจเป็นทางออกที่คุณค้นหา ปุ๋ยเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อให้ต้นอ้อยของคุณได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและบรรลุศักยภาพสูงสุด

ทางเลือกหนึ่งที่คุณอาจพิจารณาคือปุ๋ย FK-1 ซึ่งเป็นสูตรที่มีธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง ได้แก่ แมกนีเซียม สังกะสี ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ปุ๋ยอเนกประสงค์นี้สามารถฉีดพ่นบนต้นอ้อยของคุณได้ทุกเมื่อเพื่อเร่งการเจริญเติบโต

หากคุณต้องการเน้นไปที่การเพิ่มผลผลิตโดยเฉพาะ ปุ๋ย FK-3 อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ปุ๋ยนี้เป็นสูตรที่มีปริมาณโปแตสเซียมสูง ซึ่งทราบกันดีว่าส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดีและเพิ่มผลผลิตในอ้อย

เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด สิ่งสำคัญคือต้องใส่ปุ๋ย FK-1 หรือ FK-3 เมื่อต้นอ้อยของคุณมีอายุประมาณ 4 เดือน การฉีดพ่นปุ๋ยเหล่านี้บนพืชผลของคุณในระยะนี้สามารถช่วยเร่งการเจริญเติบโตและปรับปรุงคุณภาพโดยรวมได้ คุณจะสังเกตเห็นการเพิ่มขึ้นของปริมาณ CCS (น้ำตาลอ้อยเชิงพาณิชย์) ของอ้อย เช่นเดียวกับน้ำหนักและคุณภาพโดยรวมที่เพิ่มขึ้น

โดยรวมแล้ว การใช้ปุ๋ยยี่ห้อ FK เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิตอ้อยและปรับปรุงคุณภาพพืชผลของคุณ ไม่ว่าคุณจะเลือก FK-1 หรือ FK-3 คุณก็วางใจได้ว่าปุ๋ยเหล่านี้จะช่วยให้พืชของคุณได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและบรรลุศักยภาพสูงสุด

ทำความเข้าใจกับ การปลดปล่อยธาตุอาหาร ของปุ๋ยสามชนิด

เส้นสีม่วง เป็นประสิทธิภาพการปล่อยธาตุอาหารของปุ๋ยเคมี
เส้นสีส้ม เป็นประสิทธิภาพการปล่อยธาตุอาหารของ ปุ๋ยตรา เอฟเค ที่มีทั้งธาตุหลัก ธาตุเสริม และสารลดแรงตึงผิว
เส้นสีเขียว เป็นประสิทธิภาพการปล่อยธาตุอาหารของปุ๋ยอินทรีย์

ให้เราลองพิจารณาเส้นสีม่วง ของปุ๋ยเคมี จะเห็นได้ว่าเมื่อท่านได้ทำการใส่ปุ๋ยเคมีลงในพืช จะเห็นผลได้ชัด ภายในช่วง 3 ถึง 11 วัน จากนั้น พืชผักที่ได้รับปุ๋ยเคมี ก็จะได้รับธาตุอาหารน้อยลง ตามกราฟ ความเขียวจะลดลง หรือกลับสู่สภาพเดิม หลังจากสองสัปดาห์และต่อๆไป และสังเกตุว่า ปี ต่อๆ ไป ต้องใส่ปุ๋ยเคมี ในปริมาณมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลผลิตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

มาดูในส่วนของกราฟเส้นสีส้ม ของปุ๋ยตรา เอฟเค จากกราฟ แสดงให้เราเห็นว่า หลังจากฉีดพ่นปุ๋ย จะเห็นผลได้รวดเร็วเท่ากับปุ๋ยเคมี แต่ช่วงที่ต้นไม้ ได้รับธาตุอาหารจะนานกว่า ไปจนถึงประมาณ สามถึงสี่สัปดาห์ ธาตุอาหารจึงค่อยลดลงไป แต่ลดลงไปไม่มากเท่าปุ๋ยเคมี เนื่องจากปุ๋ยตรา เอฟเค ประกอบด้วย ธาตุเสริมที่จำเป็นต่อพืชด้วยอีกประการหนึ่ง

ส่วนปุ๋ยอินทรีย์นั้น จะปลดปล่อยธาตุอาหารพืชได้ช้า เนื่องจากต้องรอกระขบวนการของจุลินทรีย์ ในการช่วยปลดปล่อยธาตุอาหาร แต่ก็มีข้อดี คือสภาพดินจะค่อยๆดีขึ้นในทุกๆปี

สนใจปุ๋ย FK-1 และ FK-3 ช่องทางสั่งซื้อ

ลาซาด้า

FK-1 บนลาซาด้า http://ไปที่..link..

FK-3 บนลาซาด้า http://ไปที่..link..

ช้อปปี้

FK-1 บนช้อปปี้ http://ไปที่..link..

FK-3 บนช้อปปี้ http://ไปที่..link..

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3702
ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 5-3-14 (เพอร์เฟคพี) ตรานกอินทรีคู่ สำหรับ เร่งผล เร่งน้ำหนัก เพิ่มความหวาน พืชออกผลทุกชนิด รวมถึงอ้อย และมันสำปะหลัง
ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 5-3-14 (เพอร์เฟคพี) ตรานกอินทรีคู่ สำหรับ เร่งผล เร่งน้ำหนัก เพิ่มความหวาน พืชออกผลทุกชนิด รวมถึงอ้อย และมันสำปะหลัง
ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 5-3-14 (เพอร์เฟคพี) ตรานกอินทรีคู่ สำหรับ เร่งผล เร่งน้ำหนัก เพิ่มความหวาน พืชออกผลทุกชนิด รวมถึงอ้อย และมันสำปะหลัง
การทำเกษตร คุณต้องการเพิ่มผลผลิตและผลกำไรให้ได้สูงสุดเสมอ วิธีหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายนี้คือการใช้ปุ๋ยให้ถูกประเภทเพื่อบำรุงพืชผลและเพิ่มผลผลิต

ปุ๋ยยี่ห้อหนึ่งที่โดดเด่นในตลาดคือ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 5-3-14 (เพอร์เฟคพี) ตรานกอินทรีคู่ ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการคิดค้นขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้ธาตุอาหารหลักที่จำเป็นและกรดอะมิโนมากกว่า 18 ชนิด เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและการเจริญเติบโตของพืชผลไม้ทุกประเภท รวมทั้งอ้อยและมันสำปะหลัง

ข้อดีอย่างหนึ่งของการใช้ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 5-3-14 (เพอร์เฟคพี) ตรานกอินทรีคู่ คือความสามารถในการเร่งผลผลิตและเพิ่มขนาดและน้ำหนักของพืชผลของคุณ ด้วยการให้สารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการเจริญเติบโตของพืช ปุ๋ยนี้ช่วยเพิ่มขนาดของผลไม้และป้องกันการร่วงหล่นและการแตกของผลไม้

นอกจากประโยชน์ทางกายภาพเหล่านี้แล้ว ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 5-3-14 (เพอร์เฟคพี) ตรานกอินทรีคู่ ยังช่วยเพิ่มรสชาติและรูปลักษณ์ของพืชผลของคุณอีกด้วย สารอินทรีย์ที่เพิ่มเข้ามาช่วยปรับปรุงรสชาติและความหวานของผลไม้ ในขณะที่กรดอะมิโนที่เพิ่มเข้ามาช่วยส่งเสริมการขนส่งแป้งและน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพโดยรวมของผลิตผล

ประโยชน์อีกประการหนึ่งของ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 5-3-14 (เพอร์เฟคพี) ตรานกอินทรีคู่ คือความสามารถในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชที่ดี ธาตุอาหารหลักและกรดอะมิโนที่เพิ่มเข้ามาช่วยเสริมสร้างใบและลำต้นของพืชผล ทำให้มีสีเขียวเข้มและส่งเสริมการเจริญเติบโตใหม่

โดยรวมแล้ว ปุ๋ยอินทรีย์เคมี 5-3-14 (เพอร์เฟค พี) เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสุดที่ช่วยให้คุณได้ผลผลิตและผลกำไรจากพืชผลที่มากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นเกษตรกรรายย่อยหรือเกษตรกรรายใหญ่ในเชิงพาณิชย์ ปุ๋ยนี้จะให้สารอาหารและสนับสนุนพืชผลของคุณเพื่อให้เจริญเติบโตได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรที่ต้องการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืชผล

ทำความเข้าใจกับ การปลดปล่อยธาตุอาหาร ของปุ๋ยสามชนิด

เส้นสีแดง เป็นประสิทธิภาพการปล่อยธาตุอาหารของปุ๋ยเคมี
เส้นสีเขียว เป็นประสิทธิภาพการปล่อยธาตุอาหารของ ปุ๋ยตรานกอินทรีคู่
เส้นสีน้ำเงิน เป็นประสิทธิภาพการปล่อยธาตุอาหารของปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไป

ให้เราลองพิจารณาเส้นสีแดง ของปุ๋ยเคมี จะเห็นได้ว่าเมื่อท่านได้ทำการใส่ปุ๋ยเคมีลงในพืช จะเห็นผลได้ชัด ภายในช่วง 3 ถึง 11 วัน จากนั้น พืชผักที่ได้รับปุ๋ยเคมี ก็จะได้รับธาตุอาหารน้อยลง ตามกราฟ ความเขียวจะลดลง หรือกลับสู่สภาพเดิม หลังจากสองสัปดาห์และต่อๆไป และสังเกตุว่า ปีต่อๆไป ต้องใส่ปุ๋ยเคมี ในปริมาณมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลผลิตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

มาดูในส่วนของกราฟเส้นสีเขียว ของปุ๋ยตรานกอินทรีคู่ จากกราฟ แสดงให้เราเห็นว่า หลังจากใส่ปุ๋ย จะเห็นผลช้ากว่าปุ๋ยเคมี คือเริ่มเห็นผลชัดเจนเต็มที่ประมาณ 7 วันหลังจากใส่ แต่ช่วงที่ต้นไม้ ได้รับธาตุอาหารจะนานกว่า ไปจนถึงประมาณ สามถึงสี่สัปดาห์ ธาตุอาหารจึงค่อยลดลงไป แต่ลดลงไปไม่มากเท่าปุ๋ยเคมี

และสุดท้ายกราฟเส้นสีน้ำเงิน ของปุ๋ยอินทรีย์ เป็นที่แน่นอน และทราบกันอยู่ทั่วไปว่า ปุ๋ยอินทรีย์จะเห็นผลได้ช้า หลังจากใส่แต่จะทำให้ดินดีขึ้นตลอด และในปีถัดไป ดินก็จะมีธาตุอาหารเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ อย่าง ช้าๆ

สรุปได้ว่า ปุ๋ยอินทรีย์เคมี ตรา นกอินทรีคู่ สูตร 16 3 3 บวก 10% อินทรียวัตถุ (เพอร์เฟค เอส) เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับเกษตรกรที่ต้องการเพิ่มผลผลิตสูงสุดให้กับต้นมันสำปะหลังที่ปลูกในสภาพดินทราย สูตรสารอาหารที่สมดุลและการเติมอินทรียวัตถุสามารถช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินและความพร้อมของสารอาหาร ซึ่งนำไปสู่พืชที่มีสุขภาพดีและให้ผลผลิตมากขึ้น

สนใจสั่งซื้อ

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3555
ปุ๋ยสำหรับอ้อย ประสิทธิภาพสูง ปุ๋ยอินทรีย์เคมี สูตร 16-3-3 ตรานกอินทรีคู่ (เพอร์เฟค เอส)
ปุ๋ยสำหรับอ้อย ประสิทธิภาพสูง ปุ๋ยอินทรีย์เคมี สูตร 16-3-3 ตรานกอินทรีคู่ (เพอร์เฟค เอส)
ปุ๋ยสำหรับอ้อย ประสิทธิภาพสูง ปุ๋ยอินทรีย์เคมี สูตร 16-3-3 ตรานกอินทรีคู่ (เพอร์เฟค เอส)
อ้อยเป็นพืชที่มีความสำคัญต่อหลายประเทศทั่วโลก โดยเป็นแหล่งสำคัญของน้ำตาลและผลิตภัณฑ์ที่สำคัญอื่นๆ การดูแลให้ต้นอ้อยมีความสมบูรณ์แข็งแรงและสามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผลผลิตที่ประสบความสำเร็จ

วิธีหนึ่งในการเพิ่มการเจริญเติบโตของอ้อยคือการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งสามารถให้สารอาหารที่พืชต้องการในการเจริญเติบโต หนึ่งในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว คือ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี สูตร 16-3-3 (เพอร์เฟค เอส) ตรานกอินทรีคู่

ปุ๋ยนี้ทำขึ้นจากส่วนผสมของธาตุอาหารหลัก (ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม) รวมทั้งอินทรียวัตถุ 10% ซึ่งช่วยปรับปรุงสุขภาพและโครงสร้างของดิน อินทรียวัตถุยังช่วยในการปลดปล่อยธาตุอาหารในดิน ทำให้พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น

ประโยชน์หลักประการหนึ่งของ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี สูตร 16-3-3 ตรานกอินทรีคู่ คือเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้ในดินทราย ดินทรายอาจเป็นเรื่องยากสำหรับพืชที่จะเติบโต เนื่องจากมีสารอาหารต่ำและบดอัดได้ง่าย อย่างไรก็ตามอินทรียวัตถุในปุ๋ยนี้ช่วยปรับโครงสร้างของดินทรายให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช

นอกจากนี้ธาตุอาหารหลักในปุ๋ยนี้ยังเป็นสูตรเฉพาะเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของต้นอ้อย ไนโตรเจนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการเจริญเติบโตของใบในขณะที่ฟอสฟอรัสช่วยในการเจริญเติบโตของรากและการผลิตผลไม้ ในขณะเดียวกันโพแทสเซียมก็ส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของพืชและช่วยป้องกันความเครียดและโรค

โดยรวมแล้ว การใช้ปุ๋ยอินทรีย์เคมี สูตร 16-3-3 (เพอร์เฟค เอส) ตรานกอินทรีคู่ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเร่งการเจริญเติบโตและผลผลิตของต้นอ้อย การผสมผสานระหว่างธาตุอาหารหลักและอินทรียวัตถุทำให้มันเหมาะสมกับสภาพดินทราย และสามารถช่วยให้แน่ใจว่าพืชจะสามารถเข้าถึงศักยภาพของมันได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตอ้อย

สนใจสั่งซื้อ

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3517
ประโยชน์ของการใช้ ปุ๋ยเม็ดอะมิโน วันเด้อร์เขียว สำหรับการปลูกอ้อย
ประโยชน์ของการใช้ ปุ๋ยเม็ดอะมิโน วันเด้อร์เขียว สำหรับการปลูกอ้อย
ประโยชน์ของการใช้ ปุ๋ยเม็ดอะมิโน วันเด้อร์เขียว สำหรับการปลูกอ้อย
อ้อยเป็นพืชที่สำคัญสำหรับหลายประเทศทั่วโลก โดยเป็นแหล่งน้ำตาล เชื้อเพลิงชีวภาพ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตอ้อยที่ดีที่สุด สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าดินได้รับการบำรุงอย่างเหมาะสมและมีความสมดุลกับธาตุอาหารที่เหมาะสม วิธีหนึ่งในการทำเช่นนี้คือการใช้ปุ๋ยเม็ดอะมิโน เช่น วันเดอร์กรีน ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อช่วยปรับปรุงสุขภาพและความมีชีวิตชีวาของพืช

วันเด้อร์เขียว เป็นปุ๋ยเทคโนโลยี 3T ที่ประกอบด้วยสามชั้นที่แตกต่างกัน: T1 ซึ่งเป็นชั้นจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูง T2 ชั้นสารอาหารที่ปลดปล่อยอย่างรวดเร็ว และ T3 ซึ่งเป็นชั้นสารอาหารที่ปลดปล่อยอย่างช้าๆ การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของสารอาหารและจุลินทรีย์นี้ช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของดินและพืชที่เติบโตในนั้น

ประโยชน์หลักประการหนึ่งของการใช้ ปุ๋ยวันเด้อร์เขียว คือมีกรดอะมิโนมากกว่า 18 ชนิด ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช กรดอะมิโนเหล่านี้ช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ในดินซึ่งจะช่วยปรับปรุงความสมดุลของธาตุอาหารในดิน สิ่งนี้สามารถนำไปสู่พืชที่แข็งแรงและแข็งแรงมากขึ้นซึ่งสามารถทนต่อความแห้งแล้งและความเครียดจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ได้ดีขึ้น

นอกจากประโยชน์ต่อดินแล้ว วันเด้อร์เขียว ยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและการเจริญเติบโตของพืชอย่างแข็งแรง สามารถช่วยเพิ่มจำนวนเครื่องไถพรวนหรือหน่อด้านข้างบนโรงงาน ซึ่งนำไปสู่พืชที่ใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น ใบของพืชที่ปลูกด้วย วันเด้อร์เขียว มักจะเป็นสีเขียวเข้มและมีอายุยืนยาว ทำให้พืชผลดูสวยงามและมีสุขภาพดี

โดยรวมแล้ว ปุ๋ยเม็ดอะมิโน วันเด้อร์เขียว เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกอ้อย และสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพและผลผลิตของพืชผลได้ การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของสารอาหารและจุลินทรีย์สามารถช่วยปรับสมดุลของสารอาหารในดิน ทำให้ดินเหมาะสมสำหรับการปลูกพืชที่แข็งแรงและสมบูรณ์

สนใจสั่งซื้อ

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3437
เพิ่มผลผลิตสูงสุดด้วยปุ๋ย วันเดอร์ส้ม
เพิ่มผลผลิตสูงสุดด้วยปุ๋ย วันเดอร์ส้ม
ปุ๋ยวันเดอร์ส้ม คือการปฏิวัติเทคโนโลยี 3T ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับพืชหลากหลายชนิด รวมถึงยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย นาข้าว และพืชผล สูตรเฉพาะประกอบด้วยเม็ดปุ๋ยสามชั้นที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้สารอาหารแก่พืชอย่างสมดุลและยั่งยืน

ชั้นแรกเรียกว่า T1 เป็นชั้นจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งมีแบคทีเรียและเชื้อราที่มีประโยชน์หลากหลายชนิด จุลินทรีย์เหล่านี้ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ ทำให้พืชเข้าถึงสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ T1 ยังช่วยยับยั้งโรคที่มากับดินและปรับปรุงโครงสร้างของดิน ช่วยให้พืชแข็งแรงและให้ผลผลิตมากขึ้น

ชั้นที่ 2 T2 เป็นชั้นที่ปลดปล่อยสารอาหารที่มีกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อพืช 18 ชนิด สารอาหารเหล่านี้พร้อมสำหรับพืช ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพวกมันในทันที

ชั้นที่สาม T3 เป็นสารอาหารที่ปลดปล่อยอย่างช้าๆ ซึ่งให้ปริมาณสารอาหารที่ยั่งยืนในระยะเวลาที่นานขึ้น สิ่งนี้ช่วยป้องกันการขาดสารอาหารและรักษาสภาวะการเจริญเติบโตที่เหมาะสมสำหรับพืช

โดยรวมแล้ว ปุ๋ยวันเดอร์ส้ม เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับเกษตรกรและชาวสวนที่ต้องการเพิ่มผลผลิตสูงสุดและปรับปรุงสุขภาพของพืช การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของจุลินทรีย์ กรดอะมิโน และสารอาหารที่ปลดปล่อยออกมาอย่างช้าๆ ทำให้ได้รับสารอาหารที่สมดุลและยั่งยืน ช่วยให้พืชเติบโตและเข้าถึงศักยภาพสูงสุด

สนใจสั่งซื้อ

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3455
ปุ๋ยอ้อย FK-1 และ FK-3S ฉีดพ่นทางใบ ให้อ้อยโตไว ย่างปล้อง เพิ่มผลผลิต ได้ค่า CCS สูง
ปุ๋ยอ้อย FK-1 และ FK-3S ฉีดพ่นทางใบ ให้อ้อยโตไว ย่างปล้อง เพิ่มผลผลิต ได้ค่า CCS สูง
ปุ๋ยอ้อย FK-1 และ FK-3S ฉีดพ่นทางใบ ให้อ้อยโตไว ย่างปล้อง เพิ่มผลผลิต ได้ค่า CCS สูง
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็น 3 ชนิดที่พืชต้องการเพื่อการเจริญเติบโตและเจริญเติบโต ในกรณีของอ้อย สารอาหารเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาพืชที่แข็งแรงและให้ผลผลิตสูง ซึ่งสามารถผลิตน้ำตาลได้ผลผลิตสูง

ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญของโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อพืชทั้งหมด ไนโตรเจนยังเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เอนไซม์และฮอร์โมน ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช ระดับไนโตรเจนในดินที่เพียงพอสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของต้นอ้อย ส่งผลให้การเจริญเติบโตดีขึ้น ผลผลิตสูงขึ้น และต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืชได้ดีขึ้น

ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับต้นอ้อย มันเกี่ยวข้องกับการก่อตัวของรากที่แข็งแรงซึ่งจำเป็นสำหรับการดูดซับน้ำและสารอาหารจากดิน ฟอสฟอรัสยังมีบทบาทในการสังเคราะห์คาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของพืช ระดับฟอสฟอรัสในดินที่เพียงพอสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและความแข็งแรงของต้นอ้อย ซึ่งนำไปสู่ผลผลิตที่สูงขึ้นและการเจริญเติบโตโดยรวมที่ดีขึ้น

โพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นอันดับที่สามที่ต้นอ้อยต้องการเพื่อการเจริญเติบโต มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่สำคัญหลายอย่างของพืช รวมถึงการควบคุมการดูดซึมน้ำ การสังเคราะห์โปรตีนและเอนไซม์ และการควบคุมการสังเคราะห์ด้วยแสง ระดับโพแทสเซียมในดินที่เพียงพอสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและผลผลิตของต้นอ้อย ซึ่งนำไปสู่ผลผลิตที่สูงขึ้นและการเจริญเติบโตโดยรวมที่ดีขึ้น

โดยสรุปแล้ว ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของต้นอ้อย ระดับสารอาหารเหล่านี้ในดินที่เพียงพอสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและผลผลิตของต้นอ้อย ซึ่งนำไปสู่ผลผลิตที่สูงขึ้นและการเจริญเติบโตโดยรวมที่ดีขึ้น

แมกนีเซียมและสังกะสีเป็นแร่ธาตุที่จำเป็น 2 ชนิดที่สามารถให้ประโยชน์มากมายแก่ต้นอ้อย ประโยชน์เหล่านี้รวมถึงการเจริญเติบโตและการพัฒนาที่ดีขึ้น ความต้านทานความเครียดและโรคที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มการผลิตน้ำตาล

แมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ช่วยให้พืชสังเคราะห์แสงและเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงาน ระดับแมกนีเซียมที่เพียงพอในดินสามารถช่วยให้ต้นอ้อยเติบโตได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรง ส่งผลให้ต้นมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น

นอกจากบทบาทในการสังเคราะห์ด้วยแสงแล้ว แมกนีเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้พืชทนต่อความเครียดและโรคได้ การขาดแมกนีเซียมสามารถทำให้พืชอ่อนแอต่อความเครียดจากสิ่งแวดล้อม เช่น ความแห้งแล้งและอุณหภูมิที่สูงเกินไป ตลอดจนศัตรูพืชและโรคต่างๆ การให้แมกนีเซียมในระดับที่เพียงพอ สามารถช่วยต้นอ้อยให้แข็งแรงและให้ผลผลิต

สังกะสีเป็นแร่ธาตุสำคัญอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของต้นอ้อย เช่นเดียวกับแมกนีเซียม สังกะสีมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์แสงและช่วยให้พืชเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงาน นอกจากนี้ สังกะสียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเซลล์และเนื้อเยื่อใหม่ และจำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์และฮอร์โมนในพืชอย่างเหมาะสม ระดับสังกะสีในดินที่เพียงพอสามารถช่วยให้ต้นอ้อยเติบโตได้อย่างรวดเร็วและแข็งแรง ส่งผลให้ผลผลิตของทั้งมวลชีวภาพและน้ำตาลสูงขึ้น

นอกจากบทบาทในการส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาแล้ว สังกะสียังสามารถช่วยให้ต้นอ้อยต้านทานความเครียดและโรคได้อีกด้วย การขาดสังกะสีสามารถทำให้พืชอ่อนแอต่อศัตรูพืชและโรคต่างๆ และลดความสามารถในการทนต่อความเครียดจากสิ่งแวดล้อม การให้ธาตุสังกะสีในระดับที่เพียงพอ ชาวไร่สามารถช่วยให้ต้นอ้อยของพวกเขาแข็งแรงและให้ผลผลิตได้แม้ในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม

โดยรวมแล้ว แมกนีเซียมและสังกะสีเป็นแร่ธาตุที่จำเป็น 2 ชนิดที่สามารถให้ประโยชน์หลายประการแก่ต้นอ้อย การให้แร่ธาตุเหล่านี้ในดินในระดับที่เพียงพอ ชาวไร่สามารถช่วยให้ต้นอ้อยของพวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแรง ต้านทานความเครียดและโรค และสร้างผลผลิตของทั้งมวลชีวภาพและน้ำตาลที่สูงขึ้น
อ่าน:3484
พืชเศรษฐกิจ สินค้าสร้างรายได้ในครัวเรือนและประเทศ
พืชเศรษฐกิจ สินค้าสร้างรายได้ในครัวเรือนและประเทศ
พืชเศรษฐกิจ สินค้าสร้างรายได้ในครัวเรือนและประเทศ
ด้วยพื้นที่ของประเทศไทยมีความเหมาะสมในด้านการเกษตรจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า พืช คือสิ่งที่ทำให้คนไทยมีอาหารเลี้ยงปากท้องและยังสร้างรายได้กับครัวเรือน ต่อยอดไปจนถึงการสร้างรายได้ให้ประเทศจนกลายเป็น พืชเศรษฐกิจ ที่เกษตรกรจำนวนมากยึดถือเป็นอาชีพ จึงอยากนำเสนอให้กับผู้ที่สนใจหรือคนที่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อโอกาสในการสร้างประโยชน์ต่อตัวเองและประเทศชาติต่อไปในอนาคต

มารู้จักกับพืชเศรษฐกิจของไทย
อย่างที่กล่าวไปว่าพืชถือเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิตให้กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งไม่ใช่แค่การบริโภคเท่านั้น แต่เมื่อปลูกในปริมาณมากขึ้นก็ย่อมสร้างรายได้ให้กับเกษตรมากตามไปด้วย ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีพืชเศรษฐกิจที่ส่งเสริมอาชีพ ทำเงินให้กับคนในประเทศเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ไม่ใช่หมายถึงการส่งออกพืชเหล่านั้นแบบสด ๆ เพียงอย่างเดียว แต่หลายชนิดยังถูกนำมาแปรรูปเพื่อสร้างประโยชน์และเม็ดเงินได้อีกมากมาย

พืชเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่ใช่แค่การบริโภคของคนเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการถูกนำไปเลี้ยงสัตว์และทำประโยชน์ในด้านอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุดด้วย นี่คือความโชคดีของประเทศไทยด้วยพื้นที่และสภาพอากาศเหมาะสมจึงสามารถปลูกพืชต่าง ๆ ได้หลากหลายชนิดในแบบที่หลายประเทศไม่เคยทำได้ แหล่งรายได้หลักจึงมักมาจากประเทศพัฒนาแล้วแต่ขาดแคลนด้านการผลิตจึงต้องอาศัยการนำเข้านั่นเอง มารู้จักกับพืชเศรษฐกิจของไทยให้มากขึ้น พร้อมเรียนรู้เรื่องราวอื่น ๆ ไปพร้อมกันได้เลย มีสิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้อีกมากทีเดียว

พืชเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อย่างที่กล่าวไปว่าหนึ่งในรายได้ที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ดีขึ้นมาจาก พืชเศรษฐกิจ ดังนั้นบรรดาพืชที่จะกล่าวถึงนี้ยังคงถูกขนานนามให้เป็นพืชเศรษฐกิจในปัจจุบันเหมือนเดิม พร้อมทั้งยังทำเงินให้กับเกษตรกรและประเทศอย่างต่อเนื่อง จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย

ข้าว
ข้าว คือ อาหารหลักของคนไทยและผู้คนอีกจำนวนมาก จึงต้องยอมรับว่ายังคงเป็นพืชเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ได้รับความต้องการจากประเทศคู่ค้ามหาศาลในแต่ละปี โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวที่ถูกยกย่องว่าดีสุดของโลกอย่าง ข้าวหอมมะลิ ด้วยรสสัมผัสอันเนียนนุ่ม บวกกับรสชาติที่มีความหวานในตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากใครที่ได้ทานต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย ซึ่งจริง ๆ แล้วข้าวอันถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของเมืองไทยนั้นไม่ได้มีแค่ข้าวหอมมะลิเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสายพันธุ์อื่น ๆ ด้วย เช่น ข้าวเหนียว ข้าวหอม ข้าวขาวพื้นแข็ง เป็นต้น ซึ่งพันธุ์ข่าวที่ถูกส่งออกมากที่สุดได้แก่ ข้าวขาวพื้นแข็ง คิดเป็นเกือบ 50% ของข้าวพันธุ์อื่น ๆ โดยกลุ่มประเทศที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ในการส่งออกข้าวของประเทศไทยคือ จีน และสหรัฐฯ แม้ในปัจจุบันจะมีคู่แข่งรายสำคัญอย่างเวียดนามที่ส่งออกข้าวได้มากกว่า แต่ด้วยคุณภาพจึงต้องยอมรับในด้านของความพึงพอใจที่ผู้บริโภคมีนั้น ข้าวของประเทศไทยยังคงเป็นที่ชื่นชอบ

ยางพารา
หากบอกว่านี่คือพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญรองลงมาจากข้าวคงไม่ใช่เรื่องผิดนัก แม้ว่าราคาในประเทศจะมีปรับขึ้น-ลงตามความเหมาะสม แต่ด้วยปัจจุบันการน้ำยางยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพื่อนำไปทำสิ่งต่าง ๆ ให้มนุษย์ได้ใช้งานมากมาย อาทิ ยางรถยนต์ ส่วนผสมในการทำยางมะตอยเทพื้น ยางกันรั่วซึม ถุงยางอนามัย และอื่น ๆ อีกมาก ผลิตภัณฑ์ยางพาราของไทยนั้นมีการส่งออกทั้งแบบน้ำยางดิบและผ่านการแปรรูปมาแล้ว จึงส่งผลถึงการสร้างรายได้ที่หลากหลาย ในอดีตการปลูกยางมักปลูกกันแถบภาคใต้ ทว่าปัจจุบันได้มีการพัฒนาและปรับพื้นที่ในภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือในการปลูกยางพารากันมากขึ้น สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมากตามไปด้วย การที่ยางพาราถูกจัดให้เป็นพืชเศรษฐกิจลำดับที่ 2 ต่อจากข้าว เพราะ ประเทศไทยยังคงถูกยกให้เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกมาร่วม 30 ปี โดยคิดเป็นเกือบ ๆ 30% ของยางพาราทั้งหมดที่ใช้งานกันในทุกประเทศ

อ้อย
พืชเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กำลังมีความต้องการสูงมาก ๆ ในต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกอ้อยนั้นไม่ได้หมายถึงการส่งออกไปแบบสด ๆ เพียงอย่างเดียว แต่มีการนำไปแปรรูปเป็นน้ำตาลทรายเพื่อใช้ปรุงอาหาร รวมถึงมีการนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนต่าง ๆ (น้ำตาลทรายจะถูกส่งออกมากที่สุด) เมื่อเทียบกันในระดับโลกแล้ว ประเทศไทยมีการสร้างรายได้จากอ้อยมากเป็นอันดับ 2 รองเพียงแค่บราซิลประเทศเดียวเท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพืชเศรษฐกิจกลุ่มนี้ยังคงมีความสำคัญต่อการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศมากจริง ๆ ในอดีตการปลูกอ้อยมักกระจายตามแถบพื้นที่ราบลุ่มและทนแล้งในระดับหนึ่ง เช่น นครสวรรค์ อุดรธานี นครราชสีมา กาญจนบุรี กำแพงเพชร แต่ทุกวันนี้มีเกษตรกรที่หันมาปลูกไร่อ้อยกันมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากได้ราคาดี ดูแลง่าย เก็บเกี่ยวรวดเร็ว ไม่ต้องรอนานเหมือนกับพืชหลาย ๆ ชนิดอีกด้วย

มันสำปะหลัง
พืชอีกชนิดที่ถูกยกให้เป็นผลิตภัณฑ์สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยมากในลำดับต้น ๆ ปกติแล้วมันสำปะหลังจะไม่ได้ถูกนำไปใช้ประกอบอาหารของคน แต่จะถูกนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์เนื่องจากมีคุณค่าโภชนาการสูง อีกทั้งยังมีการนำไปแปรรูปเพิ่มเติมกลิ่นให้กับอาหารมีความน่าทานมากขึ้น_ ผลิตเป็นน้ำมันเอทานอลเพื่อใช้งานแทนที่พลังงานจากน้ำมันดิบ นั่นส่งผลให้พืชเศรษฐกิจตัวนี้มีความต้องการในตลาดโลกสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่ประเทศทางแถบยุโรปรวมถึงสหรัฐฯ เองต่างก็เป็นคู่ค้ารายสำคัญเกี่ยวกับการสร้างเม็ดเงินให้ประเทศอีกด้วย ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้พืชชนิดนี้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจมาจากพื้นที่อันมีแสนอุดมสมบูรณ์ในเมืองไทย จึงปลูกมันสำปะหลังได้ง่าย ดูแลไม่ยุ่งยาก ได้ผลผลิตดี เป็นไปตามความคาดหวังของเกษตรกร หากลองไปพื้นที่ตามต่างจังหวัดจะสังเกตว่ามีพืชชนิดนี้ปลูกอยู่เยอะมาก ๆ

ปาล์มน้ำมัน
การส่งออกของพืชชนิดนี้จะผ่านการแปรรูปให้กลายเป็นน้ำมันปาล์มเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่ปลูกเป็นอย่างดี ซึ่งทางภาครัฐเองให้ความสำคัญกับผลผลิตชนิดนี้พอสมควร เนื่องจากเมื่อเกษตรกรจำนวนมากเลือกปลูก พอผ่านการแปรรูปแล้วปรากฏว่าของล้นตลาดจนต้องเร่งระบายออกไม่ให้ราคาตกมากเกินไปนัก ซึ่งถ้ามองในมุมของเกษตรกร เมื่อเกิดความต้องการเยอะ ผลผลิตของพวกเขาก็ขายได้รวดเร็วมากขึ้น มีราคาดีกว่าการปล่อยเอาไว้ให้ราคาตก แม้ในบรรดาพืชเศรษฐกิจทั้งหมดที่กล่าวมานี้ปาล์มน้ำมันอาจไม่ใช่พืชที่สร้างรายได้จากจำนวนเงินมหาศาลมากนัก แต่ทั้งนี้ก็ยังถือว่าเป็นพืชที่คนไทยนิยมปลูก เพราะให้ผลผลิตดี ดูแลไม่ยาก ที่สำคัญยังสามารถนำเอาไว้ใช้ในประเทศได้อีกด้วย ยิ่งเมื่อรัฐมีนโยบายที่ใส่ใจมากขึ้นก็เท่ากับโอกาสสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

พืชเศรษฐกิจ มีกี่ประเภท
หลังจากการรู้จักกับบรรดาพืชเศรษฐกิจในปัจจุบันของไทยกันไปแล้ว คราวนี้ก็มาต่อกันที่พืชเศรษฐกิจ มีกี่ประเภทกันบ้าง โดยปกติจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะของการปลูกหรือการเกิดขึ้น ดังนี้

พืชไร่
เป็นประเภทของพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ของเมืองไทย เพราะจากทั้ง 5 ชนิดที่กล่าวมาก่อนหน้าล้วนเป็นพืชไร่ทั้งสิ้น จุดเด่นของพืชเศรษฐกิจประเภทนี้คือ ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องมีขั้นตอนใด ๆ เพื่อป้องกันการเสียหายมากนัก ปลูกได้ดีในพื้นที่ลุ่มดอน มีน้ำเข้าถึงง่าย แต่อาจต้องใช้พื้นที่ในปริมาณมากเพื่อให้เกิดผลผลิตในแบบที่คาดหวังเอาไว้ ปกติแล้วมักปลูกแบบพืชฤดูกาลเดียว คือ ใช้พื้นที่เดียวแต่ปลูกพืชหลาย ๆ อย่างตามแต่ฤดูกาล เช่น ช่วงหน้าฝนทำนา หลังหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็จะเปลี่ยนเป็นไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ไร่ถั่ว เป็นต้น ทั้งนี้หากแยกกลุ่มของพืชไร่ออกมาสามารถแบ่งย่อยได้คือ

กลุ่มธัญพืช เช่น ถั่วประเภทต่าง ๆ_ ข้าวโพด_ ข้าวโอ๊ต_ ข้าวสาลี
กลุ่มพืชน้ำมัน เช่น ปาล์มน้ำมัน_ อ้อย
กลุ่มพืชน้ำตาล เช่น อ้อย
กลุ่มพืชเส้นใย เช่น ฝ้าย_ ปอ_ ป่าน_ กล้วย_ มะพร้าว
กลุ่มพืชหัว เช่น มันสำปะหลัง_ มันแกว_ มันเทศ_ เผือก
กลุ่มพืชอาหารสัตว์ เช่น มันสำปะหลัง_ หญ้ากีนี
กลุ่มพืชออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท เช่น ชา_ กาแฟ_ ยาสูบ
พืชสวน
เป็นประเภทของพืชเศรษฐกิจที่มีความหลากหลาย ไม่จำกัดพื้นที่ว่าจะมีขนาดเท่าไหร่ สามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้หลากหลาย ซึ่งแบ่งย่อยออกได้ดังนี้

กลุ่มพืชผัก มักใช้ในการประกอบอาหารจากส่วนต่าง ๆ ของผลผลิตไม่ว่าจะเป็นใบ_ ดอก_ ราก_ ต้น_ เมล็ด
กลุ่มพืชผล หรือ ผลไม้ ส่วนใหญ่จะใช้จากผลเป็นหลัก มักเป็นกลุ่มพืชที่มีอายุยืน ใช้เวลานาน หลายชนิดจึงมีราคาแพง
กลุ่มไม้ดอก ไม้ประดับ เป็นพืชเศรษฐกิจกลุ่มใหม่ที่กำลังมาแรงมาก นำไปใช้งานในด้านการประดับตกแต่งเป็นส่วนใหญ่
ไม้เศรษฐกิจในปัจจุบันกลุ่มนี้ถือว่าต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อไม่เกิดปัญหาเรื่องการบุกรุกป่า หรือการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งบรรดาไม้เศรษฐกิจที่ยังได้รับความนิยม เช่น ไม้ยางพารา_ ไม้เต็ง_ ไม้รัง_ ไม้มะฮอกกานี_ ไม้ไผ่_ ไม้ยูคาลิปตัส รวมถึงการถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
พืชเศรษฐกิจในอนาคต
แม้ว่าพืชเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กล่าวถึงไปจะยังคงเป็นหัวใจหลักในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ แต่ก็มีพืชอีกหลายชนิดที่ถูกมองว่าจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต โดยขอยกตัวอย่างดังนี้

พริกชี้ฟ้า
ปลูกง่าย ให้ผลผลิตรวดเร็วทันใจ เพียงแค่ 2-3 เดือน ก็สามารถทำเงินได้ทันที นอกจากการขายหรือส่งออกแบบสด ๆ แล้ว ยังแปรรูปเป็นอย่างอื่นได้ เช่น ซอสพริก_ พริกแห้ง_ พริกป่น เป็นต้น

ไผ่กิมซุง
หรือไผ่ตงลืมแล้ง พืชเศรษฐกิจในอนาคตที่คาดว่ามีโอกาสนำมาทดแทนยางพารา เพราะสามารถทำประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น การเก็บหน่อขายสด แปรรูป_ การนำไปทำเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงประโยชน์ในด้านประมง

แมคคาเดเมีย
กลายเป็นพืชที่ได้รับความนิยมสูงทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ส่งผลให้มีเกษตรกรจำนวนมากหันมาปลูกมากขึ้น เพราะนอกจากส่งผลผลิตสด ๆ แล้ว ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นอย่างอื่นได้ เช่น น้ำมัน_ สบู่

โกโก้
พืชเศรษฐกิจที่ถูกมองว่าในอนาคตจะสร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันผลผลิตที่ได้จำหน่ายในประเทศ 80% และส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน 20%

เรื่องราวเกี่ยวกับพืชเศรษฐกิจที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้น่าจะช่วยเพิ่มแนวคิดหรือแนวทางดี ๆ ในการต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสในการทำรายได้ให้กับตนเอง รวมถึงยังเป็นการสร้างเม็ดเงินให้เข้ามาภายในประเทศมากขึ้นอีกด้วย



ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
หอยเชอรี่ สร้างรายได้หลัก 10,000 ต่อเดือน
หอยเชอรี่ สร้างรายได้หลัก 10,000 ต่อเดือน
คนส่วนใหญ่หันมาทำอาชีพเกษตรกรมากขึ้น มีพืชและสัตว์หลายชนิดที่น่าสนใจผนวกกับการใช้เทคโนโลยีหาความรู้ในการเลี้ยงทำให้เกษตรกรมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น โดยหอยเชอรี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่น่าสนใจมาก และมีคนที่ประสบความสำเร็จจากการเลี้ยงให้ได้ดูเป็นตัวอย่าง อย่างไรก็ดี เชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจและไม่รู้จักว่าหอยเชอรี่คืออะไร มีกี่แบบ แล้วหอยเชอรี่สีทองที่ได้ยินว่านิยมเลี้ยงกันคืออะไร

ลองมาหาคำตอบไปพร้อมกันเพื่อกรุยเส้นทางสู่การสร้างเป็นอาชีพได้ในอนาคต ลักษณะทั่วไปของ หอยเชอรี่ หอยเชอรี่สามารถแบ่งหอยเชอรี่ได้ 2 พวก คือ พวกที่มีเปลือกสีเหลืองปนน้ำตาล เนื้อและหนวดสีเหลือง และพวกมีเปลือกสีเขียวเข้มปนดำ และมีสีดำจาง ๆ พาดตามความยาว เนื้อและหนวดสีน้ำตาลอ่อน หอยเชอรี่เจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ลูกหอยอายุเพียง 2 – 3 เดือน จะจับคู่ผสมพันธุ์ได้ตลอดเวลา หลังจากผสมพันธุ์ได้ 1 – 2 วัน ตัวเมียจะวางไข่ในเวลากลางคืน โดยคลานไปวางไข่ตามที่แห้งเหนือน้ำ เช่น ตามกิ่งไม้ ต้นหญ้าริมน้ำ โคนต้นไม้ริมน้ำ ข้าง ๆ คันนา และตามต้นข้าวในนา ไข่มีสีชมพูเกาะติดกันเป็นกลุ่มยาว 2 – 3 นิ้ว แต่ละกลุ่มประกอบด้วยไข่เป็นฟองเล็ก ๆ เรียงตัวเป็นระเบียบสวยงาม ประมาณ 388 – 3_000 ฟอง ไข่จะฟักออกเป็นตัวหอยภายใน 7 – 12 วัน หลังวางไข่

หอยเชอรี่สีทอง คือ??
สำหรับหอยเชอรี่สีทองที่เราเรียกกันที่จริงคือหอยเชอรี่พันธุ์สนิม หรือ หอยหวานญี่ปุ่นด้วยซึ่งเลี้ยงง่ายเหมือนการเลี้ยงหอยเชอรี่ หอยขมทั่วไป จุดแตกต่างคือมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มไม่เหนียวเหมือนหอยเชอรี่ในเมืองไทยแถมเนื้อยังมีความหวานไม่คาว ต่างจากหอยชนิดอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหอยเชอรี่สีดำ หอยโข่ง หรือ หอยขม ทำให้เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงปูนา และเลี้ยงหอยเชอรี่ หันมาเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองสนิม กันเป็นจำนวนมาก ถ้าถามหาจุดเริ่มต้นของการเข้ามาของหอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม ในประเทศไทย ยังไม่มีการระบุแน่นอน แต่เชื่อว่าบางส่วนเป็นพันธ์ที่ได้มาจากทางมาเลเซีย

วิธีการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองแบบเบื้องต้น คนที่สนใจและอยากเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง ขั้นแรกต้องสำรวจตลาดให้แน่ใจว่าจะเอาหอยเชอรี่ของเราไปขายที่ไหนได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะขายได้ตามร้านอาหารอีสาน ร้านส้มตำ หรือตามขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด หรือสามารถขายในร้านอาหารบางแห่งได้ ขั้นตอนเบื้องต้นเริ่มจาก

1.เตรียมพื้นที่สำหรับเลี้ยงหอยเชอรี่ เช่น กระชังในบ่อดินธรรมชาติ หรือ บ่อซีเมนต์ ก็ได้ ซึ่งหอยเซอรี่นั้นถือว่าเป็นหอยที่เลี้ยงง่ายและโตไว แถมยังกินเก่ง โดยในขึ้นตอนการเตรียมบ่อนั้นให้เราใส่พืชน้ำ เช่น แหน ผักตบ ผักบุ้ง ทางมะพร้าว เศษไม้ สำหรับไว้ให้หอยเชอรี่เกาะ หรือ ผักพื้นถิ่นที่หาได้ตามธรรมชาติ เพื่อปรัหยัดค่าใช้จ่าย

2.การเตรียมสายพันธุ์ โดยเราสามารถที่จะเลี้ยงจาก พ่อแม่พันธุ์หอยเซอรี่สีทอง หรือ จะเลี้ยงจากไข่ก็ได้ โดยให้สังเกตไข่ของหอยเชอรี่ที่พร้อมเลี้ยงต้องมีสีชมพูแก่ค่อนไปสีเทา และเมื่อนำมาปล่อยในพื้นที่เลี้ยงที่เตรียมไว้ ใช้เวลาในการเลี้ยง ประมาณ 4 เดือน ก็สามารถจับขาย ขนาดประมาณ 50 – 60 ตัว/กิโลกรัมราคากิโลกรัมละ 50 – 80 บาท ขายตามร้านส้มตำ และร้านอาหารอีสานทั่วไป

3.ช่วงแรกของการเลี้ยง หลังจากเอาไข่หอยมาลง ใช้เวลาประมาณ 7 – 15 วัน จะเริ่มฟักเป็นตัว พอฟักเป็นตัวหมดแล้วให้เอามาอนุบาลลงในน้ำ อนุบาลไว้ประมาณ 2 เดือน หรือจะปล่อยไว้ในบ่อประมาณ 3 เดือนก็เอามากินได้เช่นกัน ภาษาชาวบ้านจะบอกว่า หอยหนุ่มสาวเนื้อจะไม่เหนียว แต่ถ้าอายุ 4 เดือน จะเริ่มเป็นพ่อแม่พันธุ์ หอยจะเริ่มขึ้นวางไข่ได้แล้ว เราก็จะคัดออกมาไว้อีกบ่อ เพื่อง่ายต่อการดูแล ส่วนอาหารของหอยหลัก ๆ คือแหนแดงซึ่งต้องเตรียมไว้ในบ่อ

4.อาหารของหอยเชอรี่สีทอง การเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง หรือ พันธุ์สนิม ถ้าไม่ได้ทำเป็นฟาร์ม เกษตรกรปล่อยให้ผสมพันธุ์เองตามธรรมชาติ ซึ่งจะผสมพันธุ์และให้ไข่ได้ทั้ง 3 ฤดู ถ้าเลี้ยงทั่วไป ก็จะไม่แยกไข่หรือ ลูกออกไปอนุบาล แต่เราเลี้ยงขาย พ่อ แม่พันธุ์ ก็จะแยกลูกตอนหนึ่งเดือนออกไปอนุบาล เพื่อให้ได้ลูกที่สมบูรณ์มากที่สุด โดยอาหารขออหอยเชอรี่สีทองจะกินพืชน้ำทุกชนิดโดยเฉพาะแหนแดงหรือ ถ้าเลี้ยงเป็นฟาร์ม สามารถให้อาหารปลาดุกแทนได้

เคล็ดไม่ลับในการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง ปัญหาหนึ่งที่เจอในการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองในบ่อซีเมนต์น้ำจะเสียบ่อย เทคนิคที่นำมาใช้คือใช้แหนแดงในการบำบัดน้ำ เพราะจะช่วยเพิ่มไนโตรเจน และออกซิเจนในน้ำ รวมทั้งเป็นอาหารของหอยด้วยหรือภูมิปัญญาของคนในสมัยก่อนจะตัดท่อนอ้อยลงแช่น้ำ เพราะว่าอ้อยมีความหวาน และจุลินทรีย์มันจะกินความหวานเป็นอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำไม่เสีย รายได้จากการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองสูงกว่าเดือนละ 10_000 บาท

ราคาของหอยเชอรี่สีทองในปัจจุบันขายกันที่กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 400 บาท ระยะเวลาการเลี้ยง จนสามารถขายได้ ประมาณ 4-5 เดือนเป็นอย่างต่ำ ส่วนใครที่ต้องการให้ตัวใหญ่ขึ้นมาอีก ก็เลี้ยงกัน 7-8 เดือน ช่องทางการตลาดสามารถขายได้ทั้งในชุมชนตลาดใกล้บ้าน หรือบางคนใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ โดยขายตั้งแต่ ไข่หอย หอยวัยรุ่น หอยพ่อแม่พันธุ์ ถ้าดูจากคนเลี้ยงที่ประสบความสำเร็จอย่างดี สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10_000 – 20_000 บาท หรือบางเดือนอาจมีรายได้สูงกว่า 40_000 -50_000 ได้เลยทีเดียว

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ในการเลี้ยง เทคนิคในการเลี้ยง การตลาดของผู้เลี้ยงเป็นสำคัญด้วย จากการศึกษาพบว่าเนื้อหอยเชอรี่มีโปรตีนสูงถึง 34 – 53 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 1.66 เปอร์เซ็นต์ ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่างเช่น ส้มตำ หรือทำน้ำปลาจากเนื้อหอยเชอรี่ ใช้ทำเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ สุกร เป็นต้น เปลือกก็สามารถปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินได้ ตัวหอยทั้งเปลือกถ้านำไปฝังบริเวณทรงพุ่มไม้ผล เมื่อเน่าเปื่อยก็จะเป็นปุ๋ยทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตเร็ว และได้ผลผลิตดี รวมถึงข้อมูลจากสถาบันหัวใจและปอดแห่งชาติของแคนาดา ระบุว่า หอยเชอรี่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารจำนวนมาก

อย่างไรก็ดีการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองแม้จะมีโอกาสและช่องทางที่เปิดกว้างแต่คนที่สนใจควรศึกษาหาความรู้จากคนเลี้ยงที่เขาประสบความสำเร็จ สิ่งที่เราควรรู้คือวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง ปัญหาที่ต้องเจอเช่นเรื่องโรคในหอยเชอรี่ หรือการได้พูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์จะทำให้เราเรียนรู้เรื่องช่องทางการตลาดได้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..ลี้ยง-หอยเชอรี่-ในบ่อปูน-สร้างรายได้หลัก-10000-ต่อเดือน/
เมนูยอดนิยม เฉาก๊วยนมสด ทำเองก็ได้ ขายก็รวย
เมนูยอดนิยม เฉาก๊วยนมสด ทำเองก็ได้ ขายก็รวย
เฉาก๊วย คืออะไร?
เฉาก๊วย (Grass Jelly) ขนมหวานสีดำ เป็นที่รู้จักของคนไทยมากกว่า 100 ปีแล้ว มาจากคนจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย แล้วได้เอาเฉาก๊วยเข้ามาขายด้วย เริ่มแรกขายเป็นเฉาก๊วยนิ่มแบบดั้งเดิมจากประเทศจีน โดยจะขายคู่กับเต้าฮวย และเนื่องจากเมืองไทยมีอากาศร้อนจัด ไม่นานเฉาก๊วย จึงเป็นที่นิยม และเริ่มขยายวงกว้างเป็นที่รู้จักของคนไทย

เฉาก๊วยทำมาจากอะไร?
เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้กันมากที่สุดว่า เฉาก๊วยทำจากอะไร? คำตอบคือ เฉาก๊วย เป็นขนมที่มาจากหญ้า ในภาษาจีนคำว่า เฉา แปลว่า หญ้า ส่วนคำว่า ก๊วย แปลว่า ขนม ในภาษาอังกฤษคือ Grass Jelly นั่นเอง ซึ่งหญ้าที่นำมาทำเฉาก๊วยคือ พืชชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับใบมิ้นต์ คนไทยจะเรียกว่า หญ้าเฉาก๊วย (Mesona Chinensis) นั่นเอง

ประโยชน์ของเฉาก๊วย
เฉาก๊วยนอกจากเอามากินคลายร้อนแล้วยังมีประโยชน์ในด้านสมุนไพร คือ ช่วยแก้ร้อนใน แก้หวัด ลดความดันโลหิต ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ลดอาการตับอักเสบ ลดอาการไขข้ออักเสบ และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หรือหากดื่มน้ำเฉาก๊วยเป็นประจำ จะช่วยลดอาการโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานได้ด้วย แต่ข้อควรระวัง คือ น้ำตาลที่ใส่ผสมลงไปต้องไม่มากเกินไปด้วย เพราะแทนที่จะได้ประโยชน์ อาจจะได้ผลเสียกลับมาแทนได้

สูตรทำเฉาก๊วยนมสด
วัตถุดิบของตัวเฉาก๊วย
1.น้ำดื่ม 12 ถ้วยตวง (3 ลิตร)
2.หญ้าเฉาก๊วย 500 กรัม
3.เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนชา
4.แป้งมัน ½ ถ้วยตวง
5.ผงวุ้น 1½ ช้อนโต๊ะ
**หมายเหตุ สามารถหาซื้อหญ้าเฉาก๊วย ได้ที่ร้านข้างวัดเล่งเน่ยยี่ เยาวราช หรือตลาดสดใหญ่ ๆ ได้

วัตถุดิบของเฉาก๊วยนมสด
1.เฉาก๊วย หั่นเต๋า ½ ถ้วยตวง
2.น้ำเชื่อมคาราเมล 1 ออนซ์ (น้ำตาลอ้อย 1 ถ้วยตวง + น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง + น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง)
3.นมสด 2 ออนซ์
4.น้ำแข็งป่นละเอียด และน้ำตาลทรายแดง ตามต้องการ

วิธีทำ

ขั้นตอนที่ 1 : เตรียมน้ำเฉาก๊วย

นำหญ้าเฉาก๊วยล้างน้ำให้สะอาด ประมาน 3-4 น้ำ ให้ดิน และทรายหลุดออก
จากนั้น นำน้ำดื่ม ใส่ลงในหม้อแล้วนำไปตั้งไฟ เมื่อน้ำเดือดใส่เบกกิ้งโซดา และคนให้เข้ากับน้ำ
ตามด้วยหญ้าเฉาก๊วยที่ล้างไว้ลงไป ต้มทิ้งไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ชม.

ขั้นตอนที่ 2 : แช่เฉาก๊วย

เมื่อครบเวลาแล้วนำไปกรองเอาแต่น้ำเฉาก๊วย ให้ได้ 8 ถ้วยตวง
จากนั้นนำน้ำเฉาก๊วยที่ได้ ใส่หม้อขึ้นตั้งไฟ แล้วเติมผงวุ้น และแป้งมัน คนให้เข้ากัน
ต้มจนกว่าน้ำเฉาก๊วยจะหนืดขี้น เมื่อน้ำเฉาก๊วยได้ที่แล้ว เทใส่พิมพ์แล้วแช่ในตู้เย็น เป็นเวลา 30 นาที แล้วค่อยนำออกมาตัดให้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยม
Tip: ผงวุ้นควรใส่ตอนน้ำเฉาก๊วยยังไม่ร้อน ไม่ควรใส่ตอนน้ำเดือด ๆ เพราะจะทำให้ผงวุ้นจับตัวเป็นก้อน

Tip: แป้งมันควรนำไปละลายน้ำ อัตราส่วน 1:1 แล้วควรเทแป้งมันลงในหม้อที่กำลังเดือด ๆ เพื่อให้เฉาก๊วยเงาใส น่ารับประทาน

ขั้นตอนที่ 3 : จัดเสิร์ฟ

นำเฉาก๊วยที่เตรียมไว้ (ขั้นตอนที่ 2) ใส่ลงในแก้ว หรือภาชนะ ที่เตรียมไว้
ตามด้วยน้ำแข็งบดละเอียด นมสด ราดด้วยน้ำเชื่อมคาราเมล และน้ำตาลทรายแดง พร้อมเสิร์ฟ
ทิ้งท้ายสักนิด คุณค่าทางโภชนาการของเฉาก๊วย
คำนวณจากใบเฉาก๊วยแห้ง ขนาด 100 กรัม เฉาก๊วยจะมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้

คาร์โบไฮเดรต 44.95%
โปรตีน 8.33%
ไขมัน 0.39%
เถ้า 37.34%
ใยอาหาร 24.06%
เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม แคลอรี่ในของหวานปริมาณ 100 กรัม คือ

พลังงาน 18 กิโลแคลอรี่
โซเดียม 58 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 8.8 กรัม
น้ำตาล 7 กรัม

ขึ้นชื่อว่า เมนูเฉาก๊วยนมสด แต่อร่อยนะจะบอกให้ ยิ่งตอนรับประทาน ใส่น้ำแข็งเกล็ดหิมะ ยิ่งฟิน เพราะเวลาละลายแล้ว กินกับเฉาก๊วยรสชาติจะยังเข้มข้นอยู่ ลองทำกินตอนบ่ายเพิ่ม คลายร้อน ความสดชื่น หรือทำขายก็ปัง


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
พืชเศรษฐกิจ ทานตะวัน ที่มากกว่าความสวยงาม !!
พืชเศรษฐกิจ ทานตะวัน ที่มากกว่าความสวยงาม !!
จากสภาพความเสื่อมโทรมและการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ที่ได้สร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าวโพด ทั้งด้านราคา ปริมาณ และคุณภาพที่ลดลงเกือบทุกๆ ปี ทำให้เกษตรกรในหลายพื้นที่หันมาปลูกพืชเสริมอย่างทานตะวันหลังเก็บเกี่ยวพืชหลัก จนทานตะวันกลายเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่สร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรในจังหวัดลพบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี

นอกจากทานตะวันจะสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรแล้ว ความสวยงามของทุ่งดอกทานตะวันที่ชูช่อบานสะพรั่งสู้กับพระอาทิตย์ในหลายๆ พื้นที่ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชมจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดลพบุรีจนทุกวันนี้

ทุ่งดอกทานตะวัน จังหวัดลพบุรี เป็นแห่งแรกที่ได้รับการโปรโมตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งมีแหล่งปลูกจะกระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง อำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล ในทุกปีดอกทานตะวันจะบานสะพรั่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก

ทานตะวันเป็นพืชทนแล้งที่เกษตรกรนิยมปลูกหลังจากข้าวโพด เมล็ดทานตะวันจะมีสารอาหารที่มีคุณค่า นิยมใช้สกัดทำน้ำมันปรุงอาหารหรืออบแห้ง เพื่อรับประทานหรือใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง และนอกจากนี้ ยังสามารถนำมาเลี้ยงผึ้งและเก็บเอาน้ำหวานจากรังผึ้งที่สร้างจากเกสรดอกทานตะวันเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง

ต้นทานตะวันเริ่มออกดอก
คุณดาหวัน ห้องกระจก อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ที่ 9 ตำบลโคกตูม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เป็นเกษตรกรคนหนึ่งที่ปลูกทานตะวันเสริมจากพืชหลัก ในทุกปีช่วงเดือนเมษายน ถึงสิงหาคม หลังจากปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คุณดาหวันจะปรับพื้นที่และเตรียมดินเพื่อปลูกพืชรุ่นที่สองอย่างทานตะวันบนพื้นที่ 280 ไร่

การมองหาพืชรุ่นที่สองมาปลูกต่อจากพืชหลักในช่วงนั้นหาได้ยาก เพราะด้วยข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมและสภาพพื้นที่ แหล่งน้ำ อีกทั้งกำลังแรงงานที่ใช้ในการดูแลก็มีน้อย ทำให้พืชที่จะนำมาปลูกได้ในตอนนั้นต้องเป็นพืชที่ไม่ต้องดูแลมาก

คุณดาหวัน เล่าให้ฟังว่า ตนเองเป็นเกษตรกรยึดอาชีพเกษตรกรรมมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ พืชที่ปลูกคือข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พอหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้วก็ไม่ได้ปลูกพืชอะไรต่อ ทำให้พื้นที่ก็ว่างเปล่าอยู่หลายเดือนกว่าฤดูกาลปลูกข้าวโพดจะมาถึง ทำให้ต้องหาพืชรุ่นสองมาปลูกต่อจากข้าวโพด

ครั้นจะปลูกอ้อยกับมันก็ไม่มีความรู้ในการดูแล มีเพียงแต่ทานตะวันที่เห็นเพื่อนเกษตรกรด้วยกันนำเข้ามาปลูกในพื้นที่และได้เข้ามาแนะนำให้ปลูกในทุกๆ ปีของเดือนตุลาคมหลังจากที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดแล้ว

เริ่มรายแรก ปลูกเป็นเครือข่าย

หลังจากที่ได้รับคำแนะนำและเรียนรู้การปลูกและการดูแลทานตะวันจากเพื่อนแล้ว หลังเก็บเกี่ยวข้าวโพดเสร็จคุณดาหวันก็ตัดสินใจนำทานตะวันมาปลูกในพื้นที่เป็นรายแรกๆ ของชุมชน หลังจากที่ได้เห็นและเรียนรู้จากการได้เห็นและสัมผัสมา

การเตรียมพื้นที่ปลูก อันดับแรกเราจะใช้รถไถผาล 2 ไถก่อนครั้งแรก พอไถเสร็จเรียบร้อยก็จะหว่านเมล็ดพันธุ์ และสำหรับการหว่านเมล็ดพันธุ์นั้นเราจะต้องหว่านเผื่อไว้เพื่อป้องกันเมล็ดพันธุ์ไปตกติดอยู่ในลำต้นข้าวโพดที่ไถไปกับดิน ซึ่งจะทำให้เมล็ดไม่สามารถงอกได้ ทำให้เราต้องหว่านเผื่อไว้ ซึ่งวิธีนี้เราจะต้องใช้เมล็ดพันธุ์ในการหว่านโดยประมาณ 1.3-1.5 กิโลกรัม ต่อไร่

แต่ถ้าหากมีเวลาในการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก จะใช้วิธีการหยอดลงหลุมโดยวิธีนี้จะต้องเตรียมพื้นที่ปลูกให้เป็นแถวก่อน หลังจากนั้น ก็จะใช้รถไถเล็กหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไป 1-2 เมล็ด ต่อหลุม ซึ่งการปลูกวิธีนี้จะทำให้ต้นทานตะวันขึ้นตรงกันเป็นแถว ดูเรียบร้อย และที่สำคัญวิธีการหยอดลงหลุมจะใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 8 ขีด ต่อไร่ ซึ่งน้อยกว่าการหว่าน

พันธุ์ทานตะวันที่ปลูกเป็นพันธุ์อาร์ตูเอล เป็นพันธุ์ที่มีน้ำหนักดี แต่ให้น้ำมันน้อย แต่ที่ผ่านมาจะปลูกพันธุ์จัมโบ้ ซึ่งจะให้ปริมาณน้ำมันเยอะกว่าสายพันธุ์อื่นที่ปลูกมา แต่สำหรับปีนี้ได้รับแจกเมล็ดพันธุ์จากหน่วยงานของรัฐจึงนำมาปลูก ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ทางหนึ่ง เพราะแต่ละปีการปลูกทานตะวันแต่ละรอบนั้นจะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 400 บาทใหม่ทุกครั้ง เพราะเราไม่สามารถเก็บเมล็ดจากต้นมาทำเป็นพันธุ์ปลูกต่อได้ คุณดาหวัน กล่าว

ดูแลให้ปุ๋ย ผลผลิตงดงาม

คุณดาหวัน เล่าต่อว่า หลังจากที่ปลูกจนต้นทานตะวันเจริญเติบโตขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วก็จะให้ปุ๋ยทางใบเสริม แต่หากช่วงที่ไม่มีเวลาก็ปล่อยให้ธรรมชาติดูแลเอง

ส่วนเรื่องการดูแลทานตะวันนั้น คุณดาหวัน บอกว่า มีการดูแลที่เหมือนกันทุกๆ สายพันธุ์ หากได้รับน้ำในปริมาณที่พอดี ก็จะทำให้ดอกและต้นสวยสมบูรณ์ดี แต่หากได้น้ำมากจนเกินไป ก็จะทำให้ต้นแคระแกร็น ซึ่งตั้งแต่ที่ปลูกมาก็ไม่พบปัญหาอะไรที่รุนแรง โรคและแมลงก็มีน้อย

ทานตะวันจะใช้ระยะเวลาประมาณ 60-65 วัน โดยเฉลี่ยในการสร้างลำต้น ดอก จนสมบูรณ์ถึงจะเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยใช้แรงงานคนหรือเครื่องจักรกล ซึ่งที่นิยมใช้จะเป็นเครื่องจักรกลมากกว่าแรงงานคน เพราะว่าเครื่องจักรกลในขณะที่เก็บเกี่ยวอยู่นั้น เครื่องก็จะทำการสีไปพร้อมๆ กัน เราไม่ต้องนำดอกทานตะวันไปผ่านกระบวนการสีอีกครั้ง แต่สำหรับแรงงานคนเราต้องนำดอกทานตะวันที่เก็บไปผ่านกระบวนการสีอีกครั้งหนึ่งถึงจะนำไปสกัดเป็นน้ำมัน ซึ่งต้องเสียเงินทั้งจ้างแรงงานและจ้างสี ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง

ปริมาณผลผลิตที่ได้ของดอกทานตะวันอยู่ที่ 250 กิโลกรัม ต่อไร่ จำหน่ายออกไปกิโลกรัมละ 16-17 บาท ซึ่งหากพูดถึงกำไรก็จะได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากน้ำดี ไม่มีโรคแมลงที่ยากที่จะแก้ไข ไม่พบกับปัญหาภัยธรรมชาติ แต่หากปีไหนที่มีปัญหาก็จะได้กำไรลงน้อยลง ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วันนี้ทานตะวันมีน้อยลงทุกปี เนื่องจากเกษตรกรเริ่มหันไปสนใจกับมันสำปะหลัง อ้อย และปลูกข้าวโพดรุ่นสองซึ่งมีผลตอบแทนที่ดีกว่าทานตะวัน คุณดาหวัน กล่าวทิ้งท้าย


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อ่าน:3425
120 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 12 หน้า, หน้าที่ 13 มี 0 รายการ
|-Page 6 of 13-|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |


โทร 090-592-8614
ไลน์ไอดี @FarmKaset

กลุ่มสินค้าขายดีมาก

ฮิวมิค FK
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ
ไทอะมีทอกแซม
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ
แพนน่อน
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ


กลุ่มทางใบปุ๋ยประสิทธิภาพสูง
*โปรดอ่าน ใช้ FK-1 ในช่วงแรก เพื่อเร่งโต เร่งราก เร่งดอก จับคู่กับ FK-3 ในช่วงเร่งผลผลิต พืชออกผลทุกชนิด ใช้ FK-1 กับ FK-3, นาข้าว ใช้ FK-1 กับ FK-3R (Rice), ไร่อ้อย ใช้ FK-1 กับ FK-3S (Sugarcane), มันสำปะหลัง ใช้ FK-1 กับ FK-3C (Cassava)

FK-1
สั่ง FK-1 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3
สั่ง FK-3 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3S
สั่ง FK-3S กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3R
สั่ง FK-3R กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3C
สั่ง FK-3C กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มอินทรีย์ ปุ๋ย ยาปราบฯ
ที่ขายดีที่สุดบน ลาซาด้า

FKT250-IS250-499B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 1ลิตร
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 3ลิตร
สั่งไอเอส3ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
มาคา
สั่งมาคากับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอกี้-บีที
สั่งไอกี้-บีทีกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L
สั่ง FK-T 1ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK ธรรมชาตินิยม
สั่งFK-T 250ซีซี กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 250ซีซี
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-IS1L-970B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-MAKA-980B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-AiKi-990B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มเคมียาปราบฯประสิทธิภาพสูง

invet
สั่ง อินเวท กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
metalaxyl
สั่ง เมทาแลคซิล กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
carron
สั่ง คาร์รอน กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มปุ๋ยทางใบผสมสูตรเองได้
เว็บระบบคำนวณการผสมปุ๋ย


starfer 30-20-5
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 10-40-10
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 15-5-30
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
maxza
สั่ง แม็กซ่า กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้



บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
Central Laboratory (Thailand) Co.,Ltd.

ให้บริการตรวจวิเคราะห์
ตรวจฉลากโภชนาการ
ตรวจสารสำคัญกัญชา/กัญชง
ตรวจน้ำใช้ในกระบวนการผลิต
ฟอร์มขอใบเสนอราคา
สำหรับตรวจวิเคราะห์อื่นๆ ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (ตรวจวิเคราะห์ได้ทุกอย่าง) โปรดกรอก ฟอร์มขอใบเสนอราคา
ตรวจขึ้นทะเบียนปุ๋ยเคมี
ตรวจสารพิษตกค้างเพื่อการส่งออก
ตรวจผักสดปลอดเชื้อจุลินทรีย์ E. coli, Salmonella spp.
ส่งตัวอย่างมะละกอ เพื่อการทดสอบการดัดแปลงพันธุกรรม
ส่งตัวอย่างเพื่อทดสอบ ปริมาณอะฟลาทอกซินในเมล็ดแมงลัก ลูกเดือย และพริกแห้ง เพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร
Hardline Test Application
ปุ๋ยคุณภาพสูง
พืชทุกชนิด | ปุ๋ยทุเรียน | ปุ๋ยมันสำปะหลัง | ปุ๋ยสำหรับไร่อ้อย | ปุ๋ยนาข้าว | ปุ๋ยยางพารา | ปุ๋ยมะพร้าว | ปุ๋ยข้าวโพด | ปุ๋ยปาล์ม | ปุ๋ยสับปะรด | ปุ๋ยถั่วเหลือง | ปุ๋ยพริกไทย | ปุ๋ยกาแฟ | ปุ๋ยมะนาว | ปุ๋ยส้ม | ปุ๋ยลำไย | ปุ๋ยลิ้นจี่ | ปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่ง | ปุ๋ยกระเจี๊ยบเขียว | ปุ๋ยมังคุด | ปุ๋ยมันฝรั่ง | ปุ๋ยหอมหัวใหญ่ | ปุ๋ยกระเทียม | ปุ๋ยหอมแดง | ปุ๋ยมะเขือเทศ | ปุ๋ยกล้วยไม้ | ปุ๋ยอินทผลัม | ปุ๋ยน้อยหน่า | ปุ๋ยชมพู่ | ปุ๋ยเงาะ | ปุ๋ยมะม่วง | ปุ๋ยมะขาม | ปุ๋ยพริก
ยาอินทรีย์แก้โรคพืช
โรคใบไหม้ | ทุเรียนใบติด | มันสำปะหลังใบไหม้ | โรคอ้อยใบไหม้ | ข้าวใบไหม้ | ยางพาราใบไหม้ | โรคมะพร้าวใบไหม้ | โรคราน้ำค้างข้าวโพด | ปาล์มใบไหม้ | โรคสับปะรด | โรคราน้ำค้างถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟใบไหม้ | ราสนิมมะนาว | ส้มใบไหม้ | ลำไยใบไหม้ | ลิ้นจี่ใบไหม้ | หน่อไม้ฝรั่งลำต้นไหม้ | กระเจี๊ยบเขียวฝักลาย | โรคใบจุดมังคุด | มันฝรั่งใบใหม้ | โรคหอมเลื้อย | โรคใบจุดกระเทียม | โรคหอมแดง | ราแป้งมะเขือเทศ | โรคจุดสนิมกล้วยไม้ | อินทผลัมใบไหม้ | น้อยหน่าดอกร่วง | ชมพู่ใบไหม้ | เงาะใบไหม้ | มะม่วงใบไหม้ | ราแป้งมะขาม | โรคพริก
ยาเคมี กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยทุเรียน | เพลี้ยมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยข้าว | เพลี้ยยางพารา | เพลี้ยมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยสับปะรด | เพลี้ยถั่วเหลือง | เพลี้ยพริกไทย | เพลี้ยกาแฟ | เพลี้ยมะนาว | เพลี้ยส้ม | เพลี้ยลำไย | เพลี้ยลิ้นจี่ | เพลี้ยหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยมังคุด | เพลี้ยมันฝรั่ง | เพลี้ยหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยกระเทียม | เพลี้ยหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยกล้วยไม้ | เพลี้ยอินทผาลัม | เพลี้ยน้อยหน่า | เพลี้ยชมพู่ | เพลี้ยเงาะ | เพลี้ยมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยพริก
ยาเคมี กำจัดโรคพืช
โรคใบไหม้ | โรคทุเรียน | โรคมันสำปะหลัง | โรคอ้อย | โรคข้าว | โรคยางพารา | โรคมะพร้าว | โรคข้าวโพด | โรคปาล์ม | โรคสับปะรด | โรคถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟ | โรคมะนาว | โรคส้ม | โรคลำไย | โรคลิ้นจี่ | โรคหน่อไม้ฝรั่ง | โรคกระเจี๊ยบเขียว | โรคมังคุด | โรคมันฝรั่ง | โรคหอม | โรคกระเทียม | โรคหอมแดง | โรคมะเขือเทศ | โรคกล้วยไม้ | โรคอินทผาลัม | โรคน้อยหน่า | โรคชมพู่ | โรคเงาะ | โรคมะม่วง | โรคมะขาม | โรคพริก
ยาอินทรีย์ กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน | เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยศัตรูข้าว | เพลี้ยแป้งยางพารา | เพลี้ยศัตรูมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยอ่อนปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยแป้งสับปะรด | เพลี้ยอ่อนถั่วเหลือง | เพลี้ยแป้งพริกไทย | เพลี้ยแป้งกาแฟ | เพลี้ยไฟมะนาว | เพลี้ยไฟส้ม | เพลี้ยแป้งลำไย | เพลี้ยแป้งลิ้นจี่ | เพลี้ยไฟหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยจักจั่นฝ้ายกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยไฟมังคุด | เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง | เพลี้ยไฟหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยไฟกระเทียม | เพลี้ยไฟหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยไฟกล้วยไม้ | เพลี้ยแป้งอินทผาลัม | เพลี้ยแป้งน้อยหน่า | เพลี้ยไฟชมพู่ | เพลี้ยแป้งเงาะ | เพลี้ยจักจั่นมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยไฟพริก
สารชีวินทรีย์ กำจัดหนอนต่างๆ
กำจัดหนอนศัตรูพืช | กำจัดหนอนทุเรียน | กำจัดหนอนมันสำปะหลัง | กำจัดหนอนกออ้อย | กำจัดหนอนในนาข้าว | กำจัดหนอนในสวนยางพารา | กำจัดหนอนมะพร้าว | กำจัดหนอนข้าวโพด | กำจัดหนอนปาล์มน้ำมัน | กำจัดหนอนสับปะรด | กำจัดหนอนถั่วเหลือง | กำจัดหนอนพริกไทย | กำจัดหนอนกาแฟ | กำจัดหนอนมะนาว | กำจัดหนอนส้ม | กำจัดหนอนลำไย | กำจัดหนอนลิ้นจี่ | กำจัดหนอนหน่อไม้ฝรั่ง | กำจัดหนอนกระเจี๊ยบเขียว | กำจัดหนอนมังคุด | กำจัดหนอนมันฝรั่ง | กำจัดหนอนหอมหัวใหญ่ | กำจัดหนอนกระเทียม | กำจัดหนอนหอมแดง | กำจัดหนอนมะเขือเทศ | กำจัดหนอนกล้วยไม้ | กำจัดหนอนอินทผาลัม | กำจัดหนอนน้อยหน่า | กำจัดหนอนชมพู่ | กำจัดหนอนเงาะ | กำจัดหนอนมะม่วง | กำจัดหนอนมะขาม | กำจัดหนอนพริก
iLab.work ผู้ใช้บริการตรวจวิเคราะห์ค่าธาตุอาหารใน ดิน น้ำ ปุ๋ย พืช กากอุตสาหกรรม มาตฐาน ISO/IEC 17025


ตรวจง่ายนับ 1 2 3 มาตฐาน ISO/IEC 17025
1.เลือกและคำนวณค่าตรวจที่หน้าเว็บ คลิก
2.ส่งดินเข้าห้อง LAB (ไปรษณีย์,เคอรี่,แฟรช)
3.อ่านผลออนไลน์ (เราจัดส่งต้นฉบับผลวิเคราะห์ ไปตามที่อยู่ที่ให้ไว้เช่นกัน)
→เริ่มกันเลย เลือกค่าที่ต้องการวิเคราะห์
[มีชุดโปรฯแนะนำลดพิเศษ หรือเลือกเองได้]
โรคไหม้คอรวง ข้าวขาดคอรวง ข้าวเน่าคอรวง แก้ด้วย ไอเอส สารอินทรีย์กำจัดเชื้อรา ปลอดภัย
Update: 2562/10/21 20:42:14 - Views: 3656
5 พืชเศรษฐกิจไทย ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด
Update: 2567/11/19 07:40:20 - Views: 65
คู่มืองป้องกันและกำจัดโรคในลำไย โรคราต่างๆ ใบไหม้ ราแป้ง ราสนิม กิ่งแห้ง และราอื่นๆ
Update: 2566/04/30 08:55:27 - Views: 8462
โรคถั่วฝักยาว ราแป้งถั่วฝักยาว อาการใบเหลือง ใบไหม้ ในถั่วฝักยาว
Update: 2564/08/22 22:28:51 - Views: 3800
เพลี้ย! ดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบกัญชา ทำให้ กัญชาใบหงิก ม้วน ใบจุดด่างขาว ใบจุดด่างเหลือง
Update: 2564/08/30 22:29:29 - Views: 3649
ปุ๋ยฉีดพ่นทางใบ สำหรับ อินทผลัม อินทผาลัม FK-1 โตไว ใบเขียว ติดผล ส่งเสริมผลผลิต
Update: 2564/09/07 00:48:59 - Views: 3506
กำจัดแมลงศัตรูพืช ยาฆ่าเพลี้ยหอย ในดอกลีลาวดี และ พืชทุกชนิด บิวทาเร็กซ์ โดย ไดโนเร็กซ์
Update: 2566/02/03 10:05:11 - Views: 3437
ยารักษาโรคกะเพราใบจุด กะเพราใบไหม้ ใบแห้ง โรคต่างๆจากเชื้อรา ใช้ ไอเอส
Update: 2564/10/10 00:48:22 - Views: 3539
กำจัดเชื้อรา สาเหตุของโรครากเน่า เน่าคอดิน ใน ถั่วเหลือง ไตรโคเดอร์มา ไตรโคเร็กซ์ ปลอดภัยต่อคนและสัตว์เลี้ยง
Update: 2566/01/16 14:55:27 - Views: 3493
โรคสับปะรด ที่เกิดจากเชื้อราต่างๆ ทำให้เกิดอาการสับปะรดยอดเน่า รากเน่า ใบไหม้ ยกตัวอย่างได้ดังต่อไปนี้
Update: 2566/11/08 06:16:07 - Views: 11141
สาเหตุ และ การรักษาโรคแอนแทรคโนสในแตงกวา
Update: 2564/08/09 04:15:53 - Views: 3453
ปุ๋ยสตาร์เฟอร์ 0-0-60 : ตัวช่วยสำคัญสำหรับมะเขือเปราะผลใหญ่ ดก เพิ่มผลผลิต
Update: 2567/03/12 10:17:29 - Views: 3593
การใช้คาร์รอน (Diuron 80% WG) ในกำจัดวัชพืชในสวนผักกะหล่ำปลี
Update: 2567/02/13 09:19:12 - Views: 3669
เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ต้นทุนต่ำ ทำกำไรตัวละ 3 บาทต่อวัน
Update: 2565/11/15 14:14:32 - Views: 3480
ยากำจัดโรคราแป้ง ใน พริก โรคที่เกิดจากเชื้อรา ฉีดพ่นไอเอสใช้ได้กับพืชทุกชนิด (ขนาด 3 ลิตร ใช้ได้15 ไร่)
Update: 2566/06/12 10:49:58 - Views: 3438
กำจัดเชื้อรา ต้นหอม ปลอดสารพิษ ไอเอส และ FK-T(ใช้ได้ทุกพืช)โดย FK
Update: 2565/09/22 11:33:56 - Views: 3445
ฮิวมิค แอซิด ฟาร์มิค - เคล็ดลับการปลดปล่อยธาตุอาหารให้กับพืชแอ๊ปเปิ้ล
Update: 2567/02/13 09:25:43 - Views: 3508
รับมือ โรคราน้ำค้างในข้าวโพด
Update: 2564/08/10 05:03:35 - Views: 3882
ปุ๋ยสำหรับต้นทานตะวัน
Update: 2564/05/11 08:02:21 - Views: 3768
ปุ๋ยฉีดพ่นทางใบสำหรับอ้อย
Update: 2564/08/27 22:13:46 - Views: 3644
GA4 © FarmKaset.ORG | สถาบันอนุญาโตตุลาการ : 2022