แสงสำคัญกว่าที่คิด! รู้จัก...
👤
โดย: JANE FK
📅
2025-11-28 09:46:36
🌐
1.20.218.102
แสงสำคัญกว่าที่คิด! รู้จัก “ปริมาณแสงที่พืชต้องการแต่ละช่วง” และผลต่อผลผลิต
บทสรุปสำคัญสำหรับเกษตรกร
งานวิจัยด้านสรีรวิทยาพืชย้ำชัดว่า **แสงไม่ใช่แค่พลังงานสำหรับสังเคราะห์แสง แต่เป็นตัวกำหนดคุณภาพผลผลิตโดยตรง** ทั้งปริมาณใบ อัตราเจริญเติบโต การออกดอก ความหวาน และการสะสมแป้ง–น้ำตาล
หลายไร่–หลายสวน ปุ๋ยใส่ดี น้ำให้ครบ แต่ผลผลิตยังไม่เต็มที่ เพราะ “พืชได้แสงไม่ถึงเกณฑ์”
แสงคืออะไร? พืชใช้ส่วนไหนของแสง
แสงที่พืชใช้สังเคราะห์แสงคือช่วง 400–700 nm เรียกว่า PAR (Photosynthetically Active Radiation)
ยิ่งได้รับแสงในระดับที่เหมาะสม → อัตราสังเคราะห์แสงสูงขึ้น → พืชสร้างน้ำตาลและแป้งมากขึ้น
ค่าปริมาณแสงที่เกษตรกรควรรู้
• 1) PPFD (μmol/m²/s)
ความเข้มแสงในช่วงเวลานั้นๆ
เหมาะกับการวัดในโรงเรือน
• 2) DLI (mol/m²/day)
“ปริมาณแสงรวมทั้งวัน”
เป็นค่าที่คาดการณ์ผลผลิตได้ดีที่สุด
ยิ่ง DLI พอเหมาะ → ผลผลิตยิ่งสูง
• 3) Photoperiod (ชั่วโมงแสง/วัน)
ควบคุมการออกดอกของพืช เช่น
* วันสั้น → ทุเรียน, มะม่วง ออกดอกดี
* วันยาว → ไม้ดอกบางชนิดให้ดอกยาวนาน
ปริมาณแสงที่พืชต้องการแต่ละช่วง
ค่าต่อไปนี้เป็น “ช่วงทั่วไป” อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยหลายสำนัก
● ช่วงต้นกล้า (Seedling) — DLI 6–10 mol/m²/day
ถ้าแสงมากเกินไป จะทำให้ต้นกล้ายืด แคระ หรือใบไหม้
ถ้าแสงน้อยเกินไป ระบบรากจะไม่แข็งแรง
● ช่วงเจริญทางลำต้น–ใบ (Vegetative) — DLI 12–20 mol/m²/day
เน้นให้ใบสร้างอาหาร
พบว่าผักกินใบ เช่น ผักสลัด ให้ผลผลิตสูงสุดช่วง DLI 14–17
● ช่วงเตรียมออกดอก (Pre-flowering) — DLI 15–20 mol/m²/day
แสงที่สม่ำเสมอช่วยกระตุ้นให้ตาดอกสมบูรณ์
● ช่วงติดดอก (Flowering) — DLI 20–30 mol/m²/day
พืชหลายชนิดต้องการแสงมากเพื่อสร้างพลังงานสำหรับการติดดอก เช่น
* กลุ่มไม้ผล: มะม่วง ลำไย องุ่น
* พืชโรงเรือนบางชนิด: มะเขือเทศ พริก
● ช่วงติดผล–เพิ่มคุณภาพผลผลิต (Fruit Development) — DLI 25–35 mol/m²/day
เพิ่มการสะสมแป้ง น้ำตาล และสารสี Anthocyanin
ตรงนี้คือเหตุผลว่า “ทำไมแสงเยอะ→ผลไม้หวาน–สีสวย”
ถ้าแสงไม่พอ เกิดอะไรขึ้น? (ตามงานวิจัย)
1. อัตราสังเคราะห์แสงลดลงทันที
2. พืชยืดตัว ใบเล็ก ใบซีด
3. ผลผลิตลดลง 30–60% ในพืชผัก
4. คุณภาพผลด้อยลง เช่น ความหวานต่ำ สีไม่จัด
5. ระบบรากอ่อนแอ ลดการดูดปุ๋ย
งานวิจัยของ *Nelson & Bugbee (2014)* ระบุว่า
> “แสงเป็นปัจจัยที่กำหนดผลผลิตมากกว่าปุ๋ยในหลายพืชเศรษฐกิจ”
ถ้าแสงมากเกินไป พืชก็พังได้
* เกิด ใบไหม้ (photobleaching)
* อัตราสังเคราะห์แสงไม่ได้เพิ่มต่อเนื่อง เพราะพืชมีจุดอิ่มตัวแสง (Light Saturation Point)
* ระเหยน้ำสูง → พืชเครียด
เทคนิคจัดการแสงเพิ่มผลผลิตแบบแม่นยำ
✔ 1) ตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง
เพิ่ม penetration ของแสงลงสู่กิ่งด้านล่าง
✔ 2) ปรับระยะปลูก
ปลูกถี่ไป → ใบชนกัน → แย่งแสง
✔ 3) เลือกทิศปลูกให้ถูก
* แปลงพืชผัก: ทิศเหนือ–ใต้ ได้แสงทั่วแปลง
* โรงเรือน: หลังคาโค้งโปร่งแสงช่วยเพิ่ม PPFD 15–25%
✔ 4) ใช้ฟิล์มเรือนกระจก/พลาสติกที่ส่งผ่านแสงดี
ค่า Transmittance 80–90% ถือว่าเหมาะสม
✔ 5) การเสริมแสง (Supplemental Lighting) สำหรับพืชโรงเรือน
เช่น ไฟ LED Spectrum สำหรับกระตุ้น
* การสร้างใบ
* การออกดอก
* ความหวานในมะเขือเทศโรงเรือน
✔ 6) ควบคุม Photoperiod สำหรับพืชที่ต้องการ “วันสั้น/วันยาว”
สรุป
แสงคือ “ปัจจัยที่ถูกมองข้าม” มากที่สุดในไร่นาไทย
เกษตรกรที่เข้าใจ **DLI + PPFD + Photoperiod** สามารถเพิ่มผลผลิตได้ 15–70% โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนปุ๋ย
Reference (งานวิจัยที่ใช้อ้างอิง)
* Nelson, J.A. & Bugbee, B. (2014). *Analysis of environmental effects on crop growth*.
* Marcelis, L.F.M. et al. (2006). *Light distribution in crop canopies and its effects on yield*.
* Faust, J.E. (2004). *Light and plant growth*. HortScience.
* Kaiser, E. et al. (2019). *Photosynthetic limitations in horticultural crops*.
* Taiz, L. & Zeiger, E. (2015). *Plant Physiology and Development*.
* Li, T. et al. (2014). *Daily Light Integral and crop productivity in greenhouse crops*.
#แสงพืชสำคัญมาก #DLIคือหัวใจผลผลิต #เพิ่มผลผลิตด้วยแสง #เกษตรแม่นยำ #สรีรวิทยาพืช #ปลูกพืชให้ได้ผลผลิตสูง #บริหารแสงในสวน #แสงไม่พอพืชไม่โต #เทคนิคเพิ่มความหวาน #ความเข้มแสงสำหรับพืช