[sort by : last post | top views]..
+ โพสเรื่องใหม่ | ^ เลือกหน้า | ค้นคำว่า - กำจัดศัตรูพืช
481 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 48 หน้า, หน้าที่ 49 มี 1 รายการ

สารกำจัดศัตรูพืชอินทรีย์สำหรับควบคุม เพลี้ยไฟมังคุด : ประโยชน์ของการใช้ MAKA และ FK-1
สารกำจัดศัตรูพืชอินทรีย์สำหรับควบคุม เพลี้ยไฟมังคุด : ประโยชน์ของการใช้ MAKA และ FK-1
สารกำจัดศัตรูพืชอินทรีย์สำหรับควบคุม เพลี้ยไฟมังคุด : ประโยชน์ของการใช้ MAKA และ FK-1
เพลี้ยไฟมังคุด (Thrips mangiferae) เป็นศัตรูพืชทั่วไปที่สามารถทำลายต้นมังคุดและทำให้ผลผลิตลดลง แมลงขนาดเล็กเหล่านี้กินใบและดอกของต้นไม้ ทำให้พวกมันบิดเบี้ยวและแคระแกรน เพลี้ยไฟมังคุดสามารถทำลายต้นอ่อนได้

วิธีหนึ่งที่ได้ผลในการควบคุมเพลี้ยไฟมังคุดคือการใช้สารกำจัดศัตรูพืชอินทรีย์ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำจากวัสดุธรรมชาติและปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมมากกว่ายาฆ่าแมลงสังเคราะห์

สารกำจัดศัตรูพืชอินทรีย์ชนิดนี้คือ MAKA ซึ่งทำจากส่วนผสมของสารสกัดจากพืชและน้ำมันหอมระเหย มาคา มีประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงศัตรูพืชหลายชนิด รวมทั้งเพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน และไร อีกทั้งยังปลอดภัยสำหรับใช้กับพืชอาหาร จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับชาวสวนมังคุด

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ร่วมกับ MAKA ได้คือ FK-1 ซึ่งเป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหาร เช่น แมกนีเซียม สังกะสี ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม รวมทั้งสารลดแรงตึงผิว การผสมผสานของสารอาหารและสารลดแรงตึงผิวนี้ช่วยบำรุงพืชและส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช ในขณะเดียวกันก็ช่วยป้องกันเพลี้ยและแมลงศัตรูพืชอื่นๆ

การใช้ MAKA และ FK-1 ร่วมกันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมเพลี้ยไฟในมังคุด ในขณะเดียวกันก็ช่วยบำรุงต้นและช่วยให้พืชฟื้นตัวจากการเข้าทำลายของเพลี้ย การรวมกันของทั้งสองผลิตภัณฑ์ยังสามารถช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชและเพิ่มผลผลิต

โดยรวมแล้ว การใช้สารกำจัดศัตรูพืชอินทรีย์ MAKA และปุ๋ย FK-1 สามารถเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการควบคุมเพลี้ยไฟมังคุด และปรับปรุงสุขภาพและผลผลิตของต้นมังคุด

สนใจ มาคา และ FK1 ช่องทางสั่งซื้อ

ลาซาด้า

FK-1 บนลาซาด้า ราคา 890 บาท http://ไปที่..link..

มาคา บนลาซาด้า ราคา 470 บาท http://ไปที่..link..

ช้อปปี้

FK-1 บนช้อปปี้ ราคา 890 บาท http://ไปที่..link..

มาคา บนช้อปปี้ ราคา 470 บาท http://ไปที่..link..

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3461
ป้องกันกำจัดเพลี้ยต่างๆ ในทุกพืช ด้วย มาคา และ FK-1 การผสมสารอินทรีย์กับปุ๋ยเพื่อการควบคุมเพลี้ยอย่างมีประสิทธิภาพและการบำรุงพืช
ป้องกันกำจัดเพลี้ยต่างๆ ในทุกพืช ด้วย มาคา และ FK-1 การผสมสารอินทรีย์กับปุ๋ยเพื่อการควบคุมเพลี้ยอย่างมีประสิทธิภาพและการบำรุงพืช
ป้องกันกำจัดเพลี้ยต่างๆ ในทุกพืช ด้วย มาคา และ FK-1 การผสมสารอินทรีย์กับปุ๋ยเพื่อการควบคุมเพลี้ยอย่างมีประสิทธิภาพและการบำรุงพืช
เพลี้ยต่างๆ เป็นแมลงดูดกินน้ำเลี้ยงขนาดเล็กที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับพืชได้หลากหลายชนิด ทั้งพืชผัก ไม้ผล และไม้ประดับ แม้ว่าจะมีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากมายในการควบคุมเพลี้ย แต่ชาวสวนและเกษตรกรบางคนชอบใช้วิธีธรรมชาติและออร์แกนิกมากกว่า วิธีหนึ่งคือการใช้สารอินทรีย์ เช่น ตรา MAKA ร่วมกับปุ๋ย เช่น ตรา FK-1

สารประกอบอินทรีย์สามารถช่วยควบคุมเพลี้ยได้อย่างไร:

สารประกอบอินทรีย์คือสารที่ได้จากพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุ และใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูพืชด้วยวิธีธรรมชาติ สารอินทรีย์ตรา MAKA ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อควบคุมเพลี้ยและแมลงปากดูดอื่นๆ เมื่อนำไปใช้กับพืชที่ถูกรบกวน สารประกอบนี้ทำงานโดยขัดขวางความสามารถของแมลงในการหาอาหารและขยายพันธุ์ ซึ่งนำไปสู่การตายในที่สุด

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วสารประกอบอินทรีย์จะถือว่าปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมมากกว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังใช้ผลิตภัณฑ์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของปุ๋ย:

นอกจากการควบคุมเพลี้ยแล้ว การใช้ปุ๋ยตรา FK-1 ยังสามารถช่วยบำรุงพืชและส่งเสริมการเจริญเติบโตได้อีกด้วย ปุ๋ยช่วยให้พืชได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต รวมทั้งแมกนีเซียม สังกะสี ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม แบรนด์ FK-1 ยังมีสารลดแรงตึงผิวซึ่งช่วยให้รากของพืชดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การใช้สารอินทรีย์และปุ๋ยร่วมกันสามารถให้ประโยชน์สองเท่าสำหรับพืชโดยทั้งควบคุมแมลงศัตรูพืชและส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดี การบำรุงพืชในขณะที่พวกมันฟื้นตัวจากเพลี้ยรบกวน คุณสามารถช่วยให้พวกมันเติบโตเร็วขึ้นและได้ผลผลิตที่สูงขึ้น

บทสรุป:

โดยสรุป การใช้สารอินทรีย์ตรา MAKA ร่วมกับปุ๋ยตรา FK-1 เป็นวิธีที่ได้ผลในการควบคุมเพลี้ยและบำรุงพืช การปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากและการวิจัยส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ คุณสามารถจัดการการแพร่ระบาดของเพลี้ยได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมสุขภาพและการเจริญเติบโตของพืชของคุณ

สนใจ มาคา และ FK1 ช่องทางสั่งซื้อ

ลาซาด้า

FK-1 บนลาซาด้า ราคา 890 บาท http://ไปที่..link..

มาคา บนลาซาด้า ราคา 470 บาท http://ไปที่..link..

ช้อปปี้

FK-1 บนช้อปปี้ ราคา 890 บาท http://ไปที่..link..

มาคา บนช้อปปี้ ราคา 470 บาท http://ไปที่..link..

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3415
ปุ๋ยแตงโม ตรา FK กับการเพิ่มผลผลิต และคุณภาพ ด้วยธาตุอาหารที่แตงโมต้องการอย่างครบถ้วน
ปุ๋ยแตงโม ตรา FK กับการเพิ่มผลผลิต และคุณภาพ ด้วยธาตุอาหารที่แตงโมต้องการอย่างครบถ้วน
ปุ๋ยแตงโม ตรา FK กับการเพิ่มผลผลิต และคุณภาพ ด้วยธาตุอาหารที่แตงโมต้องการอย่างครบถ้วน
เร่งการเจริญเติบโตแตงโม ฉีดพ่น FK-1 เมื่อแตงโมเริ่มติดผล ฉีดพ่น FK-3 เพื่อเร่งผล ทำให้แตงโมผลโต น้ำหนักดี เนื้อดี มีรสชาติดี
ทั้ง FK-1 และ FK-3 ประกอบด้วย แมกนีเซียม สังกะสี ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และ สารลดแรงตึงผิว ซึ่งมีรายละเอียดกลไกการทำงาน เพื่อส่งเสริมผลผลิตแตงโมตลอดช่วงอายุ ดังต่อไปนี้

แตงโมเป็นผลไม้ฤดูร้อนที่อร่อยและสดชื่นที่สามารถปลูกได้ในสภาพอากาศที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับพืชทุกชนิด แตงโมมีความต้องการเฉพาะเพื่อที่จะเจริญเติบโต ในบทความนี้ เราจะพูดถึงความสำคัญของแมกนีเซียม สังกะสี ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และสารลดแรงตึงผิวในการเจริญเติบโตของแตงโม

แมกนีเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับพืช รวมทั้งแตงโม มีบทบาทในการสังเคราะห์แสงและการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ และยังมีส่วนร่วมในการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช การขาดแมกนีเซียมอาจทำให้การเจริญเติบโตแคระแกร็นและใบเหลืองได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าต้นแตงโมของคุณได้รับสารอาหารนี้อย่างเพียงพอ คุณสามารถเพิ่มแมกนีเซียมลงในดินได้โดยใช้ปูนขาวโดโลไมติกหรือดีเกลือฝรั่ง (แมกนีเซียมซัลเฟต)

สังกะสีเป็นสารอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับต้นแตงโม เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ฮอร์โมนและเอ็นไซม์ ตลอดจนควบคุมการแสดงออกของยีน การขาดธาตุสังกะสีสามารถนำไปสู่การเติบโตแคระแกรน ผลผลิตผลไม้ลดลง และผลไม้มีคุณภาพต่ำ คุณสามารถเพิ่มสังกะสีลงในดินได้โดยใช้ซิงค์ซัลเฟตหรือซิงค์ออกไซด์

ไนโตรเจนเป็นสารอาหารหลักสำหรับการเจริญเติบโตของพืช และมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแตงโม เนื่องจากช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบ ลำต้น และเถา การขาดไนโตรเจนอาจทำให้ใบเหลืองและผลผลิตผลไม้ลดลง คุณสามารถเพิ่มไนโตรเจนลงในดินได้โดยใช้อินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผุพัง หรือใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง

ฟอสฟอรัสเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับแตงโมอีกชนิดหนึ่ง ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของราก การผลิตดอก และการพัฒนาของเมล็ด การขาดฟอสฟอรัสสามารถนำไปสู่การเติบโตที่แคระแกรนและผลผลิตผลไม้ลดลง คุณสามารถเพิ่มฟอสฟอรัสลงในดินได้โดยใช้กระดูกป่นหรือหินฟอสเฟต

โพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับแตงโม และมีบทบาทในการควบคุมการดูดซึมน้ำและสารอาหาร เช่นเดียวกับการสังเคราะห์โปรตีนและน้ำตาล การขาดโพแทสเซียมสามารถนำไปสู่การเติบโตที่แคระแกรนและผลผลิตผลไม้ลดลง คุณสามารถเพิ่มโพแทสเซียมลงในดินได้โดยการใส่ปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น โพแทสเซียมซัลเฟตหรือโพแทสเซียมคลอไรด์

สารลดแรงตึงผิวเป็นสารเคมีที่ใช้ในการลดแรงตึงผิวของของเหลว มักใช้ในการเกษตรเพื่อปรับปรุงการดูดซึมและประสิทธิภาพของยาฆ่าแมลงและปุ๋ย ในกรณีของแตงโม สามารถใช้สารลดแรงตึงผิวเพื่อปรับปรุงการดูดซับสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแห้งหรือดินอัดแน่น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยปรับปรุงการครอบคลุมและการแทรกซึมของสารกำจัดศัตรูพืชซึ่งอาจมีความสำคัญต่อการควบคุมศัตรูพืช

โดยสรุปแล้ว แมกนีเซียม สังกะสี ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และสารลดแรงตึงผิวล้วนมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของต้นแตงโม การดูแลให้ต้นแตงโมได้รับสารอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างแข็งแรงและเพิ่มผลผลิตผลไม้ได้สูงสุด

สนใจปุ๋ย FK1 และ FK-3 ช่องทางสั่งซื้อ

ลาซาด้า

FK-1 บนลาซาด้า http://ไปที่..link..

FK-3 บนลาซาด้า http://ไปที่..link..

ช้อปปี้

FK-1 บนช้อปปี้ http://ไปที่..link..

FK-3 บนช้อปปี้ http://ไปที่..link..

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3409
ปุ๋ยมะพร้าว FK-1 มะพร้าวโตไวใบเขียว ปุ๋ย FK-3 มะพร้าวผลโต น้ำหนักดี ประกอบด้วยธาตุอาหารพืชครบถ้วน
ปุ๋ยมะพร้าว FK-1 มะพร้าวโตไวใบเขียว ปุ๋ย FK-3 มะพร้าวผลโต น้ำหนักดี ประกอบด้วยธาตุอาหารพืชครบถ้วน
ปุ๋ยมะพร้าว FK-1 มะพร้าวโตไวใบเขียว ปุ๋ย FK-3 มะพร้าวผลโต น้ำหนักดี ประกอบด้วยธาตุอาหารพืชครบถ้วน
ปุ๋ย FK-1 ฉีดพ่นได้ทุกระยะการเติบโตของมะพร้าว เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ใบเขียวสมบูรณ์ แข็งแรงทนต่อโรค

ปุุ๋ย FK-3 ฉีดพ่นเมื่อมะพร้าวเริ่มติดผล ช่วยให้ผลโต น้ำหนักดี มีคุณภาพ มีรสชาติที่ดี

ทั้ง FK-1 และ FK-3 ประกอบด้วย ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และ สารลดแรงตึงผิว ธาตุแต่ละตัว มีบทบาทต่อการเจริญเติบโตของมะพร้าว ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

องค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อปลูกต้นมะพร้าวคือบทบาทของแมกนีเซียม สังกะสี และสารลดแรงตึงผิวที่มีต่อความสมบูรณ์ของสวนมะพร้าว

แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช เป็นส่วนประกอบของคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ทำให้พืชมีสีเขียวและช่วยให้พืชสังเคราะห์แสงได้ แมกนีเซียมยังมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์เอนไซม์และฮอร์โมนต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืช เมื่อระดับแมกนีเซียมต่ำ พืชอาจประสบกับการเจริญเติบโตที่แคระแกรน ใบเหลือง และผลผลิตไม่ดี

สังกะสีเป็นธาตุอาหารรองที่จำเป็นต่อสุขภาพของต้นมะพร้าว เช่นเดียวกับแมกนีเซียม สังกะสีมีส่วนในปฏิกิริยาของเอนไซม์ต่างๆ และจำเป็นต่อการสังเคราะห์ฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช สังกะสียังเกี่ยวข้องกับการสร้างคลอโรฟิลล์และช่วยในการทำงานที่เหมาะสมของระบบภูมิคุ้มกันของพืช การขาดธาตุสังกะสีอาจทำให้การเจริญเติบโตแคระแกรน ใบเหลือง และผลผลิตไม่ดี

สารลดแรงตึงผิวเป็นโมเลกุลชนิดพิเศษที่ใช้ในการเกษตรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของปุ๋ยที่ประกอบด้วยธาตุอาหารพืชต่างๆ สารลดแรงตึงผิวทำงานโดยการลดแรงตึงผิวของน้ำ ซึ่งช่วยให้ ปุ๋ย รวมถึงสารกำจัดศัตรูพืชและสารกำจัดวัชพืชกระจายไปทั่วพื้นผิวของพืชได้ง่ายขึ้นและซึมผ่านใบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สารลดแรงตึงผิวยังสามารถช่วยปรับปรุงการเปียกของดินและการดูดซึมสารอาหารของพืช สิ่งนี้สามารถเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับต้นมะพร้าว เนื่องจากมีใบคล้ายขี้ผึ้งหนา ซึ่งปุ๋ย รวมถึงยาฆ่าแมลงและยากำจัดวัชพืชเจาะทะลุได้ยาก

โดยสรุปแล้ว แมกนีเซียม สังกะสี และสารลดแรงตึงผิวล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อปลูกต้นมะพร้าว สารอาหารและสารเคมีเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของต้นมะพร้าว และสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและผลผลิตของสวนมะพร้าว การดูแลให้ต้นมะพร้าวสามารถเข้าถึงสารอาหารและสารเคมีเหล่านี้ในระดับที่เพียงพอจะช่วยเพิ่มศักยภาพของต้นมะพร้าวและรับประกันการเก็บเกี่ยวที่ประสบความสำเร็จ

สวนมะพร้าวอาศัยความสมดุลที่เหมาะสมของธาตุอาหารที่จำเป็น 3 ชนิด ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม สารอาหารเหล่านี้มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของต้นมะพร้าวที่แข็งแรงและการผลิตมะพร้าวคุณภาพสูง

ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ช่วยให้พืชสังเคราะห์แสงและเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของกรดอะมิโน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาเนื้อเยื่อใหม่และการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย หากไม่มีธาตุไนโตรเจนเพียงพอ ต้นมะพร้าวจะแคระแกร็น ใบเหลือง ผลจะมีขนาดเล็กและคุณภาพต่ำ

ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับต้นมะพร้าว มีบทบาทสำคัญในการถ่ายโอนพลังงานภายในพืช และมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก ซึ่งจำเป็นสำหรับการแบ่งเซลล์และการเจริญเติบโต ฟอสฟอรัสยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาของรากที่แข็งแรงและการผลิตดอกไม้และผลไม้ที่แข็งแรง หากไม่มีฟอสฟอรัสเพียงพอ ต้นมะพร้าวอาจอ่อนแอ แคระแกร็น การเจริญเติบโตและผลผลิตลดลง

โพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นอันดับสามสำหรับต้นมะพร้าว มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่สำคัญหลายอย่างของพืช รวมถึงการควบคุมการดูดซึมน้ำและสารอาหาร การสังเคราะห์โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และการควบคุมปฏิกิริยาของเอนไซม์ โพแทสเซียมยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาลำต้นที่แข็งแรงและการผลิตผลไม้คุณภาพสูง หากไม่มีโปแตสเซียมเพียงพอ ต้นมะพร้าวอาจมีลำต้นอ่อนแอและให้ผลผลิตลดลง

โดยสรุปแล้ว ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของต้นมะพร้าวที่แข็งแรงและการผลิตมะพร้าวคุณภาพสูง การดูแลให้สวนมะพร้าวสามารถเข้าถึงสารอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จของการปลูก

สนใจปุ๋ย FK1 และ FK-3 ช่องทางสั่งซื้อ

ลาซาด้า

FK-1 บนลาซาด้า http://ไปที่..link..

FK-3 บนลาซาด้า http://ไปที่..link..

ช้อปปี้

FK-1 บนช้อปปี้ http://ไปที่..link..

FK-3 บนช้อปปี้ http://ไปที่..link..

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3409
ปุ๋ยปาล์ม FK-1 และ FK-3 เพิ่มผลผลิตปาล์ม ด้วยการฉีดพ่น ด้วยธาตุอาหารที่ครบถ้วน
ปุ๋ยปาล์ม FK-1 และ FK-3 เพิ่มผลผลิตปาล์ม ด้วยการฉีดพ่น ด้วยธาตุอาหารที่ครบถ้วน
ปุ๋ยปาล์ม FK-1 และ FK-3 เพิ่มผลผลิตปาล์ม ด้วยการฉีดพ่น ด้วยธาตุอาหารที่ครบถ้วน
ปุ๋ย FK-1 ส่งเสริมการเจริญเติบโต ให้ต้นปาล์มโตไว เขียวแข็งแรง ต้านทานต่อโรค ปุ๋ย FK-3 ให้ธาตุอาหารพืชครบถ้วน และเน้นเป็นพิเศษที่ธาตุโพแทสเซียม ทำให้ปาล์มผลดก น้ำหนักดี มีคุณภาพ ทั้งสอง ประกอบด้วย ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแตสเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และ สารลดแรงตึงผิว ซึ่งมีรายละเอียดการทำงาน เพื่อส่งเสริมผลผลิตปาล์มสูงสุด ดังนี้

แมกนีเซียม สังกะสี และสารลดแรงตึงผิวมีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตและสุขภาพของสวนปาล์มน้ำมัน

แมกนีเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับพืช เนื่องจากมีส่วนในกระบวนการทางสรีรวิทยาต่างๆ เช่น การสังเคราะห์ด้วยแสง การกระตุ้นเอนไซม์ และการสร้างคลอโรฟิลล์ การขาดแมกนีเซียมอาจทำให้ต้นปาล์มน้ำมันเจริญเติบโตช้าและให้ผลผลิตลดลง

สังกะสีเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับพืชอีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากสังกะสีมีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์ฮอร์โมนและเอ็นไซม์ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการควบคุมการเจริญเติบโตของรากและการดูดซึมสารอาหารอื่นๆ การขาดธาตุสังกะสีอาจส่งผลให้การเจริญเติบโตทางใบผิดปกติและผลผลิตของต้นปาล์มน้ำมันลดลง

สารลดแรงตึงผิวหรือที่เรียกว่าสารออกฤทธิ์ต่อพื้นผิวเป็นสารประกอบทางเคมีที่ช่วยลดแรงตึงผิวของของเหลว ในสวนปาล์มน้ำมัน สารลดแรงตึงผิวถูกใช้เพื่อปรับปรุงการแทรกซึมและประสิทธิภาพของ ปุ๋ย สารกำจัดวัชพืชและยาฆ่าแมลง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร ทั้งทางใบและรากของพืช

โดยสรุปแล้ว แมกนีเซียม สังกะสี และสารลดแรงตึงผิวมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพของสวนปาล์มน้ำมัน มีบทบาทในกระบวนการทางสรีรวิทยาต่างๆ และสามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของสารกำจัดวัชพืชและสารกำจัดศัตรูพืช รวมทั้งเพิ่มการดูดซึมสารอาหารโดยใบและรากของพืช

ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการเจริญเติบโตของพืช และสวนปาล์มก็เช่นกัน ธาตุทั้งสามนี้เรียกกันทั่วไปว่า NPK เป็นธาตุอาหารหลักที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของต้นปาล์ม

ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นสารสีที่ช่วยให้พืชเปลี่ยนแสงแดดเป็นพลังงานผ่านการสังเคราะห์ด้วยแสง หากไม่มีไนโตรเจนเพียงพอ ต้นปาล์มจะแคระแกร็นและใบเหลือง ไนโตรเจนยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาของรากที่แข็งแรงและสำหรับการผลิตโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของใบและยอดใหม่

ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสำหรับต้นปาล์ม มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตและการพัฒนาของราก เช่นเดียวกับในการผลิตดอกไม้และผลไม้ หากไม่มีฟอสฟอรัสเพียงพอ ต้นปาล์มอาจมีการเจริญเติบโตของรากไม่ดี ซึ่งอาจทำให้การเจริญเติบโตและผลผลิตลดลง

โพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับสุขภาพโดยรวมและความมีชีวิตชีวาของต้นปาล์ม ช่วยให้พืชใช้น้ำและสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีส่วนร่วมในกระบวนการสำคัญต่างๆ รวมถึงการควบคุมการเจริญเติบโตและการสังเคราะห์โปรตีน โพแทสเซียมยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาของลำต้นที่แข็งแรงและสำหรับการผลิตผลไม้

เพื่อให้สวนปาล์มเจริญเติบโตได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับ NPK ในระดับที่เพียงพอ สิ่งนี้สามารถทำได้โดยการใช้ปุ๋ยซึ่งใช้กับดินเพื่อให้สารอาหารที่จำเป็น การใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตและผลผลิตในสวนปาล์มได้สูงสุด และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพในระยะยาวและผลผลิตของต้นไม้ที่มีค่าเหล่านี้

สนใจช่องทางสั่งซื้อ

ลาซาด้า

FK-1 บนลาซาด้า http://ไปที่..link..

FK-3 บนลาซาด้า http://ไปที่..link..

ช้อปปี้

FK-1 บนช้อปปี้ http://ไปที่..link..

FK-3 บนช้อปปี้ http://ไปที่..link..

โทร 090-592-8614

ไลน์ไอดี @FarmKaset
อ่าน:3398
ตรวจสอบได้อย่างไร? ผลิตภัณฑ์กัญชา ที่เป็น กัญชาถูกกฎหมาย
ตรวจสอบได้อย่างไร? ผลิตภัณฑ์กัญชา ที่เป็น กัญชาถูกกฎหมาย
ตรวจสอบได้อย่างไร? ผลิตภัณฑ์กัญชา ที่เป็น กัญชาถูกกฎหมาย
เมื่อ กัญชา และ กัญชง ถูกปลดล็อคออกจากทะเบียนยาเสพติด จากนี้ไปเราน่าจะเห็นผลิตที่มาจากกัญชาหลากหลายชนิด

แม้ในวันนี้ผู้ปลูกกัญชาจะไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องจดแจ้งผ่านระบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ปลูกกัญ ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ถึงเช่นนั้น สำหรับผู้ที่ต้องการผลิต ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากกัญชาและกัญชง ก็ยังต้องมีการขออนุญาตขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรกัญชา ที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบอยู่เช่นเดิม

สำหรับผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ก็ย้ำเตือนว่า ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาที่ลักลอบผลิตหรือนำเข้าเนื่องจากมีความเสี่ยงอันตรายด้านสุขภาพ และการได้รับกัญชาจากแหล่งที่ผิดกฎหมายอาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ดังนั้นจึงควร ตรวจสอบผลิตภัณฑ์กัญชา ที่จะใช้ก่อน

ทั้งนี้เพราะผลิตภัณฑ์กัญชาที่ลักลอบผลิตหรือนำเข้าส่วนใหญ่ไม่ทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ไม่ได้ระบุสถานที่ผลิต ไม่ได้ระบุความเข้มข้นหรือปริมาณสารออกฤทธิ์ที่ชัดเจน การผลิตไม่เป็นไปตามหลักการผลิตที่ดี ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ อีกทั้งอาจปนเปื้อนสารกำจัดศัตรูพืช โลหะหนัก เชื้อรา จุลินทรีย์ หรือสารปนเปื้อนอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ ซึ่งแตกต่างจากผลิตภัณฑ์กัญชาที่ถูกกฎหมายซึ่งมีมาตรฐานการผลิตเป็นไปตามข้อกำหนดที่เข้มงวด และมีความสม่ำเสมอในทุกรุ่นการผลิต

วิธีตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์กัญชา
ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตและจำหน่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย จะมี 2D Barcode กำกับบนฉลากที่ติดอยู่บนภาชนะบรรจุ และมีรหัสบ่งชี้ที่เป็นหมายเลขของแต่ละหน่วยภาชนะบรรจุที่ไม่ซ้ำกันเลยเรียกว่า Serial Number

ผู้ป่วยสามารถตรวจสอบได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตถูกกฎหมายหรือไม่ โดยการสแกน 2D Barcode ผ่านทาง Smartphone โดย ดาวน์โหลด แอพพลิเคชั่น gs1 smartbar ทั้งระบบ IOS และ Androids ซึ่งหากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายระบบจะแสดงรูปภาพและข้อมูลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ หากเป็นผลิตภัณฑ์ไม่ถูกต้องตาม กฎหมาย ระบบจะแสดงข้อมูลเป็นสีแดง กรุณาแจ้งสำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยาเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

แนะใช้ กัญชาทางการแพทย์
นอกจากนี้ เฟสบุ๊คกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยังให้คำแนะนำในการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์เพื่อความปอลดภัยของผู้ป่วยได้แก่

1.รักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์ก่อน

2.ไม่ใช้หากอายุน้อย แนะนำอายุมากกว่า 25 ปี

3.ใช้กัญชาอัตราส่วน CBD: THC สูง

4.ไม่ใช้กัญชาสังเคราะห์

5.ไม่ใช้การสูบแบบเผาไหม้

6.หากสูบ ไม่อัดควันเข้าปอด

7.ใช้อย่างระวัง

8.งดขับรถ

9.งดใช้ หากในครอบครัวมีประวัติจิตเวช

10. หลีกเลี่ยงการใช้ หากมีปัจจัยเสี่ยง


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
การทำธุรกิจขายปุ๋ย จะขายปุ๋ยได้ต้องทำอะไรบ้าง กฏการขายปุ๋ย
การทำธุรกิจขายปุ๋ย จะขายปุ๋ยได้ต้องทำอะไรบ้าง กฏการขายปุ๋ย
อยากจะเปิดร้านขายปุ๋ย ยาและเมล็ดพันธ์ ผู้ประกอบการร้านค้าทุกราย ต้องมีใบอนุญาตของกรมวิชาการเกษตรในการขายสารเคมี ปุ๋ยเคมี และพันธุ์พืช จะต้องทำอย่างไรบ้าง วันนี้มีบทความการดำเนินการสำหรับธุรกิจขายปุ๋ยมาฝากค่ะ

การเปิดร้านขายปุ๋ย ยา และเมล็ดพันธุ์พืช ต้องดำเนินการดังนี้
1. ไปจดทะเบียนการค้าร้านค้าของคุณที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ
2. นำสำเนาหลักฐานการจดทะเบียนร้านค้าที่ต้องการจำหน่ายปุ๋ย ยา เมล็ดพันธุ์พืช พร้อมด้วยสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านที่เป็นร้านค้าของคุณไปที่หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร ที่ดูแลพื้นที่ของคุณเพื่อขอใบอนุญาต
3. การจำหน่ายปุ๋ย สามารถดำเนินการอนุญาติได้เลย โดยเสียค่าธรรมเนียม 100 บาท
4. การจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืช สามารถดำเนินการได้เลย โดยเสียค่าธรรมเนียม 100 บาท
5. การจำหน่ายยาป้องกันกำจัดศัตรูพืชผู้ขาย ต้องได้รับการอบรมจากกรมวิชาการเกษตรและเมื่อผ่านการอบรมแล้วจึงจะนำใบ ประกาศนียบัตรมาขอใบอนุญาตขายวัตถุอันตรายทางการเกษตร โดยเสียค่าธรรมเนียม 500 บาท
6. อายุใบอนุญาตมีเวลา 1 ปี ถ้าจะขายต่อต้องมาต่อใบอนุญาตตามกำหนด
สอบถามเพิ่มดเติมได้ที่กรมวิชาการเกษตร โทร 02 5795016 - 7 และที่ 02 9406670

จะเห็นได้ว่า ธุรกิจการเกษตร ซึ่งเป็นธุรกิจที่อยุ่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ ภาครัฐ จึงส่งเสริม ในการทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตร เพราะเป็นสินค้าที่ ส่งออกสำคัญของประเทศ และ สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก รัฐบาล จึงได้จัดตั้ง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) SMEs เพื่อให้บริการและประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับธุรกิจขนาดย่อม ทางบริษัท เอ็ม.ดี ซอฟต์ มีบริการติดตั้งระบบ OpenERP_ บริการพัฒนา Module OpenERP รวมไปถึงการจัดอบรมการใช้งาน Odoo9 เบื้องต้น สำหรับการนำไปใช้งาน ERP ในองค์กร ท่านสามารถที่จะลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมอบรมได้ที่ ลงทะเบียนอบรม Odoo9 ค่ะ หากสนใจสามารถที่จะสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการได้ที่ สอบถามข้อมูลบริการ ได้ค่ะ


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
ทำไมต้อง เกษตรอินทรีย์ ?
ทำไมต้อง เกษตรอินทรีย์ ?
เกษตรกรและการเกษตรกรรม เป็นอาชีพที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างช้านานจนกลายเป็นรากฐานของสังคมไทย การปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ เป็นการผลิตของคนส่วนใหญ่ วิถีชีวิตของคนเพาะปลูกและทำอาชีพเกษตรกรจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเสริมสร้างสังคม วัฒนธรรม การปกครอง การกินอยู่ ความคิด ความเชื่อ ตลอดจนการแสดงออกต่าง ๆ ของคนในประเทศและรวมไปถึงเรื่องของการค้า เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ ดังนั้นเราจึงต้องดูแลให้อาชีพเกษตรกรอยู่ได้อย่างมีความสุขและมั่นคงในอาชีพของเขา


และในยุคสมัยที่เทคโนโลยี นวัตกรรมและสิ่งต่าง ๆ เข้ามามีอิทธิพลและบทบาทในการทำอาชีพของเกษตรกร ไปจนถึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงานไป เช่น จากการใช้ควายไถนา เปลี่ยนมาใช้เครื่องจักร_ การใช้ปุ๋ยและสารเคมี_ การใช้เทคโนโลยีควบคุมการปล่อยน้ำและอื่น ๆ อีกมาก ก็ยิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมสร้าง พัฒนาและเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นให้วงการเกษตรก้าวไกลให้ทันโลกและนำมาประยุกต์ใช้ในวงการเกษตรของไทยให้ได้ แต่เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยแม้จะอำนวยความสะดวก แต่ด้วยปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ทั้งเรื่องที่ดิน_ ต้นทุนการผลิตที่มากขึ้น_ ภัยพิบัติ_ ภาวะเศรษฐกิจ และอื่น ๆ ก็ทำให้ภาคการเกษตรนั้นมีแนวโน้มที่จะอยู่อย่างลำบากมากขึ้น จนเกษตรกรที่เป็นอาชีพหลักนั้นอยู่อย่างลำบาก และมีแนวโน้มที่จะมีหนี้สินมากยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือสวก. จึงเป็นหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการวิจัยการเกษตร เพื่อเกษตรไทยอยู่ได้อย่างเข้มแข็งอย่างมั่นคง ยั่งยืนและผลักดันให้วงการเกษตรก้าวไกลให้ทันยุคสมัย โดยทางสวก. นั้นมีผลงานและงานวิจัยมากมายที่ได้ให้การสนับสนุนแก่นักวิจัย เกษตรกรและผู้ที่สนใจ ตั้งแต่โครงการอบรม การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย_ การให้ทุนการวัยวิจัยในหัวข้อต่าง ๆ ที่กำหนด_ การผลักดันเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer_ การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ_ การวิจัยพืชพันธุ์ใหม่ หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตการเกษตรต่าง ๆ และมีผลงานอีกมากมายที่สวก. พยายามผลักดันและสนับสนุนให้การเกษตรก้าวไกลและอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง

และเพื่อให้เกษตรกรไทยอยู่ได้อย่างเข้มแข็งจริง สวก. จึงมีวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ ยุทธศาสตร์ ค่านิยมและพันธกิจต่าง ๆ เกษตรอินทรีย์ คือ อะไร และทำไมต้องเกษตรอินทรีย์?

หลายท่านเคยสงสัยหรือมีคำถาม ว่าเกษตรอินทรีย์คืออะไร ทำไมเดี๋ยวนี้ เราไปเลือกซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้า สินค้าหรือวัตถุดิบต่างๆ มักจะมีฉลากระบุที่ข้างกล่องหรือภาชนะ ว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับการทำเกษตรอินทรีย์ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

เกษตรอินทรีย์

คือการทำการเกษตรด้วยกรรมวิธีทางธรรมชาติ โดยที่พื้นที่ที่ทำเกษตรนั้น ต้องไม่มีสารพิษ หรือสารเคมีตกค้างและหลีกเลี่ยงจากการปนเปื้อนของสารเคมีทั้งทางดิน ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อความสมบูรณ์ทางชีวภาพในระบบนิเวศน์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามสมดุลของธรรมชาติให้มากที่สุด โดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ หรือสิ่งที่ได้มาจากการตัดต่อพันธุกรรม และมุ่งเน้นการใช้ปัจจัยการผลิตที่มีแผนการจัดการอย่างเป็นระบบในการผลิตภายใต้มาตรฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์ให้ได้ผลผลิตสูง อุดมด้วยคุณค่าทางอาหารและปลอดสารพิษ ทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิต และสามารถประยุกต์ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเพื่อคุณภาพชีวิต และสนับสนุนแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง

ทำไมต้องเกษตรอินทรีย์

จากการใช้ทรัพยากรดินทำการเกษตรโดยไม่คำนึงถึงผลเสียของ ปุ๋ยเคมีสังเคราะห์ ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในแร่ธาตุและกายภาพของดินตามธรรมชาติ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในดินนั้นสูญหาย และไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งการที่ธรรมชาติขาดสมดุลนี้ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ต่อกระบวนการเจริญเติบโตทางธรรมชาติ แต่เมื่อเกิดความไม่สมดุลขึ้นแล้ว จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ผืนดินสูญเสียความสามารถในการดูดซับแร่ธาตุในดิน ทำให้ผลผลิตมีแร่ธาตุ วิตามิน และพลังงานชีวิตต่ำ เป็นผลให้เกิดการขาดแคลนธาตุอาหารรองในพืช เป็นสาเหตที่ทำให้พืช ผลผลิตอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานโรค และทำให้เกิดการคุกคามของแมลง ศัตรูพืช และเชื้อโรคในพืช ซึ่งจะนำไปสู่การใช้สารเคมีฆ่าแมลงและเชื้อราเพิ่มขึ้น ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพในที่สุด และในดินที่เสื่อมคุณภาพนี้ จะทำปฏิกิริยาเร่งการเจริญเติบโตของศัตรูพืชให้เจริญเติบโตแข่งกับพืชเกษตร และนำไปสู่การใช้สารเคมีสังเคราะห์กำจัดแมลงและวัชพืช

เป็นเกษตรอินทรีย์ได้อย่างไร

การเกษตรปัจจุบัน สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรอินทรีย์ได้โดยเริ่มต้นศึกษาหาความรู้จากมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ถูกกำหนดขึ้น ซึ่งเกษตรกรควรเริ่มต้นด้วยความสนใจ โดยศึกษาหาความรู้จากธรรมชาติ และเมื่อเริ่มปฏิบัติตามนี้แล้วก็นับได้ว่าก้าวเข้าสู่การทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ในระยะปรับเปลี่ยนเรียนรู้ และเมื่อได้ลงมือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ไม่นานก็จะสามารถเป็นเกษตรอินทรีย์ได้ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับประเภทของการทำเกษตรอินทรีย์ที่จะผลิตขึ้นนั้น ซึ่งได้ถูกกำหนดไว้ในมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แล้ว และหลักการสำคัญ คือการทำความเข้าใจเกษตรอินทรีย์ และมีความตั้งใจจริง มีความขยันหมั่นเพียร โดยไม่ท้อถอยต่อปัญหาหรืออุปสรรค จะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์และประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เพราะเกษตรอิทรีย์เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้จริง แล้วเกษตรกรเองก็สามารถขอรับการผ่านรับรองมาตรฐานจากภาครัฐจึงจะนับได้ว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ที่สมบูรณ์พร้อม

หลักการผลิตพืชอินทรีย์

1. พื้นที่ที่จะทำการเกษตรนั้นต้องไม่เคยทำการเกษตรเคมีมาไม่น้อยกว่า 3 ปี

2. พื้นที่ควรมีลักษณะค่อนข้างดอนและโล่งแจ้ง

3. พื้นที่ต้องอยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม

4. พื้นที่ควรอยู่ห่างจากแปลงที่ใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี

5. พื้นที่ห่างจากถนนหลวงหลัก

6. พื้นที่มีแหล่งน้ำที่ปลอดสารพิษ

มาตรฐานของเกษตรอินทรีย์

มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ คือเกณฑ์ข้อกำหนดที่เกษตรกรผู้ผลิตจะต้องปฏิบัติตาม และหน่วยงานรับรองจะใช้เป็นเกณฑ์ในการตรวจประเมินการผลิต และตัดสินใจในการรับรองฟาร์มที่ได้ปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานนั้นๆ

ปกติในการกำหนดมาตรฐานโดยส่วนใหญ่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกษตรอินทรีย์กลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้ค้า ผู้บริโภค รวมทั้งนักสิ่งแวดล้อม และนักวิชาการด้านต่างๆ จะมีส่วนร่วมในการให้ความคิดเห็น และตัดสินใจในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานในแต่ละข้อ ความคาดหวังหรือการให้คุณค่ากับการปฏิบัติเกษตรอินทรีย์ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ละส่วนจะถูกตรวจสอบ และยอมรับหรือปฏิเสธโดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ผลิตและผู้ประกอบการ เพราะผู้ผลิตและผู้ประกอบการจะเป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อกำหนดเหล่านั้น ดังนั้น มาตรฐานจึงเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นกระบวนการแปลความคาดหวังและคุณค่าของเกษตรอินทรีย์ให้เป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ ดังนั้น ข้อตกลงในมาตรฐานจึงเปรียบเหมือนเป็น “สัญญาประชาคม” ระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทำให้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ มีสถานะเสมือนหนึ่งเป็น “คำนิยาม” ของเกษตรอินทรีย์ไปพร้อมกันด้วย

จะเห็นได้ว่า มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เป็นภาพสะท้อนของสภาวการณ์การผลิตและการแปรรูปผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ที่เกษตรกรได้พัฒนายกระดับความสามารถในการทำการผลิตและแปรรูปให้ก้าวรุดหน้ามากขึ้น ดังนั้น มาตรฐานเกษตรอินทรีย์จึงไม่ใช่มาตรฐานที่หยุดนิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นสภาพการณ์ที่ยังสามารถมีการแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวการณ์ของการผลิตเกษตรอินทรีย์ ที่นับวันมีแต่จะก้าวรุดหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ

ในที่นี้ จะขอกล่าวถึงข้อกำหนดโดยสรุปของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในบางเรื่องที่สำคัญ

1) ระบบนิเวศการเกษตร

ระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์ต้องเอื้ออำนวยต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้ม ซึ่งผู้ผลิตจะต้องดำเนินการในการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและสภาพนิเวศท้องถิ่นดั้งเดิมไว้ เพื่อให้พืชพรรณและสัตว์ท้องถิ่นสามารถมีที่อยู่อาศัยได้อย่างเพียงพอ นอกเหนือจากการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว เกษตรอินทรีย์ยังจำเป็นต้องมีมาตรการในการอนุรักษ์ดินและน้ำอย่างจริงจังอีกด้วย

2) การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์

การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ควรเริ่มจากการมีแผนการปรับเปลี่ยนที่ชัดเจน โดยแผนการปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดของมาตรฐาน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนฟาร์มทั้งหมดเข้าสู่เกษตรอินทรีย์พร้อมกัน หรือค่อยๆ ปรับเปลี่ยนบางส่วนของฟาร์มเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ก็ได้ แต่ทั้งนี้ แผนการปรับเปลี่ยนจะต้องระบุถึงขั้นตอนและระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนฟาร์มทั้งหมดเข้าสู่เกษตรอินทรีย์ รวมทั้งการจัดแยกระบบการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์และไม่ใช่เกษตรอินทรีย์ออกจากกัน ซึ่งในแต่ละมาตรฐานอาจกำหนดระยะเวลาของการปรับเปลี่ยนแตกต่างกันไป ซึ่งในช่วงระยะปรับเปลี่ยนนี้อาจใช้เวลา 12 – 36 เดือนขึ้นอยู่กับมาตรฐาน

3) การผลิตพืช

ในระบบการปลูกพืช ควรเลือกปลูกพืชที่หลากหลายชนิดและพันธุ์ เพื่อสร้างเสถียรภาพและความยั่งยืนของนิเวศฟาร์ม นอกจากนี้ การปลูกพืชหลากหลายพันธุ์ ยังเป็นการช่วยรักษาความหลากหลายของพันธุกรรมพืชไว้ด้วย ในการสร้างความหลากหลายของการปลูกพืชนี้ ควรมีการปลูกพืชหมุนเวียน โดยมีพืชที่เป็นปุ๋ยพืชสดรวมอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชตระกูลถั่วและพืชที่มีระบบรากลึก โดยจัดระบบการปลูกพืชให้มีพืชคลุมดินอยู่ตลอดทั้งปี

4) การจัดการดิน และธาตุอาหาร

การจัดการดินที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบเกษตรอินทรีย์ การปรับปรุงดินและการบริหารจัดการดินและธาตุอาหาร มีเป้าหมายเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งรวมถึงการจัดการให้มีธาตุอาหารอย่างเพียงพอกับพืชที่เพาะปลูก และเพิ่มพูนอินทรียวัตถุให้กับดินอย่างต่อเนื่อง โดยการสร้างกลไกของการหมุนเวียนธาตุอาหารในฟาร์ม รวมทั้งการป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน และการสูญเสียของธาตุอาหาร ซึ่งการจัดหาแหล่งธาตุอาหารพืชนั้นควรเน้นที่ธาตุอาหารที่ผลิตขึ้นได้ภายในระบบฟาร์ม

5) การป้องกันกำจัดศัตรูพืช

ในระดับฟาร์ม การป้องกันกำจัดศัตรูพืชในระบบเกษตรอินทรีย์จะเน้นที่การเขตกรรม การจัดการศัตรูพืชโดยชีววิธี และวิธีกลเป็นหลัก ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างสมดุลของระบบนิเวศการเกษตร ที่ทำให้พืชที่เพาะปลูกพัฒนาภูมิต้านทานโรคและแมลง และสภาพแวดล้อมของฟาร์มไม่เอื้ออำนวยต่อการระบาดของโรคและแมลง ต่อเมื่อการป้องกันไม่เพียงพอ เกษตรกรจึงอาจใช้ปัจจัยการผลิตสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืช ซึ่งกำหนดอนุญาตไว้ในมาตรฐาน

6) การป้องกันมลพิษ การปนเปื้อน และการปะปน

ในระดับฟาร์ม เกษตรกรผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์จะต้องมีมาตรการในการป้องกันมิให้ดินและผลผลิตเกษตรอินทรีย์ปนเปื้อนจากมลพิษ และสารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตร ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในระบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งรวมถึงโลหะหนัก และมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชน รวมทั้งมีมาตรการในการลดการปนเปื้อน

มาตรฐานเกษตรอินทรีย์แต่ละแห่งจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการแนวกันชน (buffer zone) ที่แตกต่างกัน โดยอาจมีการกำหนดทั้งระยะห่างระหว่างแปลงเกษตรอินทรีย์กับแปลงเกษตรเคมี หรือการปลูกพืช หรือการจัดทำสิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นแนวป้องกันการปนเปื้อน ในพื้นที่แนวกันชนที่แตกต่างกันได้ โดยทั่วไป จะมีการกำหนดเกณฑ์แนวกันชนขั้นต่ำไว้ในมาตรฐาน ซึ่งหน่วยงานรับรองอาจจะพิจารณาให้เกษตรกรต้องมีการจัดการแนวกันชนเพิ่มเติมจากข้อกำหนดขั้นต่ำ โดยการพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงของฟาร์มแต่ละแห่ง

ในขั้นของการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวและการแปรรูป ผู้ผลิต-ผู้ประกอบการจะต้องมีการจัดการผลผลิตเกษตรอินทรีย์ โดยป้องกันมิให้วัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ปะปนกันกับวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ หรือสัมผัสกับปัจจัยการผลิต หรือสารต้องห้ามต่างๆ ที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน เพราะจะทำให้วัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์นั้นสูญเสียสถานะของการได้รับการรับรองมาตรฐานได้ ยกตัวอย่างเช่น การไม่ใช้กระสอบที่บรรจุปุ๋ยเคมี หรือสารเคมีมาใช้บรรจุผลผลิตเกษตรอินทรีย์ หรือในการจัดเก็บผลผลิตเกษตรอินทรีย์ในโรงเก็บ จะต้องไม่มีการใช้สารกำจัดศัตรูในโรงเก็บ ในขณะที่มีการเก็บผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ขนส่งผลผลิตเกษตรอินทรีย์

ที่จำต้องทำให้สำเร็จให้ได้ เพื่อพี่น้องชาวเกษตรกรและคนไทยทุกคน โดยทั้งหมดนั้นต่างก็สอดคล้องและรับเข้ากับสถานการณ์ในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ แนวนโยบาย ทิศทางยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์การวิจัยด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาของประเทศ การปฏิรูประบบวิทยาศาตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานนวัตกรรมของประเทศ ดังเช่นพันธกิจของสวก. ที่จะส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาการวิจัยการเกษตร_ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยการเกษตร สุดท้าย ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาข้อมูลสารสนเทศด้านการวิจัยการเกษตร

โดยจากที่กล่าวมาจะยกตัวอย่างของการวิจัยที่ทางสวก. สามารถให้การสนับสนุนและเป็นเรื่องของนวัตกรรมที่สามารถเรียกว่าเป็น Smart farmer ในยุค 4.0 และเป็นต้นแบบของการผลักดันให้เกษตรก้าวไกลไปได้อย่างยั่งยืนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การวิจัยพืชพันธุ์ใหม่_ การนำเทคโนโลยี A.I. () มาประยุกต์ใช้งาน_ การใช้ระบบ IOT (Internet of things)_ การใช้โดรนขับเคลื่อน_ นวัตกรรมการปลุกพืชแบบใหม่_ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ไปสู่อุตสาหกรรมอื่น และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งตัวอย่างที่จะยกมาในบทความนี้ที่เป็นหนึ่งใน Smart Farmer ในยุค 4.0 ที่น่าสนใจ สิ่งนั้นคือ “อุตสาหกรรมการแปรรูป”

อุตสาหกรรมการแปรรูป เป็นสิ่งที่มีมานานและถูกพัฒนา วิจัยและเพิ่มพูนความสามารถมาอยู่ในทุกยุคทุกสมัย และการเกษตรกับการแปรรูปก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาเช่นเดียวกัน โดยในยุค 4.0 นี้ มีความน่าสนใจที่วงการอุตสาหกรรมแปรรูปจะช่วยพาให้เกษตรก้าวไกลไปได้มากกว่าแค่ผลิตผลทางการเกษตรธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น “การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม” เพื่อให้การเกษตรเข้าไปอยู่ในชีวิตของคนยุคใหม่ โดยเราอาจจะได้เห็นมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ รุ่นย่า ผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เรานำสมุนไพรต่าง ๆ มาเป็นเครื่องบำรุงผิวพรรณ ซึ่งในยุคปัจจุบันก็ไม่ต่างกัน อุตสาหกรรมความสวยความงามได้นำผลผลิตทางการเกษตรมาวิจัย พัฒนาและต่อยอด เพื่อตอบโจทย์ Beauty Lifestyle ของคนยุคใหม่ ผ่านเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด รวมถึงสารสกัดเรื่องกลิ่นที่มาเป็นส่วนประกอบของสุคนธบำบัด (Aromatherapy) นอกจากสารสกัดจากธรรมชาติจะส่งผลดีต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลด้านวิทยาให้ผู้บริโภคสนใจและเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์อีกเช่นกัน ซึ่งปัจจัยที่จะเพิ่มมูลค่าให้การทำธุรกิจด้านนี้ คือการเกาะตามติดความต้องการของตลาดผู้บริโภคและนำมาพัฒนาให้ตอบโจทย์อยู่ตลอดเวลา

หรือจะเป็นเรื่องของ “การแปรรูปผลิตภัณฑืเพื่อผู้สูงอายุ” เพราะประเทศไทยของเราเองกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ (Aging Society) อันเนื่องมาจากประชาชนยุค Baby Boom ได้เข้าใกล้สู่ช่วงอายุความสูงวัย คาดการณ์ว่าในปี 2564 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุวัยมากกว่า 60 ปี (เกิน 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ) ดังนั้นสินค้าเพื่อสุขภาพจึงถูกผลิตขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ในด้านของความใส่ใจในการดูแลสุขภาพของคนในสังคมและผู้สูงอายุ โดยกลุ่มสินค้าที่ได้รับความสนใจนั้น ได้แก่พืชผลเกษตรที่ให้คุณค่าทดแทนแป้งและน้ำตาล อาหารเสริมผลิตจากผลผลิตทางการเกษตร เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคของผู้สูงอายุ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือแม้แต่ภาวะทุพโภชนาการ โดยสิ่งเหล่านี้ได้มีการผลิตออกมาวางจำหน่ายทั่วไปแล้ว ยกตัวอย่าง ธัญพืชอัดแท่ง เครื่องดื่มสมูทตี้สําเร็จรูปที่ให้สารอาหารสมบูรณ์สําหรับผู้สูงอายุ ผักอัดเม็ดเสริมโพรไบโอติกส์ น้ำนมข้าวกล้อง เครื่องปรุงรสอาหารที่เน้นการลดโซเดียม เป็นต้น

สุดท้ายนี้ยังมีการแปรรูปอีกหลากหลายมากมาย และมีอีกหลายหัวข้อที่ทางสวก. พร้อมที่จะให้การสนับสนุน เพราะในปัจจุบันหลากหลายประเทศเริ่มมีการพัฒนา หรือนำหน้าเราไปแล้วในเรื่องของการเกษตร เราจึงต้องรีบนำนวัตกรรมเกษตรและเกษตรกรให้เข้าสู่ยุค Smart Farming เพื่อแก้ปัญหาภาวะสังคมเมืองและประชากรโลกที่ขยายตัว ณ จุดนี้ ประเทศไทยเองก็มีหน่วยงานที่คอยพัฒนาและสนับสนุน อย่าง สวก. สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์กรมหาชน) คอยช่วยให้อุตสาหกรรมเกษตร และบุคคลากรทางการเกษตรของประเทศไทยพัฒนาเพื่อผลักดันให้การเกษตรก้าวไกล และไม่แพ้การเกษตรของชาติใดบนโลก

ข้อมูลจาก http://www.farmkaset..link..
อ่าน:3405
โรคลิ้นจี่ และการป้องกันกำจัด
โรคลิ้นจี่ และการป้องกันกำจัด
โรคใบจุดสนิม หรือจุดสาหร่าย สาเหตุ สาหร่ายเซฟาลิวโรส ( Cephaleuros virescens)

ลักษณะอาการ เกิดบนใบแก่ลิ้นจี่ แผลเริ่มแรกเป็นจุดขุยสีเทาอมเขียวฟูเล็กน้อย เกิดกระจัดกระจายบนใบ ต่อมาจุดจะขยายออกและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมส้มหรือสีสนิม ลักษณะค่อนข้างกลมขนาด 3-5 มิลลิเมตร ระยะต่อมาจุดจะแห้งและทำให้เนื้อเยื่อใบทั้งด้านบนและใต้ใบบริเวณแผลมีลักษณะสีน้ำตาลดำ ในที่สุดใบที่เป็นโรคจะมีสีซีดเหลืองปนน้ำตาลและใบร่วง

การแพร่ระบาด
สาหร่ายแพร่ระบาดไปกับลมและพายุฝน เข้าทำลายในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง พืชอาศัยของสาหร่ายชนิดนี้มีหลายชนิดเช่น มะม่วง ลำไย เงาะ ฝรั่ง ส้ม ทุเรียน และไม้ผลอื่น ๆ

การป้องกันกำจัด
ตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง และพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์

โรคราสนิม

สาเหตุ เชื้อราสเกอกา (Skierka nephelii)

ลักษณะอาการ ใบลิ้นจี่ที่แก่บริเวณใต้ทรงพุ่ม แสดงอาการเป็นจุดนูนขนาดเล็กมากสีเหลือง เกิดกระจัด กระจายทางด้านใต้ใบ และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในระยะต่อมา

การแพร่ระบาด สปอร์ของเชื้อราฟุ้งกระจายแพร่ระบาดไปกับลมและพายุ ในสภาพอากาศทางภาคเหนือ ของประเทศไทย

การป้องกันกำจัด ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง และพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชแมนโคเซบ เป็นโรคที่ยังไม่มี ความสำคัญทางเศรษฐกิจ

โรคลำต้นและกิ่งแห้ง

สาเหตุ ยังไม่ทราบสาเหตุ

ลักษณะอาการ พบเป็นกับลิ้นจี่หลายพันธุ์ อายุ 3-20 ปี ส่วนใหญ่เมื่อต้นลิ้นจี่มีอายุตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป เริ่มแรกแสดงอาการทรุดโทรมใบร่วงและปลายกิ่งแห้งเป็นบางกิ่งหรือทั้งต้น บริเวณโคน ลำกิ่งหรือลำต้น มีแผลลักษณะเป็นรอยแตก รูปร่างและขนาดไม่แน่นอน เมื่อเฉือนผิวเปลือกออก แผลมีอาการไหม้สีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลดำ การพัฒนาของโรคจะเป็นไปอย่างช้า ๆ กรณีต้นลิ้นจี่ที่มีอายุยังน้อยการพัฒนาการจะเป็นอย่างเฉียบพลัน ใบจะร่วงและกิ่งแห้งอย่างรวดเร็ว ในที่สุดต้นลิ้นจี่มีลักษณะยืนต้นตาย

การแพร่ระบาด พบเป็นกับต้นลิ้นจี่ตลอดทั้งปี

การป้องกันกำจัด ตัดแต่งกิ่งเป็นโรคนำไปเผาทำลาย แล้วบำรุงรักษาต้นให้สมบูรณ์แข็งแรง โดยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี และพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างสม่ำเสมอ

โรคราดำ

สาเหตุ เชื้อรา แคบโนเดียม และเมลิโอลา (Copnodium sp. และ Meliola sp.)

ลักษณะอาการ ใบ กิ่ง ช่อดอก และช่อผล มีลักษณะเป็นคราบเขม่าหรือฝุ่นผง มีสีดำ ขึ้นเจริญปกคลุมทำให้ชะงักการเจริญเติบโตและผิวของผลไม่สะอาด เมื่อถูกน้ำฝนชะล้างคราบเขม่าสีดำของเชื้อราจะหลุดไปเอง

การแพร่ระบาด เชื้อราดำแพร่ระบาดภายหลังแมลงพวกดูด เช่น เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้งเข้าทำลายต้นลิ้นจี่ แล้วขับถ่ายสารเหนียวเป็นละอองน้ำหวาน (honey dew) ลงบนพืช ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อราดำ

การป้องกันกำจัด ตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง ควบคุมการแพร่ระบาดของแมลงเพลี้ยหอย และเพลี้ยแป้ง และพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชอย่างสม่ำเสมอ

โรคเปลือกผลไหม้

สาเหตุ ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่ชัดเจน

ลักษณะอาการ โรคเปลือกผลไหม้ มี 2 ลักษณะ

- อาการไหม้บริเวณขั้วผล แผลมีลักษณะสีน้ำตาลอ่อนขอบแผลสีน้ำตาล รูปไข่และขนาดไม่แน่นอน ขนานไปตามความยาวผลพบในระยะที่ผลลิ้นจี่กำลังสร้างเนื้อผล (เปลือกสีเขียวปนเหลือง) ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลปนดำ บางครั้งแผลแตกปริเนื่องจากเนื้อผลขยายขนา

- อาการไหม้ทั่วไปบนผล แผลมีลักษณะสีน้ำตาลอ่อนจนถึง น้ำตาลปนดำบนผล ตำแหน่ง ขนาดและรูปร่างของแผล ไม่แน่นอน พบในระยะที่ผลลิ้นจี่กำลังสร้างเนื้อเป็นต้นไป แผลอาจแตกปริเนื่องจากเนื้อผลขยายขนาด

โรคผลแตก

สาเหตุ ลิ้นจี่ได้รับน้ำหรือธาตุอาหารไม่เพียงพอในระยะระหว่างที่ผลลิ้นจี่กำลังพัฒนา

ลักษณะอาการ เปลือกผลแตกตามความยาวของผลบริเวณก้นผลในระยะที่ผลลิ้นจี่กำลังสร้างเนื้อผลหุ้มเมล็ด และระยะที่เปลือกผลเริ่มเปลี่ยนสี ต่อมาเนื้อผลเน่าเนื่องจากมีจุลินทรีย์เข้าทำลายซ้ำเติม การแพร่ระบาด เป็นโรคที่ไม่ติดเชื้อไม่มีการแพร่ระบาด

การป้องกันกำจัด

1. ให้น้ำลิ้นจี่ทีละน้อยและสม่ำเสมอระหว่างที่ผลลิ้นจี่ กำลังพัฒนา

2. ให้ปุ๋ยธาตุอาหารรองอย่างสม่ำเสมอระหว่างที่ผลลิ้นจี่กำลังพัฒนา เช่น ธาตุแคลเซียม โบรอน สังกะสี ทองแดง และแมกนีเซียม นอกเหนือจากการให้ธาตุอาหารหลักได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม

3. พ่นสารป้องกันและกำจัดโรคแมลงศัตรูพืชโดยสม่ำเสมอ

โรคผลร่วง

สาเหตุเป็นผลมาจากการตายของคัภพะในระหว่างที่ใบเลี้ยงมีการพัฒนา เกิดในช่วงที่ผลลิ้นจี่มีอายุ ประมาณ30-50 วัน ภายหลังการผสมเกสร และบางครั้งอาจเกิดจากการทำลายของหนอนเจาะขั้วลิ้นจี่

ลักษณะอาการ ผลลิ้นจี่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ร่วง ผลลิ้นจี่บางส่วนอาจไม่ร่วงและมีการพัฒนาเจริญเติบโตไปจนแก่และสุก แต่ผลจะมีขนาดเล็กกว่าผลที่มีเมล็ดปกติ

การแพร่ระบาด สาเหตุที่เกิดจากการตายของคัภพะ ไม่ทำให้โรคแพร่ระบาด ปัจจัยที่เกิดจากหนอนเจาะขั้ว ลิ้นจี่ ดูรายละเอียดในแมลงศัตรูลิ้นจี่และการป้องกันกำจัด

การป้องกันกำจัด การตายของคัภพะไม่ทราบวิธีการป้องกันกำจัด ส่วนการป้องกันกำจัดหนอนเจาะขั้วลิ้นจี่ ดูในแมลงศัตรูลิ้นจี่และการป้องกันกำจัด

โรคราน้ำค้างเทียม หรือโรคผลไหม้สีน้ำตาล

สาเหตุ เชื้อราเพอร์โรโนไฟโธรา (Peronophythora litchii)

ลักษณะอาการ เกิดแผลสีน้ำตาลดำรูปร่างและขนาดไม่แน่นอน และขอบแผลมีลักษณะไม่ชัดเจนบนก้านผล ผล ใบ และรากลิ้นจี่ เชื้อราสร้างส่วนขยายพันธุ์สีขาวฟูบนแผลในช่วงระยะหลังของการติดเชื้อ เมื่อสภาพแวดล้อมชุ่มชื้นและมีฝนตก

การแพร่ระบาด เชื้อราฟักตัวข้ามฤดูถัดไป หรือเศษซากพืชที่ติดเชื้อ แล้วแพร่ระบาดไปกับน้ำฝน ลมพายุ แมลง และดินที่มีเชื้อในฤดูถัดไป สภาพอุณหภูมิที่ 22-25 0C และมีฝนตกชุกเกือบทุกวัน โรคจะลุกลามและแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง

การป้องกันกำจัด การป้องกันกำจัดโรคราน้ำค้างเทียม จะให้ผลดีถ้าใช้วิธีผสมผสานกันระหว่างวิธีการต่าง ๆ ดังนี้

1. ปลูกลิ้นจี่ให้มีระยะห่างที่พอเหมาะไม่ปลูกชิดเกินไป

2. ตัดแต่งกิ่งให้โปร่งเพื่อให้แสงแดดส่องถึงโคนต้น และกำจัดวัชพืชภายใต้ทรงพุ่ม แล้วขนย้ายกิ่งแห้ง และกิ่งที่ติดเชื้อออกไปจากแปลงแล้วเผาทำลาย

3 บำรุงรักษาต้นลิ้นจี่ให้เจริญเติบโตแข็งแรง โดยการใส่ปุ๋ย ให้น้ำในช่วงที่อากาศแห้งแล้งและพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชและสารฆ่าแมลงอย่างสม่ำเสมอ

4. หมั่นตรวจแปลงในฤดูหนาวเมื่อพบใบลิ้นจี่เป็นโรค ควรพ่นต้นลิ้นจี่และผิวดินบริเวณ โคนต้นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ กรณีที่พบโรคช่วงฤดูฝน ซึ่งสภาพอากาศอบอุ่นและดินมีความชื้นสูง ควรพ่นด้วยสารละลายจุนสีเข้มข้น 0.2-0.3% ผสมโซดาซักผ้า เข้มข้น 0.1% ถ้าพ่นบนผิวดินเพิ่มความเข้มข้นเป็น 2 เท่า จาก นั้นโรยปูนขาวบริเวณโคนต้น

5.การป้องกันกำจัดโรคในระยะแตกตาดอก ระยะเริ่มติดผลไปจนถึงก่อนผลสุกควรพ่นป้องกันด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชแมนโคเซบ เมื่อพบอาการของโรคปรากฏที่ผลเพียง 1 ผล ให้เปลี่ยนไปพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช เมตาแลกซิลผลมแมนโคเซบ ไซม๊อกซานิล และแมนโคเซบ ฯลฯ จำนวน 1-2 ครั้ง แล้วกลับไปพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช แมนโคเซบ เช่นเดิม เว้นระยะให้สารเคมีสลายตัวก่อนการเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 7 วัน

6. กรณีที่ผลและใบลิ้นจี่เป็นโรคแล้วร่วงหล่นอยู่บนพื้นดินภายใต้ทรงพุ่ม ควรรีบเก็บแล้วนำไปเผาทำลาย ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน เนื่องจากเชื้อราสามารถมีชีวิตและอาศัยอยู่ในดินข้ามฤดู เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมจะทำให้เกิดการติดเชื้อใหม่ในฤดูต่อไป

7. การควบคุมโดยชีววิธี โดยใช้เชื้อปฏิปักษ์ Trichoderma หรือ Bacillus
ผสมคลุกเคล้ากับดินภายใต้ทรงพุ่ม และผสมน้ำพ่นให้ทั่วทั้งต้น เป็นวิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพทั้งในแง่การป้องกันและกำจัดโรค

โรคผลเน่าภายในหลังการเก็บเกี่ยว

สาเหตุ เกิดจากเชื้อราหลายชนิด เช่น เชื้อราคอเลคโตตริคัม (Colletrichum gloeosporioides)
เชื้อราโบทรัยโอดิโพลเดีย (Botryodipia theobromae) เชื้อราโฟมา (Phoma sp.) เชื้อราโฟมอพซิส (Phomopsissp.) เป็นต้น

ลักษณะอาการ ผลลิ้นจี่สุกภายหลังเก็บเกี่ยวที่เก็บรักษาไว้ในสภาพควบคุมความชื้น จะแสดงอาการแผลเน่า สีน้ำตาลเข้มจนถึงสีน้ำตาลดำ ลักษณะแผลค่อนข้างกลมมีขนาดไม่แน่นอน เชื้อราสร้างเส้นใยและมวลสปอร์บนผิวเปลือกที่เป็นโรค ภายใต้สภาพอุณหภูมิห้องโรคผลเน่าจะพัฒนาอย่างรวดเร็วภายในเวลา 2-3 วัน การเก็บรักษาผลลิ้นจีในสภาพอุณหภูมิ 5-6๐C

อาการโรค ผลเน่าจะมีการพัฒนาการไปอย่างช้า ๆ และอาการรุนแรงน้อยกว่าการเก็บรักษา ในสภาพอุณหภูมิห้อง

การแพร่ระบาด เชื้อราแพร่ระบาดไปกับลมและพายุฝน เข้าทำลายผลลิ้นจี่แบบแฝงตั้งแต่ในแปลงปลูก แต่จะปรากฏอาการให้เห็นภายหลังการเก็บเกี่ยว

การป้องกันกำจัด พ่นป้องกันด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชแมนโคเซบ โปรคลอราซ คาร์เบนดาซิม ฯลฯ ชนิดใดชนิดหนึ่ง และหยุดพ่นก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างน้อย 14 วัน

ที่มา: กรมวิชาการเกษตร http://www.farmkaset..link..

สินค้าจากเรา

ไอเอส สารอินทรีย์ป้องกันและยับยั้งโรคพืช ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา

FK-1 ประกอบด้วย ธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม ทำให้พืชเจริญเติบโต สมบูรณ์ แข็งแรง

มาคา สารอินทรีย์ป้องกันและกำจัดเพลี้ย และแมลงศัตรูพืชจำพวกปากดูดต่างๆ
โรคลิ้นจี่ ใบจุดสนิม ใบจุดสาหร่าย โรคราสนิมลิ้นจี่ โรคราดำลิ้นจี่ ลิ้นจี่ใบไหม้ โรคลิ้นจี่ต่างๆ ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา
โรคลิ้นจี่ ใบจุดสนิม ใบจุดสาหร่าย โรคราสนิมลิ้นจี่ โรคราดำลิ้นจี่ ลิ้นจี่ใบไหม้ โรคลิ้นจี่ต่างๆ ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา
โรคลิ้นจี่ ใบจุดสนิม ใบจุดสาหร่าย โรคราสนิมลิ้นจี่ โรคราดำลิ้นจี่ ลิ้นจี่ใบไหม้ โรคลิ้นจี่ต่างๆ ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา
โรคใบจุดสนิม หรือจุดสาหร่าย
สาเหตุ สาหร่ายเซฟาลิวโรส ( Cephaleuros virescens)

ลักษณะอาการ เกิดบนใบแก่ลิ้นจี่ แผลเริ่มแรกเป็นจุดขุยสีเทาอมเขียวฟูเล็กน้อย เกิดกระจัดกระจายบนใบ ต่อมาจุดจะขยายออกและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมส้มหรือสีสนิม ลักษณะค่อนข้างกลมขนาด 3-5 มิลลิเมตร ระยะต่อมาจุดจะแห้งและทำให้เนื้อเยื่อใบทั้งด้านบนและใต้ใบบริเวณแผลมีลักษณะสีน้ำตาลดำ ในที่สุดใบที่เป็นโรคจะมีสีซีดเหลืองปนน้ำตาลและใบร่วง

การแพร่ระบาด
สาหร่ายแพร่ระบาดไปกับลมและพายุฝน เข้าทำลายในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง พืชอาศัยของสาหร่ายชนิดนี้มีหลายชนิดเช่น มะม่วง ลำไย เงาะ ฝรั่ง ส้ม ทุเรียน และไม้ผลอื่น ๆ

การป้องกันกำจัด
ตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง และพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์

โรคราสนิม
สาเหตุ เชื้อราสเกอกา (Skierka nephelii)

ลักษณะอาการ ใบลิ้นจี่ที่แก่บริเวณใต้ทรงพุ่ม แสดงอาการเป็นจุดนูนขนาดเล็กมากสีเหลือง เกิดกระจัด กระจายทางด้านใต้ใบ และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในระยะต่อมา

การแพร่ระบาด สปอร์ของเชื้อราฟุ้งกระจายแพร่ระบาดไปกับลมและพายุ ในสภาพอากาศทางภาคเหนือ ของประเทศไทย

การป้องกันกำจัด ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง และพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชแมนโคเซบ เป็นโรคที่ยังไม่มี ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
โรคลำต้นและกิ่งแห้ง

สาเหตุ ยังไม่ทราบสาเหตุ

ลักษณะอาการ พบเป็นกับลิ้นจี่หลายพันธุ์ อายุ 3-20 ปี ส่วนใหญ่เมื่อต้นลิ้นจี่มีอายุตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป เริ่มแรกแสดงอาการทรุดโทรมใบร่วงและปลายกิ่งแห้งเป็นบางกิ่งหรือทั้งต้น บริเวณโคน ลำกิ่งหรือลำต้น มีแผลลักษณะเป็นรอยแตก รูปร่างและขนาดไม่แน่นอน เมื่อเฉือนผิวเปลือกออก แผลมีอาการไหม้สีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลดำ การพัฒนาของโรคจะเป็นไปอย่างช้า ๆ กรณีต้นลิ้นจี่ที่มีอายุยังน้อยการพัฒนาการจะเป็นอย่างเฉียบพลัน ใบจะร่วงและกิ่งแห้งอย่างรวดเร็ว ในที่สุดต้นลิ้นจี่มีลักษณะยืนต้นตาย

การแพร่ระบาด พบเป็นกับต้นลิ้นจี่ตลอดทั้งปี

การป้องกันกำจัด ตัดแต่งกิ่งเป็นโรคนำไปเผาทำลาย แล้วบำรุงรักษาต้นให้สมบูรณ์แข็งแรง โดยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี และพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างสม่ำเสมอ

โรคราดำ
สาเหตุ เชื้อรา แคบโนเดียม และเมลิโอลา (Copnodium sp. และ Meliola sp.)

ลักษณะอาการ ใบ กิ่ง ช่อดอก และช่อผล มีลักษณะเป็นคราบเขม่าหรือฝุ่นผง มีสีดำ ขึ้นเจริญปกคลุมทำให้ชะงักการเจริญเติบโตและผิวของผลไม่สะอาด เมื่อถูกน้ำฝนชะล้างคราบเขม่าสีดำของเชื้อราจะหลุดไปเอง

การแพร่ระบาด เชื้อราดำแพร่ระบาดภายหลังแมลงพวกดูด เช่น เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้งเข้าทำลายต้นลิ้นจี่ แล้วขับถ่ายสารเหนียวเป็นละอองน้ำหวาน (honey dew) ลงบนพืช ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อราดำ

การป้องกันกำจัด ตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง ควบคุมการแพร่ระบาดของแมลงเพลี้ยหอย และเพลี้ยแป้ง และพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชอย่างสม่ำเสมอ

โรคเปลือกผลไหม้

สาเหตุ ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่ชัดเจน

ลักษณะอาการ โรคเปลือกผลไหม้ มี 2 ลักษณะ

- อาการไหม้บริเวณขั้วผล แผลมีลักษณะสีน้ำตาลอ่อนขอบแผลสีน้ำตาล รูปไข่และขนาดไม่แน่นอน ขนานไปตามความยาวผลพบในระยะที่ผลลิ้นจี่กำลังสร้างเนื้อผล (เปลือกสีเขียวปนเหลือง) ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลปนดำ บางครั้งแผลแตกปริเนื่องจากเนื้อผลขยายขนา

- อาการไหม้ทั่วไปบนผล แผลมีลักษณะสีน้ำตาลอ่อนจนถึง น้ำตาลปนดำบนผล ตำแหน่ง ขนาดและรูปร่างของแผล ไม่แน่นอน พบในระยะที่ผลลิ้นจี่กำลังสร้างเนื้อเป็นต้นไป แผลอาจแตกปริเนื่องจากเนื้อผลขยายขนาด
โรคผลแตก

สาเหตุ ลิ้นจี่ได้รับน้ำหรือธาตุอาหารไม่เพียงพอในระยะระหว่างที่ผลลิ้นจี่กำลังพัฒนา

ลักษณะอาการ เปลือกผลแตกตามความยาวของผลบริเวณก้นผลในระยะที่ผลลิ้นจี่กำลังสร้างเนื้อผลหุ้มเมล็ด และระยะที่เปลือกผลเริ่มเปลี่ยนสี ต่อมาเนื้อผลเน่าเนื่องจากมีจุลินทรีย์เข้าทำลายซ้ำเติม การแพร่ระบาด เป็นโรคที่ไม่ติดเชื้อไม่มีการแพร่ระบาด

การป้องกันกำจัด

1. ให้น้ำลิ้นจี่ทีละน้อยและสม่ำเสมอระหว่างที่ผลลิ้นจี่ กำลังพัฒนา

2. ให้ปุ๋ยธาตุอาหารรองอย่างสม่ำเสมอระหว่างที่ผลลิ้นจี่กำลังพัฒนา เช่น ธาตุแคลเซียม โบรอน สังกะสี ทองแดง และแมกนีเซียม นอกเหนือจากการให้ธาตุอาหารหลักได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม

3. พ่นสารป้องกันและกำจัดโรคแมลงศัตรูพืชโดยสม่ำเสมอ
โรคผลร่วง
สาเหตุเป็นผลมาจากการตายของคัภพะในระหว่างที่ใบเลี้ยงมีการพัฒนา เกิดในช่วงที่ผลลิ้นจี่มีอายุ ประมาณ30-50 วัน ภายหลังการผสมเกสร และบางครั้งอาจเกิดจากการทำลายของหนอนเจาะขั้วลิ้นจี่

ลักษณะอาการ ผลลิ้นจี่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ร่วง ผลลิ้นจี่บางส่วนอาจไม่ร่วงและมีการพัฒนาเจริญเติบโตไปจนแก่และสุก แต่ผลจะมีขนาดเล็กกว่าผลที่มีเมล็ดปกติ

การแพร่ระบาด สาเหตุที่เกิดจากการตายของคัภพะ ไม่ทำให้โรคแพร่ระบาด ปัจจัยที่เกิดจากหนอนเจาะขั้ว ลิ้นจี่ ดูรายละเอียดในแมลงศัตรูลิ้นจี่และการป้องกันกำจัด

การป้องกันกำจัด การตายของคัภพะไม่ทราบวิธีการป้องกันกำจัด ส่วนการป้องกันกำจัดหนอนเจาะขั้วลิ้นจี่ ดูในแมลงศัตรูลิ้นจี่และการป้องกันกำจัด
โรคราน้ำค้างเทียม หรือโรคผลไหม้สีน้ำตาล
สาเหตุ เชื้อราเพอร์โรโนไฟโธรา (Peronophythora litchii)

ลักษณะอาการ เกิดแผลสีน้ำตาลดำรูปร่างและขนาดไม่แน่นอน และขอบแผลมีลักษณะไม่ชัดเจนบนก้านผล ผล ใบ และรากลิ้นจี่ เชื้อราสร้างส่วนขยายพันธุ์สีขาวฟูบนแผลในช่วงระยะหลังของการติดเชื้อ เมื่อสภาพแวดล้อมชุ่มชื้นและมีฝนตก

การแพร่ระบาด เชื้อราฟักตัวข้ามฤดูถัดไป หรือเศษซากพืชที่ติดเชื้อ แล้วแพร่ระบาดไปกับน้ำฝน ลมพายุ แมลง และดินที่มีเชื้อในฤดูถัดไป สภาพอุณหภูมิที่ 22-25 0C และมีฝนตกชุกเกือบทุกวัน โรคจะลุกลามและแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง

การป้องกันกำจัด การป้องกันกำจัดโรคราน้ำค้างเทียม จะให้ผลดีถ้าใช้วิธีผสมผสานกันระหว่างวิธีการต่าง ๆ ดังนี้

1. ปลูกลิ้นจี่ให้มีระยะห่างที่พอเหมาะไม่ปลูกชิดเกินไป

2. ตัดแต่งกิ่งให้โปร่งเพื่อให้แสงแดดส่องถึงโคนต้น และกำจัดวัชพืชภายใต้ทรงพุ่ม แล้วขนย้ายกิ่งแห้ง และกิ่งที่ติดเชื้อออกไปจากแปลงแล้วเผาทำลาย

3 บำรุงรักษาต้นลิ้นจี่ให้เจริญเติบโตแข็งแรง โดยการใส่ปุ๋ย ให้น้ำในช่วงที่อากาศแห้งแล้งและพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชและสารฆ่าแมลงอย่างสม่ำเสมอ

4. หมั่นตรวจแปลงในฤดูหนาวเมื่อพบใบลิ้นจี่เป็นโรค ควรพ่นต้นลิ้นจี่และผิวดินบริเวณ โคนต้นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ กรณีที่พบโรคช่วงฤดูฝน ซึ่งสภาพอากาศอบอุ่นและดินมีความชื้นสูง ควรพ่นด้วยสารละลายจุนสีเข้มข้น 0.2-0.3% ผสมโซดาซักผ้า เข้มข้น 0.1% ถ้าพ่นบนผิวดินเพิ่มความเข้มข้นเป็น 2 เท่า จาก นั้นโรยปูนขาวบริเวณโคนต้น
5.การป้องกันกำจัดโรคในระยะแตกตาดอก ระยะเริ่มติดผลไปจนถึงก่อนผลสุกควรพ่นป้องกันด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชแมนโคเซบ เมื่อพบอาการของโรคปรากฏที่ผลเพียง 1 ผล ให้เปลี่ยนไปพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช เมตาแลกซิลผลมแมนโคเซบ ไซม๊อกซานิล และแมนโคเซบ ฯลฯ จำนวน 1-2 ครั้ง แล้วกลับไปพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช แมนโคเซบ เช่นเดิม เว้นระยะให้สารเคมีสลายตัวก่อนการเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 7 วัน

6. กรณีที่ผลและใบลิ้นจี่เป็นโรคแล้วร่วงหล่นอยู่บนพื้นดินภายใต้ทรงพุ่ม ควรรีบเก็บแล้วนำไปเผาทำลาย ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน เนื่องจากเชื้อราสามารถมีชีวิตและอาศัยอยู่ในดินข้ามฤดู เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมจะทำให้เกิดการติดเชื้อใหม่ในฤดูต่อไป

สาเหตุ เกิดจากเชื้อราหลายชนิด เช่น เชื้อราคอเลคโตตริคัม (Colletrichum gloeosporioides)
เชื้อราโบทรัยโอดิโพลเดีย (Botryodipia theobromae) เชื้อราโฟมา (Phoma sp.) เชื้อราโฟมอพซิส (Phomopsissp.) เป็นต้น

ลักษณะอาการ ผลลิ้นจี่สุกภายหลังเก็บเกี่ยวที่เก็บรักษาไว้ในสภาพควบคุมความชื้น จะแสดงอาการแผลเน่า สีน้ำตาลเข้มจนถึงสีน้ำตาลดำ ลักษณะแผลค่อนข้างกลมมีขนาดไม่แน่นอน เชื้อราสร้างเส้นใยและมวลสปอร์บนผิวเปลือกที่เป็นโรค ภายใต้สภาพอุณหภูมิห้องโรคผลเน่าจะพัฒนาอย่างรวดเร็วภายในเวลา 2-3 วัน การเก็บรักษาผลลิ้นจีในสภาพอุณหภูมิ 5-6๐C

อาการโรค ผลเน่าจะมีการพัฒนาการไปอย่างช้า ๆ และอาการรุนแรงน้อยกว่าการเก็บรักษา ในสภาพอุณหภูมิห้อง

การแพร่ระบาด เชื้อราแพร่ระบาดไปกับลมและพายุฝน เข้าทำลายผลลิ้นจี่แบบแฝงตั้งแต่ในแปลงปลูก แต่จะปรากฏอาการให้เห็นภายหลังการเก็บเกี่ยว

การป้องกันกำจัด พ่นป้องกันด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชแมนโคเซบ โปรคลอราซ คาร์เบนดาซิม ฯลฯ ชนิดใดชนิดหนึ่ง และหยุดพ่นก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างน้อย 14 วัน

อ้างอิง arda.or.th/kasetinfo/north/plant/lychee_disease.html
481 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 48 หน้า, หน้าที่ 49 มี 1 รายการ
|-Page 47 of 49-|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | 39 | 40 | 41 | 42 | 43 | 44 | 45 | 46 | 47 | 48 | 49 |


โทร 090-592-8614
ไลน์ไอดี @FarmKaset

กลุ่มสินค้าขายดีมาก

ฮิวมิค FK
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ
ไทอะมีทอกแซม
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ
แพนน่อน
สั่งซื้อได้ที่ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
สั่งกับ TikTok | แอดไลน์สั่งซื้อ


กลุ่มทางใบปุ๋ยประสิทธิภาพสูง
*โปรดอ่าน ใช้ FK-1 ในช่วงแรก เพื่อเร่งโต เร่งราก เร่งดอก จับคู่กับ FK-3 ในช่วงเร่งผลผลิต พืชออกผลทุกชนิด ใช้ FK-1 กับ FK-3, นาข้าว ใช้ FK-1 กับ FK-3R (Rice), ไร่อ้อย ใช้ FK-1 กับ FK-3S (Sugarcane), มันสำปะหลัง ใช้ FK-1 กับ FK-3C (Cassava)

FK-1
สั่ง FK-1 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3
สั่ง FK-3 กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3S
สั่ง FK-3S กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3R
สั่ง FK-3R กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK-3C
สั่ง FK-3C กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มอินทรีย์ ปุ๋ย ยาปราบฯ
ที่ขายดีที่สุดบน ลาซาด้า

FKT250-IS250-499B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 1ลิตร
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 3ลิตร
สั่งไอเอส3ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
มาคา
สั่งมาคากับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอกี้-บีที
สั่งไอกี้-บีทีกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L
สั่ง FK-T 1ลิตร กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FK ธรรมชาตินิยม
สั่งFK-T 250ซีซี กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
ไอเอส ขนาด 250ซีซี
สั่งไอเอสกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-IS1L-970B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-MAKA-980B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
FKT1L-AiKi-990B
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มเคมียาปราบฯประสิทธิภาพสูง

invet
สั่ง อินเวท กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
metalaxyl
สั่ง เมทาแลคซิล กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
carron
สั่ง คาร์รอน กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้


กลุ่มปุ๋ยทางใบผสมสูตรเองได้
เว็บระบบคำนวณการผสมปุ๋ย


starfer 30-20-5
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 10-40-10
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
starfer 15-5-30
สั่งกับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้
maxza
สั่ง แม็กซ่า กับ | ลาซาด้า | ช้อปปี้



บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
Central Laboratory (Thailand) Co.,Ltd.

ให้บริการตรวจวิเคราะห์
ตรวจฉลากโภชนาการ
ตรวจสารสำคัญกัญชา/กัญชง
ตรวจน้ำใช้ในกระบวนการผลิต
ฟอร์มขอใบเสนอราคา
สำหรับตรวจวิเคราะห์อื่นๆ ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (ตรวจวิเคราะห์ได้ทุกอย่าง) โปรดกรอก ฟอร์มขอใบเสนอราคา
ตรวจขึ้นทะเบียนปุ๋ยเคมี
ตรวจสารพิษตกค้างเพื่อการส่งออก
ตรวจผักสดปลอดเชื้อจุลินทรีย์ E. coli, Salmonella spp.
ส่งตัวอย่างมะละกอ เพื่อการทดสอบการดัดแปลงพันธุกรรม
ส่งตัวอย่างเพื่อทดสอบ ปริมาณอะฟลาทอกซินในเมล็ดแมงลัก ลูกเดือย และพริกแห้ง เพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร
Hardline Test Application
ปุ๋ยคุณภาพสูง
พืชทุกชนิด | ปุ๋ยทุเรียน | ปุ๋ยมันสำปะหลัง | ปุ๋ยสำหรับไร่อ้อย | ปุ๋ยนาข้าว | ปุ๋ยยางพารา | ปุ๋ยมะพร้าว | ปุ๋ยข้าวโพด | ปุ๋ยปาล์ม | ปุ๋ยสับปะรด | ปุ๋ยถั่วเหลือง | ปุ๋ยพริกไทย | ปุ๋ยกาแฟ | ปุ๋ยมะนาว | ปุ๋ยส้ม | ปุ๋ยลำไย | ปุ๋ยลิ้นจี่ | ปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่ง | ปุ๋ยกระเจี๊ยบเขียว | ปุ๋ยมังคุด | ปุ๋ยมันฝรั่ง | ปุ๋ยหอมหัวใหญ่ | ปุ๋ยกระเทียม | ปุ๋ยหอมแดง | ปุ๋ยมะเขือเทศ | ปุ๋ยกล้วยไม้ | ปุ๋ยอินทผลัม | ปุ๋ยน้อยหน่า | ปุ๋ยชมพู่ | ปุ๋ยเงาะ | ปุ๋ยมะม่วง | ปุ๋ยมะขาม | ปุ๋ยพริก
ยาอินทรีย์แก้โรคพืช
โรคใบไหม้ | ทุเรียนใบติด | มันสำปะหลังใบไหม้ | โรคอ้อยใบไหม้ | ข้าวใบไหม้ | ยางพาราใบไหม้ | โรคมะพร้าวใบไหม้ | โรคราน้ำค้างข้าวโพด | ปาล์มใบไหม้ | โรคสับปะรด | โรคราน้ำค้างถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟใบไหม้ | ราสนิมมะนาว | ส้มใบไหม้ | ลำไยใบไหม้ | ลิ้นจี่ใบไหม้ | หน่อไม้ฝรั่งลำต้นไหม้ | กระเจี๊ยบเขียวฝักลาย | โรคใบจุดมังคุด | มันฝรั่งใบใหม้ | โรคหอมเลื้อย | โรคใบจุดกระเทียม | โรคหอมแดง | ราแป้งมะเขือเทศ | โรคจุดสนิมกล้วยไม้ | อินทผลัมใบไหม้ | น้อยหน่าดอกร่วง | ชมพู่ใบไหม้ | เงาะใบไหม้ | มะม่วงใบไหม้ | ราแป้งมะขาม | โรคพริก
ยาเคมี กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยทุเรียน | เพลี้ยมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยข้าว | เพลี้ยยางพารา | เพลี้ยมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยสับปะรด | เพลี้ยถั่วเหลือง | เพลี้ยพริกไทย | เพลี้ยกาแฟ | เพลี้ยมะนาว | เพลี้ยส้ม | เพลี้ยลำไย | เพลี้ยลิ้นจี่ | เพลี้ยหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยมังคุด | เพลี้ยมันฝรั่ง | เพลี้ยหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยกระเทียม | เพลี้ยหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยกล้วยไม้ | เพลี้ยอินทผาลัม | เพลี้ยน้อยหน่า | เพลี้ยชมพู่ | เพลี้ยเงาะ | เพลี้ยมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยพริก
ยาเคมี กำจัดโรคพืช
โรคใบไหม้ | โรคทุเรียน | โรคมันสำปะหลัง | โรคอ้อย | โรคข้าว | โรคยางพารา | โรคมะพร้าว | โรคข้าวโพด | โรคปาล์ม | โรคสับปะรด | โรคถั่วเหลือง | พริกไทยใบไหม้ | โรคกาแฟ | โรคมะนาว | โรคส้ม | โรคลำไย | โรคลิ้นจี่ | โรคหน่อไม้ฝรั่ง | โรคกระเจี๊ยบเขียว | โรคมังคุด | โรคมันฝรั่ง | โรคหอม | โรคกระเทียม | โรคหอมแดง | โรคมะเขือเทศ | โรคกล้วยไม้ | โรคอินทผาลัม | โรคน้อยหน่า | โรคชมพู่ | โรคเงาะ | โรคมะม่วง | โรคมะขาม | โรคพริก
ยาอินทรีย์ กำจัดเพลี้ยต่างๆ
กำจัดเพลี้ยต่างๆทุกชนิด | เพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน | เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง | เพลี้ยอ้อย | เพลี้ยศัตรูข้าว | เพลี้ยแป้งยางพารา | เพลี้ยศัตรูมะพร้าว | เพลี้ยข้าวโพด | เพลี้ยอ่อนปาล์มน้ำมัน | เพลี้ยแป้งสับปะรด | เพลี้ยอ่อนถั่วเหลือง | เพลี้ยแป้งพริกไทย | เพลี้ยแป้งกาแฟ | เพลี้ยไฟมะนาว | เพลี้ยไฟส้ม | เพลี้ยแป้งลำไย | เพลี้ยแป้งลิ้นจี่ | เพลี้ยไฟหน่อไม้ฝรั่ง | เพลี้ยจักจั่นฝ้ายกระเจี๊ยบเขียว | เพลี้ยไฟมังคุด | เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง | เพลี้ยไฟหอมหัวใหญ่ | เพลี้ยไฟกระเทียม | เพลี้ยไฟหอมแดง | เพลี้ยมะเขือเทศ | เพลี้ยไฟกล้วยไม้ | เพลี้ยแป้งอินทผาลัม | เพลี้ยแป้งน้อยหน่า | เพลี้ยไฟชมพู่ | เพลี้ยแป้งเงาะ | เพลี้ยจักจั่นมะม่วง | เพลี้ยมะขาม | เพลี้ยไฟพริก
สารชีวินทรีย์ กำจัดหนอนต่างๆ
กำจัดหนอนศัตรูพืช | กำจัดหนอนทุเรียน | กำจัดหนอนมันสำปะหลัง | กำจัดหนอนกออ้อย | กำจัดหนอนในนาข้าว | กำจัดหนอนในสวนยางพารา | กำจัดหนอนมะพร้าว | กำจัดหนอนข้าวโพด | กำจัดหนอนปาล์มน้ำมัน | กำจัดหนอนสับปะรด | กำจัดหนอนถั่วเหลือง | กำจัดหนอนพริกไทย | กำจัดหนอนกาแฟ | กำจัดหนอนมะนาว | กำจัดหนอนส้ม | กำจัดหนอนลำไย | กำจัดหนอนลิ้นจี่ | กำจัดหนอนหน่อไม้ฝรั่ง | กำจัดหนอนกระเจี๊ยบเขียว | กำจัดหนอนมังคุด | กำจัดหนอนมันฝรั่ง | กำจัดหนอนหอมหัวใหญ่ | กำจัดหนอนกระเทียม | กำจัดหนอนหอมแดง | กำจัดหนอนมะเขือเทศ | กำจัดหนอนกล้วยไม้ | กำจัดหนอนอินทผาลัม | กำจัดหนอนน้อยหน่า | กำจัดหนอนชมพู่ | กำจัดหนอนเงาะ | กำจัดหนอนมะม่วง | กำจัดหนอนมะขาม | กำจัดหนอนพริก
iLab.work ผู้ใช้บริการตรวจวิเคราะห์ค่าธาตุอาหารใน ดิน น้ำ ปุ๋ย พืช กากอุตสาหกรรม มาตฐาน ISO/IEC 17025


ตรวจง่ายนับ 1 2 3 มาตฐาน ISO/IEC 17025
1.เลือกและคำนวณค่าตรวจที่หน้าเว็บ คลิก
2.ส่งดินเข้าห้อง LAB (ไปรษณีย์,เคอรี่,แฟรช)
3.อ่านผลออนไลน์ (เราจัดส่งต้นฉบับผลวิเคราะห์ ไปตามที่อยู่ที่ให้ไว้เช่นกัน)
→เริ่มกันเลย เลือกค่าที่ต้องการวิเคราะห์
[มีชุดโปรฯแนะนำลดพิเศษ หรือเลือกเองได้]
มะระจีนใบเหลือง เกิดจากสาเหตุอะไร มะระใบไหม้ ต้องแก้อย่างไร
Update: 2564/04/25 08:09:26 - Views: 3891
ปุ๋ยบำรุงฟัก ปุ๋ยน้ำสำหรับฟัก ฟักเขียว ฟักแฝง ฟักแม้ว พืชตระกูลฟัก ผลผลิตดี ฉีดพ่น FKธรรมชาตินิยม
Update: 2564/10/04 03:18:04 - Views: 3450
ปุ๋ยบำรุงกระท้อน ปุ๋ยน้ำสำหรับกระท้อน ปุ๋ยทางใบกระท้อน ปลูกเยอะใช้ FK-1 ปลูกน้อยใช้ FKธรรมชาตินิยม
Update: 2564/10/12 22:32:54 - Views: 3448
โรคทานตะวันใบไหม้ โรคใบจุดทานตะวัน โรคราน้ำค้างทานตะวัน โรคราต่างๆ ใช้ ไอเอส + FKธรรมชาตินิยม
Update: 2564/09/21 01:29:58 - Views: 3486
ขออำนาจคุณพระศรีฯ อวยพรให้ลูกค้าฟาร์มเกษตร ร่ำรวยอย่างมีความสุขนับแต่ ปี ๒๕๖๗ นี้ และตลอดไป
Update: 2567/01/01 14:53:12 - Views: 3541
เทคนิคการใส่ปุ๋ยสับปะรด
Update: 2564/07/03 09:33:51 - Views: 3518
กำจัดเชื้อรา มะเขือ ปลอดสารพิษ ไอเอส และ FK-T(ใช้ได้ทุกพืช)โดย FK
Update: 2565/09/23 10:08:28 - Views: 3380
การป้องกันและกำจัดโรคเชื้อราในว่านหางจระเข้
Update: 2566/05/13 10:33:55 - Views: 3417
โรคราน้ำค้างข้าวโพด อากาศร้อน ความชื้นสูง ต้องป้องกัน
Update: 2566/10/22 06:39:13 - Views: 3445
กำจัดเชื้อรา ส้ม ปลอดสารพิษ ไอเอส และ FK-T(ใช้ได้ทุกพืช)โดย FK
Update: 2565/09/16 10:30:35 - Views: 3382
กำจัดเชื้อรา สาเหตุของโรคใบจุดวง ใน ถั่วเหลือง ไตรโคเดอร์มา ไตรโคเร็กซ์ ปลอดภัยต่อคนและสัตว์เลี้ยง
Update: 2566/01/17 09:03:43 - Views: 3393
โรคราน้ำค้าง ในพืชตระกูล กะหล่ำ และ ผักกาด โรคราต่างๆ ใช้ ไอเอส + FKธรรมชาตินิยม
Update: 2564/09/09 06:18:28 - Views: 3471
กำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าหนอน ใน ฟักทอง และ พืชทุกชนิด บาซีเร็กซ์ โดย ไดโนเร็กซ์
Update: 2566/03/02 12:19:17 - Views: 3465
ปุ๋ยสำหรับอ้อย เพื่อบำรุงผลผลิต การแก้โรคอ้อย ที่มีสาเหตุจากเชื้อรา ป้องกันกำจัดเพลี้ย ในไร่อ้อย
Update: 2563/06/18 17:25:32 - Views: 4174
เคล็ดลับการใช้ปุ๋ยฉีดพ่นทางใบเพิ่มประสิทธิภาพในต้นลองกอง
Update: 2566/11/18 09:21:18 - Views: 3416
การใช้ INVET ผสมปุ๋ยสตาร์เฟอร์ 30-20-5 ฉีดพ่นป้องกันและกำจัดเพลี้ยไฟ ศัตรูพืชสำหรับต้นมังคุด
Update: 2567/02/27 13:02:39 - Views: 3489
วิธีสร้างความรวย "ด้วยข้าวเกรียบปลา"
Update: 2565/09/13 15:50:15 - Views: 3412
กำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ในต้นมันสำปะหลัง เร่งฟื้นฟูจากการเข้าทำลายของเชื้อรา ไตรโครเร็กซ์ ปุ๋ยน้ำอะมิโน โดย ไดโนเร็กซ์
Update: 2566/04/29 15:00:04 - Views: 3416
การจัดการหนอนศัตรูพืชในมะกอก: วิธีป้องกันและควบคุมเพื่อสร้างผลผลิตที่ยั่งยืน
Update: 2566/11/14 13:23:39 - Views: 3550
คำนิยม - ลูกค้าพูดถึงไอกี้บีที ลูกค้าท่านนี้ซื้อหลายอย่างเลยค่ะ
Update: 2563/02/06 15:13:39 - Views: 3389
GA4 © FarmKaset.ORG | สถาบันอนุญาโตตุลาการ : 2022