data-ad-format="autorelaxed">
ไร่กาแฟ
สืบเนื่องจากการที่โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา ได้มีโครงการวิจัยกาแฟอาราบิก้า เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวไทยภูเขาในภาคเหนือ เมื่อ พ.ศ.2518 โดยได้สั่งสายพันธุ์กาแฟอาราบิก้าลูกผสมที่ได้ปรับปรุงให้สามารถต้านทานโรคราสนิม 28 สายพันธุ์ ภายใต้ความร่วมมือจากกองวิจัยโรคพืชและชีววิทยา สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร
โดยได้ดำเนินการคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่สูงของภาคเหนือ ประกอบกับมีการจัดตั้งโครงการปลูกพืชทดแทนและพัฒนาเศรษฐกิจของชาวไทยภูเขา ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสหประชาชาติ เป็นระยะเวลาดำเนินงาน 10 ปี โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ให้คำปรึกษาและแนะนำพันธุ์กาแฟอาราบิก้า
ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จทอดพระเนตรแปลงกาแฟที่ขุนวาง และทรงมีพระราชดำริ ให้กรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์กาแฟที่เหมาะสมกับพื้นที่สูงของประเทศไทย เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กรมวิชาการเกษตรได้ศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง โดยปี พ.ศ.2526 ได้มีการวิจัยและพัฒนากาแฟอาราบิก้าที่ต้านทานโรคราสนิม ได้นำพันธุ์กาแฟอาราบิก้าคาติมอร์ (Coffee Arabica cv. Catimor) จากศูนย์วิจัยโรคราสนิมกาแฟ ประเทศโปรตุเกส (Coffee Rust Research Centre) จำนวน 3 สายพันธุ์ คือ CIFC 7958 7962 และ 7963
โดยนำมาปลูกไว้ที่สถานีวิจัยกาแฟอาราบิก้า มูลนิธิโครงการหลวงแม่หลอด สถานีทดลองเกษตรหลวงขุนวาง จ.เชียงใหม่ สถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี จ.เชียงราย สถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และสถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ จ.ตาก ทำการศึกษาวิจัยกาแฟอาราบิก้าที่ต้านทานโรคราสนิมสายพันธุ์คาติมอร์ CIFC 7963-13-28 จนได้พันธุ์กาแฟคาติมอร์ “เชียงใหม่ 80” ในปี 2550 ที่มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
นายอุทัย นพคุณวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่1 (สวพ.1) กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กาแฟอาราบิก้าพันธุ์เชียงใหม่ 80 ได้คัดเลือกจากการผสมพันธุ์ H.W. 26/5 กับพันธุ์ SL28 โดยศูนย์วิจัยโรคราสนิมกาแฟ ได้ลูกผสมชั่วที่ 1 ปี พ.ศ.2503 และได้ส่งไปปลูกคัดเลือกในประเทศต่างๆ ในแต่ละชั่ว และได้ดำเนินการคัดเลือกในประเทศไทยในลูกผสมชั่วที่ 6 และ 7 ในปี พ.ศ.2527 จนถึงปี พ.ศ. 2544 ได้สายพันธุ์ดีเด่นและนำไปปลูกทดสอบในพื้นที่ปลูกกาแฟทางภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน และเพชรบูรณ์
จนกระทั่งได้รับพิจารณาเป็นพันธุ์รับรองของกรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550 นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2548-2553 กรมวิชาการเกษตรได้ผลิตตันกล้ากาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ดังกล่าว เพื่อแจกจ่ายให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ มูลนิธิโครงการหลวง โครงการพระราชดำริ กลุ่มเกษตรกร หน่วยงานราชการ และเอกชน จำนวน 2,258,212 ต้น โดยใช้เวลานานนับ 10 ปี ในการวิจัยและพัฒนากาแฟ ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ จนได้ผลผลิตกาแฟเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์กาแฟดอยคำ ดอยตุง และโครงการพระราชดำริต่างๆ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้มีพระเสาวนีย์ให้มีการปลูกตามดอย นอกจากนี้ยังมีแหล่งปลูกและผลิตที่สำคัญ ได้แก่ ดอยช้าง ปางขอน สันเจริญ และห้วยฮ่อม ซึ่งปัจจุบันกาแฟดอยช้างและดอยตุงก็เป็นที่ยอมรับในเรื่องคุณภาพและเอกลักษณ์เฉพาะในระดับโลก และได้รับการยกระดับเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย (Geographical Indication : GI) และมีการขยายผลการดำเนินงานไปสู่โครงการพระราชดำริต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้ที่มั่นคง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 1 กรมวิชาการเกษตร ได้ส่งเสริมการปลูกกาแฟ การดูแลรักษา การผลิตและแปรรูปแบบครบวงจร ภายในสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงบ้านปางขอนและขยายผลสู่แปลงเกษตรกร ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 อีกทั้ง ยังได้ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกาแฟอาราบิก้า โดยจัดเป็นแปลงต้นแบบการฟื้นฟูสภาพต้นกาแฟอาราบิก้าที่มีอายุมาก ส่งผลให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามลำดับ
โดยพบว่าปี พ.ศ.2551 เกษตรกรบ้านปางขอน สามารถผลิตกาแฟได้ 103 ตัน และเพิ่มขึ้นเป็น 266 ตัน ปี พ.ศ.2557 คิดเป็นจำนวนเงินที่ขายสารกาแฟกว่า 30 ล้านบาท ทำให้มีรายได้เฉลี่ย 214,000 บาท/ครัวเรือน/ปี ซึ่งแต่เดิมก่อนที่เกษตรกรจะเข้าร่วมโครงการมีรายได้จากการขายกาแฟเพียง 50,000 บาท/ครัวเรือน/ปี เท่านั้น
นับเป็นความสำเร็จของโครงการผลิตกาแฟอาราบิก้าโดยมีส่วนร่วมของเกษตรกรบ้านปางขอน ที่สามารถแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ลดการทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย ใช้พื้นที่ทำการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ และดำรงชีพอยู่ได้ตามแนวพระราชดำริ “คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน”
source: komchadluek.net/news/agricultural/236937