[sort by : last post | top views]..
+ โพสเรื่องใหม่ | + เลือกหน้า | All contents

 
ติดตามสินค้าที่คุณสั่ง
คุณ บริษัท วิคทอรี, Thursday 18 April 2024 13:50:46, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
คุณ ยายเก๋ง พันอินทร์, Thursday 18 April 2024 13:15:36, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
คุณ ดนุชภร สุวรรณทชาตรี, Thursday 18 April 2024 11:46:01, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
คุณ พระกังวาลไพร, Thursday 18 April 2024 11:44:27, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
คุณ natthirapor, Thursday 18 April 2024 11:07:37, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
คุณ กร สุวรรณรัฐ, Thursday 18 April 2024 11:06:33, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
คุณ วิชัย สัมมากสิพงศ์, Thursday 18 April 2024 11:05:19, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
คุณ เจมจิฬา บุษมงคล, Thursday 18 April 2024 11:04:00, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
คุณ ไพฑูรย์ วงษ์ป้อม, Thursday 18 April 2024 11:02:39, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
คุณ วัชรพงษ์ บรรลือ, Thursday 18 April 2024 11:01:15, เลขจัดส่ง FLASH EXPRESS
ดูรายการจัดส่งทั้งหมด
หอยเชอรี่ สร้างรายได้หลัก 10,000 ต่อเดือน
162.158.170.124: 2565/11/18 14:16:54
หอยเชอรี่ สร้างรายได้หลัก 10,000 ต่อเดือน
คนส่วนใหญ่หันมาทำอาชีพเกษตรกรมากขึ้น มีพืชและสัตว์หลายชนิดที่น่าสนใจผนวกกับการใช้เทคโนโลยีหาความรู้ในการเลี้ยงทำให้เกษตรกรมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น โดยหอยเชอรี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่น่าสนใจมาก และมีคนที่ประสบความสำเร็จจากการเลี้ยงให้ได้ดูเป็นตัวอย่าง อย่างไรก็ดี เชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจและไม่รู้จักว่าหอยเชอรี่คืออะไร มีกี่แบบ แล้วหอยเชอรี่สีทองที่ได้ยินว่านิยมเลี้ยงกันคืออะไร

ลองมาหาคำตอบไปพร้อมกันเพื่อกรุยเส้นทางสู่การสร้างเป็นอาชีพได้ในอนาคต ลักษณะทั่วไปของ หอยเชอรี่ หอยเชอรี่สามารถแบ่งหอยเชอรี่ได้ 2 พวก คือ พวกที่มีเปลือกสีเหลืองปนน้ำตาล เนื้อและหนวดสีเหลือง และพวกมีเปลือกสีเขียวเข้มปนดำ และมีสีดำจาง ๆ พาดตามความยาว เนื้อและหนวดสีน้ำตาลอ่อน หอยเชอรี่เจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ลูกหอยอายุเพียง 2 – 3 เดือน จะจับคู่ผสมพันธุ์ได้ตลอดเวลา หลังจากผสมพันธุ์ได้ 1 – 2 วัน ตัวเมียจะวางไข่ในเวลากลางคืน โดยคลานไปวางไข่ตามที่แห้งเหนือน้ำ เช่น ตามกิ่งไม้ ต้นหญ้าริมน้ำ โคนต้นไม้ริมน้ำ ข้าง ๆ คันนา และตามต้นข้าวในนา ไข่มีสีชมพูเกาะติดกันเป็นกลุ่มยาว 2 – 3 นิ้ว แต่ละกลุ่มประกอบด้วยไข่เป็นฟองเล็ก ๆ เรียงตัวเป็นระเบียบสวยงาม ประมาณ 388 – 3_000 ฟอง ไข่จะฟักออกเป็นตัวหอยภายใน 7 – 12 วัน หลังวางไข่

หอยเชอรี่สีทอง คือ??
สำหรับหอยเชอรี่สีทองที่เราเรียกกันที่จริงคือหอยเชอรี่พันธุ์สนิม หรือ หอยหวานญี่ปุ่นด้วยซึ่งเลี้ยงง่ายเหมือนการเลี้ยงหอยเชอรี่ หอยขมทั่วไป จุดแตกต่างคือมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มไม่เหนียวเหมือนหอยเชอรี่ในเมืองไทยแถมเนื้อยังมีความหวานไม่คาว ต่างจากหอยชนิดอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหอยเชอรี่สีดำ หอยโข่ง หรือ หอยขม ทำให้เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงปูนา และเลี้ยงหอยเชอรี่ หันมาเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองสนิม กันเป็นจำนวนมาก ถ้าถามหาจุดเริ่มต้นของการเข้ามาของหอยเชอรี่สีทอง และหอยเชอรี่สีทองพันธุ์สนิม ในประเทศไทย ยังไม่มีการระบุแน่นอน แต่เชื่อว่าบางส่วนเป็นพันธ์ที่ได้มาจากทางมาเลเซีย

วิธีการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองแบบเบื้องต้น คนที่สนใจและอยากเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง ขั้นแรกต้องสำรวจตลาดให้แน่ใจว่าจะเอาหอยเชอรี่ของเราไปขายที่ไหนได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะขายได้ตามร้านอาหารอีสาน ร้านส้มตำ หรือตามขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด หรือสามารถขายในร้านอาหารบางแห่งได้ ขั้นตอนเบื้องต้นเริ่มจาก

1.เตรียมพื้นที่สำหรับเลี้ยงหอยเชอรี่ เช่น กระชังในบ่อดินธรรมชาติ หรือ บ่อซีเมนต์ ก็ได้ ซึ่งหอยเซอรี่นั้นถือว่าเป็นหอยที่เลี้ยงง่ายและโตไว แถมยังกินเก่ง โดยในขึ้นตอนการเตรียมบ่อนั้นให้เราใส่พืชน้ำ เช่น แหน ผักตบ ผักบุ้ง ทางมะพร้าว เศษไม้ สำหรับไว้ให้หอยเชอรี่เกาะ หรือ ผักพื้นถิ่นที่หาได้ตามธรรมชาติ เพื่อปรัหยัดค่าใช้จ่าย

2.การเตรียมสายพันธุ์ โดยเราสามารถที่จะเลี้ยงจาก พ่อแม่พันธุ์หอยเซอรี่สีทอง หรือ จะเลี้ยงจากไข่ก็ได้ โดยให้สังเกตไข่ของหอยเชอรี่ที่พร้อมเลี้ยงต้องมีสีชมพูแก่ค่อนไปสีเทา และเมื่อนำมาปล่อยในพื้นที่เลี้ยงที่เตรียมไว้ ใช้เวลาในการเลี้ยง ประมาณ 4 เดือน ก็สามารถจับขาย ขนาดประมาณ 50 – 60 ตัว/กิโลกรัมราคากิโลกรัมละ 50 – 80 บาท ขายตามร้านส้มตำ และร้านอาหารอีสานทั่วไป

3.ช่วงแรกของการเลี้ยง หลังจากเอาไข่หอยมาลง ใช้เวลาประมาณ 7 – 15 วัน จะเริ่มฟักเป็นตัว พอฟักเป็นตัวหมดแล้วให้เอามาอนุบาลลงในน้ำ อนุบาลไว้ประมาณ 2 เดือน หรือจะปล่อยไว้ในบ่อประมาณ 3 เดือนก็เอามากินได้เช่นกัน ภาษาชาวบ้านจะบอกว่า หอยหนุ่มสาวเนื้อจะไม่เหนียว แต่ถ้าอายุ 4 เดือน จะเริ่มเป็นพ่อแม่พันธุ์ หอยจะเริ่มขึ้นวางไข่ได้แล้ว เราก็จะคัดออกมาไว้อีกบ่อ เพื่อง่ายต่อการดูแล ส่วนอาหารของหอยหลัก ๆ คือแหนแดงซึ่งต้องเตรียมไว้ในบ่อ

4.อาหารของหอยเชอรี่สีทอง การเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง หรือ พันธุ์สนิม ถ้าไม่ได้ทำเป็นฟาร์ม เกษตรกรปล่อยให้ผสมพันธุ์เองตามธรรมชาติ ซึ่งจะผสมพันธุ์และให้ไข่ได้ทั้ง 3 ฤดู ถ้าเลี้ยงทั่วไป ก็จะไม่แยกไข่หรือ ลูกออกไปอนุบาล แต่เราเลี้ยงขาย พ่อ แม่พันธุ์ ก็จะแยกลูกตอนหนึ่งเดือนออกไปอนุบาล เพื่อให้ได้ลูกที่สมบูรณ์มากที่สุด โดยอาหารขออหอยเชอรี่สีทองจะกินพืชน้ำทุกชนิดโดยเฉพาะแหนแดงหรือ ถ้าเลี้ยงเป็นฟาร์ม สามารถให้อาหารปลาดุกแทนได้

เคล็ดไม่ลับในการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทอง ปัญหาหนึ่งที่เจอในการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองในบ่อซีเมนต์น้ำจะเสียบ่อย เทคนิคที่นำมาใช้คือใช้แหนแดงในการบำบัดน้ำ เพราะจะช่วยเพิ่มไนโตรเจน และออกซิเจนในน้ำ รวมทั้งเป็นอาหารของหอยด้วยหรือภูมิปัญญาของคนในสมัยก่อนจะตัดท่อนอ้อยลงแช่น้ำ เพราะว่าอ้อยมีความหวาน และจุลินทรีย์มันจะกินความหวานเป็นอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำไม่เสีย รายได้จากการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองสูงกว่าเดือนละ 10_000 บาท

ราคาของหอยเชอรี่สีทองในปัจจุบันขายกันที่กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 400 บาท ระยะเวลาการเลี้ยง จนสามารถขายได้ ประมาณ 4-5 เดือนเป็นอย่างต่ำ ส่วนใครที่ต้องการให้ตัวใหญ่ขึ้นมาอีก ก็เลี้ยงกัน 7-8 เดือน ช่องทางการตลาดสามารถขายได้ทั้งในชุมชนตลาดใกล้บ้าน หรือบางคนใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ โดยขายตั้งแต่ ไข่หอย หอยวัยรุ่น หอยพ่อแม่พันธุ์ ถ้าดูจากคนเลี้ยงที่ประสบความสำเร็จอย่างดี สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10_000 – 20_000 บาท หรือบางเดือนอาจมีรายได้สูงกว่า 40_000 -50_000 ได้เลยทีเดียว

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ในการเลี้ยง เทคนิคในการเลี้ยง การตลาดของผู้เลี้ยงเป็นสำคัญด้วย จากการศึกษาพบว่าเนื้อหอยเชอรี่มีโปรตีนสูงถึง 34 – 53 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 1.66 เปอร์เซ็นต์ ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่างเช่น ส้มตำ หรือทำน้ำปลาจากเนื้อหอยเชอรี่ ใช้ทำเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ สุกร เป็นต้น เปลือกก็สามารถปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินได้ ตัวหอยทั้งเปลือกถ้านำไปฝังบริเวณทรงพุ่มไม้ผล เมื่อเน่าเปื่อยก็จะเป็นปุ๋ยทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตเร็ว และได้ผลผลิตดี รวมถึงข้อมูลจากสถาบันหัวใจและปอดแห่งชาติของแคนาดา ระบุว่า หอยเชอรี่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารจำนวนมาก

อย่างไรก็ดีการเลี้ยงหอยเชอรี่สีทองแม้จะมีโอกาสและช่องทางที่เปิดกว้างแต่คนที่สนใจควรศึกษาหาความรู้จากคนเลี้ยงที่เขาประสบความสำเร็จ สิ่งที่เราควรรู้คือวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง ปัญหาที่ต้องเจอเช่นเรื่องโรคในหอยเชอรี่ หรือการได้พูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์จะทำให้เราเรียนรู้เรื่องช่องทางการตลาดได้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..ลี้ยง-หอยเชอรี่-ในบ่อปูน-สร้างรายได้หลัก-10000-ต่อเดือน/
อ่าน:3032
เกษตรอินทรีย์ วิธีเพาะต้นอ่อนทานตะวัน
172.70.92.192: 2565/11/18 14:09:38
เกษตรอินทรีย์ วิธีเพาะต้นอ่อนทานตะวัน
เทรนด์สุขภาพกำลังเป็นที่พูดถึง คนยุคใหม่มองหาสินค้าออร์แกนิคมากขึ้น ดังนั้นธุรกิจใดก็ตามที่เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ว่านี้ได้มีโอกาสเติบโตในการทำธุรกิจที่ดีเกินคาด หนึ่งในสินค้าออร์แกนิคที่ มองว่าน่าสนใจและเป็นกระแสที่ฮอตฮิตมากคือ การเพาะต้นอ่อนทานตะวัน ที่เราเชื่อว่ามีอีกหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นอ่อนทานตะวันคืออะไร เพาะอย่างไร ขายที่ไหน ขายแล้วมีกำไรอย่างไร เราจะพาทุกท่านที่อยากมีเงินใช้ อยากมีรายได้เลี้ยงครอบครัวมารู้จักกับธุรกิจนี้ที่บางคนถึงขนาดลาออกจากงานมาทำกิจการด้านนี้เต็มตัวเป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว

รู้จักต้นอ่อนทานตะวันกันก่อน!

ต้นอ่อนทานตะวันก็คือต้นอ่อนของดอกทานตะวันที่มีอายุเพียง 7 – 11 วัน ในต้นอ่อนทานตะวันนี้เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ไฟเบอร์ โปรตีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม สังกะสี และโพแทสเซียม หรือแม้แต่ไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกาย โดยต้นอ่อนทานตะวัน ในปริมาณ 1/4 ถ้วย มีปริมาณไขมันสูงถึง 16 กรัม ไขมันอิ่มตัว 2 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 8 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 6 กรัม ไฟเบอร์ 2 กรัม และโปรตีน 6 กรัม ซึ่งไขมันที่อยู่ในต้นอ่อนทานตะวันนี้ล้วนแต่เป็นไขมันชนิดดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ไม่เพียงเท่านั้น ต้นอ่อนทานตะวันยังมีแคลเซียมและธาตุเหล็กสูงด้วยเช่นกัน

โดยต้นอ่อนทานตะวัน 1/4ถ้วย มีประมาณธาตุเหล็กถึง 8% ของปริมาณธาตุเหล็กที่ควรได้รับต่อวัน และมีแคลเซียมถึง 2% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันอีกด้วย ถือว่าเป็นพืชคุณค่าทางอาหารสูงมาก

สิ่งที่ต้องเตรียม
ถาดสำหรับปลูก เช่น ถาด หรือตระกร้า ดิน (ดินสำหรับต้นอ่อน หรือดินจากร้านขายต้นไม้ก็ได้ครับ) เมล็ดทานตะวัน

ขั้นตอนการเพาะต้นอ่อนทานตะวัน

นำเมล็ดแช่น้ำ 4-6 ชม. ระหว่างแช่จะมีฟองอากาศซึ่งเกิดจากน้ำเข้าไปในเมล็ดหลังจากนั้นเทน้ำออก เทคนิคน่าสนใจคือ หลังจากได้เมล็ดมาควรตากแดดจัด 1 วัน ก่อนแช่ เพื่อให้เมล็ดดีดออกใบได้ง่าย

นำเมล็ดบ่มในผ้าขนหนู ประมาณ 18-20 ชม. ทุก ๆ 5 ชม. ให้คนกลับไปกลับมา เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นตุ่ม ๆ แสดงว่าเริ่มเพาะได้แล้ว ให้นำดินใส่ถาดที่เตรียมไว้ โดยรากที่งอกออกมาไม่ควรปล่อยให้ยาวมาก ประมาณ 2-3 มิล ก็ใช้ได้

โรยเมล็ดลงดิน โดยไม่ให้หนา หรือบางจนเกินไป อัตราส่วนโดยเฉลี่ย ถาด 30 x 60 ซม. ต่อเมล็ด 1.5 ขีด โรยดินกลบบาง ๆ และรดน้ำพอชุ่ม โดยดินที่ได้มาควรร่อนเอากากใบไม้ ขุยมะพร้าวออกก่อน การโรยควรใช้ดินละเอียด

นำถาดมาซ้อนกันประมาณ 1 คืน หลังจากนั้นให้นำถาดออกมารดน้ำตามปกติ ซึ่งการซ้อนถาดเป้าหมายเพื่อให้รากลงดินได้เร็วขึ้นและถาดที่ซื้อมาควรเป็นถาดแบบเดียวกัน เพื่อสะดวกต่อการซ้อน แยกถาดออกไว้ในร่ม รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และหลังจากแยกถาด ควรคุมเรื่องแสงนะเพื่อให้ต้นยืดหาแสง จะทำให้ได้ต้นยาว สวยงามขายได้ราคามากขึ้น

เข้าสู่วันที่ 3 รดน้ำต่อวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น พอประมาณ เข้าสู่วันที่ 4 รดน้ำบาง ๆ เพื่อให้ดินหลุดจากใบ สามารถเริ่มเก็บเมล็ดที่ติดใบออกได้ รดน้ำเช้า-เย็นต่อ แต่ถ้าก่อนเพาะเราเคยเอาเมล็ดตากแดดมาก่อนพอถึงขั้นตอนนี้ เมล็ดจะดีดออกจากใบเอง ทำให้ไม่ต้องเก็บเมล็ดมาก

เข้าสู่วันที่ 5 รดน้ำต่อเช้า-เย็น พอประมาณ ช่วงนี้ใกล้วันตัดจำหน่าย1-2 วัน ก่อนตัด พยายามให้ต้นอ่อนโดนแสง ต้นจะยาวและเขียวสวยมากขึ้น

เข้าสู่วันที่ 6-7 รดน้ำเช้า-เย็นปกติ และนำออกมารับแสงในวันที่จะตัด ต้นจะเริ่มเขียว สามารถตัดได้ในวันที่ 6-7 หรืออาจจะนานกว่านั้น แล้วแต่ความยาวของต้น สังเกตว่าถ้าเริ่มเห็นใบจริงแทรกออกมาจากปลายต้นอ่อน ควรจะตัดได้แล้ว

เทคนิคการตัดต้นอ่อนทานตะวัน ใช้มือรวบโคนต้นเป็นกระจุก นำกรรไกร หรือคัตเตอร์คม ๆ ตัดที่โคนต้น สาเหตุที่ต้องใช้คมมาก ๆ เพื่อป้องกันโคนต้นช้ำครับ ล้างในกะละมัง 2 น้ำ เก็บเศษดิน เศษราก และเมล็ดที่ติดมาออก ผึ่งให้แห้ง พร้อมรับประทาน หรือจะแพ็คใส่ถุงเข้าตู้เย็น โดยมัดปากถุงให้แน่น ไม่ต้องเจาะรู แต่ต้องผึ่งให้สะเด็ดน้ำก่อนนะครับ สามารถเก็บได้ถึง 5-7 วัน เทคนิคการทำตลาดจำหน่ายต้นอ่อนทานตะวัน สิ่งที่คนกังวลคือไม่รู้ว่าจะเอา ต้นอ่อนทานตะวัน ไปขายที่ไหน อย่างไร ซึ่งในความเป็นจริงต้นอ่อนทานตะวัน เอามาแปรรูปเป็นอาหารได้หลายอย่าง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เช่นทำเป็นสลัด เป็นส่วนผสมในไข่เจียว หรือจะเอามาผัดน้ำมันหอย เป็นการสร้างทางเลือกให้ผู้บริโภคได้ทานอาหารที่แตกต่างและมีประโยชน์

เทคนิคการทำตลาดเราควรเริ่มจาก

1.แบ่งปันคนใกล้ตัวหรือเพื่อนร่วมงาน เริ่มจากคนใกล้ตัว ญาติ เพื่อนสนิท เพื่อนที่ทำงาน ไม่ต้องคิดเอาไปวางแผงขาย เป้าหมายคือให้คนเหล่านี้ติดใจในรสชาติและความน่าสนใจของต้นอ่อนทานตะวัน และจะเป็นการตลาดแบบปากต่อปาก ก็จะขยายตลาดต้นอ่อนทานตะวันของเราออกไปได้ด้วย

2.เลือกกลุ่มคนที่จะทดลองต้นอ่อนทานตะวัน สำหรับคนที่เพาะต้นอ่อนทานตะวันได้จำนวนน้อยการจะแจกฟรีให้เพื่อนทีละมากๆ ก็คงไม่ได้ ทางที่ดีและรวดเร็วในการทำตลาดคือเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะสนใจ เช่นกลุ่มคนรักสุขภาพ กลุ่มแม่บ้าน คนขายข้าวแกงที่ต้องการวัตถุดิบใหม่ๆ กลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจเหล่านี้จะช่วยทำให้สินค้าของเราติดตลาดได้ง่ายขึ้น

3.พลังของโซเชี่ยลมีเดีย ยุคนี้ทำตลาดออนไลน์ง่ายที่สุดใช้โซเชี่ยลมีเดียของเราที่มีสร้างเพจ ขึ้นมา ในนั้นก็พยายามหาเพื่อนเข้ามาร่วมกลุ่ม และใส่เนื้อหาสาระดีๆ เกี่ยวกับต้นอ่อนทานตะวัน วิธีการปลูก คุณประโยชน์ วิธีการประกอบอาหาร และอย่าลืมบอกให้ชัดเจนว่าเราคือผู้จำหน่าย สนใจติดต่อได้ และอีกวิธีคือการอัดคลิปในยูทูปในขั้นตอนสำคัญเช่นเก็บเกี่ยว เพาะปลูก หรือลงมือทำอาหาร จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและทำให้มีลูกค้าติดต่อมาจากหลายทิศทางมากขึ้น รายได้จากการเพาะต้นอ่อนทานตะวัน ในส่วนของรายได้ขั้นต่ำจะอยู่ที่ประมาณ

4 เท่าของต้นทุน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลและความเอาใจใส่ที่จะวัดได้ว่าจะทำให้มีกำไรมากหรือน้อย แต่ส่วนใหญ่มีกำไรแน่ๆ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในรายได้เสริมที่ทำเงินได้ดีอย่างมาก โดยเมล็ดทานตะวัน 1 กิโลกรัมสามารถเพาะเป็นต้นอ่อนทานตะวันได้ถึง 2.5-8 กิโลกรัมขึ้นอยู่กับพันธุ์และการเลี้ยงดู ซึ่งเมล็ดทานตะวัน 1 กิโลกรัมจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 150-250 บาท โดยราคาตามท้องตลาดในตอนนี้ ต้นอ่อนทานตะวันที่ 1 ขีด จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 15-30 บาท และเมื่อคิดเป็น 1 กิโลกรัมแล้ว ก็จะสามารถทำเงินให้เราได้ถึง 150-300 บาทเลย หลายคนที่ประสบความสำเร็จจากการต้นอ่อนทานตะวัน มีผลผลิตเฉลี่ยต่อวัน20-30 กิโลกรัม ราคาขายส่งตกที่กิโลกรัมละ 100 บาท และยังสามารถเพาะเลี้ยงพืชอายุสั้นๆ เก็บเกี่ยวไว ชนิดอื่นๆ ได้อีกมากเช่น ข้าวสาลี โต้วเหมี่ยว กระเจี๊ยบ ถั่วงอก ก็สามารถเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองมากขึ้น

แม้จะดูว่าเป็นพืชระยะสั้นที่ใช้เวลาไม่นานในการเพาะปลูก แต่ก่อนที่เราคิดจะทำธุรกิจนี้ควรมองหาตลาดรองรับ และเหนือสิ่งอื่นใด ทดลองปลูกให้รู้ปัญหา และแนวทางเบื้องต้น เพื่อประเมินว่าดีพอจะทำเป็นธุรกิจเพิ่มรายได้ให้ตัวเองหรือไม่ แม้บางคนจะทำแล้วประสบความสำเร็จแต่ก็ใช่ว่าเราจะทำเหมือนเขาได้ง่าย หากต้องการสำเร็จเหมือนคนอื่นก็ต้องศึกษา มีข้อมูลในการปฏิบัติงานที่ดีพอ ต้นอ่อนทานตะวันสร้างรายได้ที่ดีให้กับคนที่สนใจแต่ก็ขึ้นอยู่กับการใส่ใจ และจริงจังของผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..พาะต้นอ่อนทานตะวัน-รายได้ครึ่งแสน/
อ่าน:2940
มารู้จักกัญชา กันเถอะ!!!
162.158.163.178: 2565/11/18 13:57:48
มารู้จักกัญชา กันเถอะ!!!
กัญชา เป็นพืชที่เราคุ้นชื่อมานานและรู้จักในนามของพืชต้องห้ามเพราะกฎหมายจัดว่าเป็นยาเสพติด ส่วนกัญชง ก่อนหน้านี้เราไม่คุ้นชื่อกันเท่าไหร่ แต่ช่วงหลัง ๆ ก็เริ่มได้ยินบ่อยจนคุ้นหูมากแล้วเหมือนกัน เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันได้ปลดล็อกให้ใช้ประโยชน์มากมายของพืช 2 ชนิดนี้ เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และเศรษฐกิจ

คำว่า ปลดล็อก ไม่ได้หมายความว่า พืช 2 ชนิดนี้ถูกถอดออกจากรายชื่อยาเสพติดแล้ว แต่หมายถึงการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ได้ภายใต้กรอบกฎหมาย

กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวง เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (ฉบับที่ 2) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ให้บางส่วนของต้นกัญชาและกัญชงไม่จัดเป็นยาเสพติด

ส่วนต่าง ๆ ของกัญชาที่ไม่จัดเป็นยาเสพติด ได้แก่ เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ราก ใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย สารสกัด CBD ที่มี THC ไม่เกินร้อยละ 0.2% และกากที่เหลือจากการสกัดกัญชา ซึ่งต้องมี THC ไม่เกิน 0.2%

ส่วนต่าง ๆ ของกัญชงที่ไม่จัดเป็นยาเสพติด ได้แก่ เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ราก ใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย สารสกัด CBD ที่มี THC ไม่เกิน 0.2% เมล็ด น้ำมันหรือสารสกัดจากเมล็ด และกากที่เหลือจากการสกัดกัญชง ซึ่งต้องมี THC ไม่เกิน 0.2%

ประชาชน เอกชน สามารถใช้ประโยชน์จากส่วนเหล่านี้ของกัญชาและกัญชงได้ แต่มีข้อกำหนดว่าต้องได้มาจากสถานที่ปลูกหรือผลิตในประเทศ ซึ่งได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น กรณีการนำเข้าสามารถนำเข้าได้ โดยขออนุญาตเป็นยาเสพติด ยกเว้นเปลือกแห้ง แกนลำต้นแห้ง และเส้นใยแห้ง ได้รับการยกเว้นไม่เป็นยาเสพติดตามประกาศนี้

กรณีกัญชงนั้นก้าวหน้าไปก่อนกัญชาแล้ว เพราะกระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฎกระทรวง เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. 2563 ให้ขออนุญาตปลูก ผลิต ส่งออก จำหน่าย ครอบครองได้ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2564 ส่วนการนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงเข้ามาปลูกจะสามารถทำได้ภายใน 5 ปี นับตั้งแต่กฎกระทรวงฉบับนี้บังคับใช้

ทราบเรื่องทางกฎหมาย-การอนุญาตให้ใช้ประโยชน์กันแล้ว เรามาทำความรู้จักกัญชากับกัญชงกันต่อซิว่า มีความเหมือนและความต่างกันอย่างไร

อย่างที่เราเห็นกันว่า กัญชา กัญชง มีความคล้ายความเหมือนทั้งชื่อและรูปร่างหน้าตา จริง ๆ แล้ว กัญชาและกัญชงเป็นพืชที่มีต้นกำเนิดจากพืชชนิดเดียวกัน คือ Cannabis sativa L. ในวงศ์ Cannabidaceae จึงทำให้ลักษณะภายนอกแตกต่างกันน้อยมาก แต่หลังจากที่มีการนำพืชทั้ง 2 ชนิดนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง โดยในอดีตกัญชาถูกใช้เป็นยารักษาโรคและเพื่อการสันทนาการ ขณะที่กัญชงเป็นพืชที่นำเส้นใยมาใช้สำหรับการถักทอ จึงมีการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีสุด ทำให้กัญชงและกัญชามีความแตกต่างกันเกิดขึ้น

กัญชา (Marijuana) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L.subsp. indica ต้นสูงไม่มากหากเทียบกับกัญชง โดยมีความสูงไม่เกิน 2 เมตร มีลักษณะเป็นต้นพุ่ม แตกกิ่งก้านสาขาค่อนข้างมาก ลำต้นเป็นปล้องหรือข้อสั้น ใบสีเขียวจัด มี 5-7 แฉก โดยจะเรียงชิดกัน จะออกดอกเมื่ออายุประมาณ 3 เดือน และช่อดอกมียางมาก

กัญชง (Hemp) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L.subsp. sativa โดยทั่วไปจะมีลำต้นสูงกว่ากัญชา หรือสูงมากกว่า 2 เมตร มีลักษณะลำต้นสูงเรียว แตกกิ่งก้านสาขาน้อย ปล้องหรือข้อยาว ใบสีเขียวอ่อน มีประมาณ 7-11 แฉก โดยใบมีการเรียงสลับค่อนข้างห่างอย่างชัดเจน กัญชงจะออกดอกเมื่ออายุมากกว่า 4 เดือน และช่อดอกมียางไม่มาก

การจะแยกแยะพืชสองพี่น้องนี้ด้วยตาเปล่า เราต้องจำลักษณะสำคัญของมันว่า กัญชาต้นเตี้ยและใบอ้วน ส่วนกัญชงต้นสูงและใบเรียว

นอกจากลักษณะทางกายภาพที่ค่อนข้างต่างกันแล้ว สารสกัดที่ได้จากพืชทั้ง 2 ชนิดก็มีปริมาณที่ต่างกันด้วย กัญชงและกัญชามีสารที่เรียกว่า THC (Tetrahydrocannabinol) และ CBD (Cannabidiol) ซึ่งสารเหล่านี้จะเป็นตัวแบ่งแยกพืชทั้ง 2 ชนิดนี้ออกจากกัน

THC เป็นสารที่ทำให้เมาหรือเคลิบเคลิ้ม พบได้มากในกัญชา โดยมีประมาณ 1-20% ส่วนกัญชงมีสารชนิดนี้น้อยกว่า 1% ในทางการแพทย์สาร THC มีประโยชน์ช่วยลดอาการปวด ช่วยเพิ่มความอยากอาหาร รักษาผลข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัด แต่การใช้สารชนิดนี้ในการรักษาก็อาจจะทำให้ผู้ป่วยปากแห้ง ตาแห้ง หรือการตอบสนองช้าลงได้

ส่วนสาร CBD ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในกัญชงมากกว่ากัญชา คือพบประมาณ 2% แต่ในกัญชามีสารชนิดนี้อยู่น้อยมาก เมื่อเสพสารชนิดนี้เข้าไปจะไม่มีอาการเมาหรือเคลิบเคลิ้มเหมือนกัญชา คุณสมบัติทางการแพทย์ของ CBD มีหลากหลาย ช่วยลดอาการปวด แก้อาการนอนไม่หลับ แก้อาการโรคลมชัก แม้จะใช้ในปริมาณมากก็ไม่มีผลข้างเคียง และสารนี้ยังนิยมนำมาใช้ในเครื่องสำอางและสกินแคร์ต่าง ๆ ด้วย

อีกประโยชน์หนึ่งของกัญชง คือ เป็นพืชที่ให้เส้นใยยาว เส้นใยมีความละเอียดใกล้เคียงกับลินิน มีความเหนียวทนทาน และมีความเงางาม ครบถ้วนคุณสมบัติเส้นใยชั้นดี จึงเป็นเส้นใยชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มกันมาเป็นเวลายาวนานแล้ว ในปัจจุบันผ้าที่ทอจากเส้นใยกัญชงมีราคาสูงและเป็นที่ต้องการมาก

ประโยชน์ของกัญชา

1.1การใช้กัญชาเพื่อบรรเทาหอบหืด ยาแก้หอบหืดทุกตัวมีข้อเสียคือมีข้อจำกัด ทั้งประสิทธิภาพและผลข้างเคียง เนื่องจากกัญชาขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม

1.2การใช้กัญชาในการรักษาต้อหิน คือ การรักษาตาต้อหิน ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับสองที่ทำให้ คนตาบอดในสหรัฐ คนอเมริกาเกือบล้านที่ป่วยด้วยต้อหินที่รักษาได้ด้วยกัญชา กัญชาทำให้ความดัน ภายในลูกนัยน์ตาลดลงได้ดีหลายชั่วโมงในคนปกติและในคนที่ความดันลูกนัยน์ตาสูงจากต้อหิน การให้กัญชาทางปากหรือทางหลอดเลือดดำให้ผลเหมือนกัน ซึ่งขึ้นกับชนิดอนุพันธ์กัญชามากกว่า จะเกิดจากฤทธิ์กล่อมประสาทของกัญชา กัญชาไม่ได้รักษาโรคขาด แต่ช่วยยับยั้งการบอดไม่ให้เป็นมากขึ้น เมื่อยาทั่วไปไม่อาจช่วยได้ และการผ่าตัดเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไป

1.3อนุพันธ์กัญชามีประโยชน์หลายอย่างในการบำบัดมะเร็ง อาจใช้เป็นสารกระตุ้นความ อยากอาหาร กัญชาจะช่วยชะลอน้ำหนักลดในผู้ป่วยมะเร็ง กัญชายับยั้งการเติบโตของเซลมะเร็งในสัตว์ทดลอง แต่ผลยังไม่เป็นที่สรุป และอนุพันธ์กัญชาอีกชนิดคือ cannabidiol ดูจะทำให้มะเร็งโตเร็วขึ้น บางทีกัญชาเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นอาจเป็นประโยชน์ในการป้องกันการโตของมะเร็ง แต่สิ่งที่กัญชาช่วยได้แน่ในการบำบัดมะเร็งคือการป้องกันการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่รับเคมีบำบัด เกือบครึ่งของผู้ป่วยที่รับยาต้านมะเร็งต้องทุกข์จากการคลื่นไส้อาเจียนอย่างแรง ประมาณร้อยละ 25 ถึง 30 ของผู้ป่วยเหล่านี้ ยาแก้อาเจียนทั่วไปใช้ไม่ได้ผล อาการคลื่นไส้อาเจียนไม่เพียงแต่ ไม่น่าพอใจแต่ยังรบกวนประสิทธิภาพการบำบัดรักษาด้วย การอาเจียนอาจทำให้เกิดการฉีกขาด ของหลอดอาหารและซี่โครงหัก ทำให้ไม่ได้รับอาหารเพียงพอ และสูญเสียน้ำ

ด้วยประโยชน์ที่หลากหลาย ใช้งานได้เกือบทุกส่วน จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งกัญชาและกัญชงกำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ไม่ใช่แค่ในระดับรายย่อยเท่านั้น ได้ข่าวว่าบริษัทใหญ่ ๆ ก็กำลังสนใจโอกาสใหม่นี้เช่นกัน


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อ่าน:2922
แล็บประชารัฐ จับมือ 2 เว็บไซต์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ หวังยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์
172.70.143.14: 2565/11/18 13:38:12
แล็บประชารัฐ จับมือ 2 เว็บไซต์ขายเครื่องสำอางออนไลน์ หวังยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์
แล็บประชารัฐ จับมือ 2 เว็บไซต์จำหน่ายเครื่องสำอางออนไลน์ ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ท่ามกลาง ภาวะฟองสบู่ในธุรกิจเครื่องสำอาง

บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) หรือ แล็บประชารัฐ เดินหน้าตรวจวิเคราะห์มาตรฐานผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 2.8 แสนล้านบาท โดยในวันนี้ (8 ส.ค. 60) ได้นำร่องลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท บิวตี้ นิสต้า และบริษัท เอวีนัส เวิลด์ ของ อั้ม อธิชาติ ชุมนานนท์ นักแสดงชื่อดัง เพื่อดำเนินการทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของทั้ง 2 บริษัท ที่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน

นายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการ แล็บประชารัฐ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผ่านการตรวจวิเคราะห์เชื้อจุลินทรีย์และสารโลหะหนักปนเปื้อนจากแล็บประชารัฐ จะได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค และเป็นจุดเริ่มต้นสู่การผลิตเวชสำอางสมุนไพรประเภทอื่นๆ โดยขณะนี้เป็นโอกาสดีที่กลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางจะยกระดับมาตรฐานสินค้า เพราะแล็บประชารัฐกำลังร่วมกับ สสว. แจกคูปองมูลค่า 5_000 บาท ให้ผู้ประกอบการมารับบริการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์

ด้าน นายวรวุฒิ สายบัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวตี้ นิสต้า กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจเครื่องสำอางอยู่ในภาวะฟองสบู่ เพราะมีผู้ประกอบการตบเท้าเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์ ด้วยการคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคควบคู่ไปกับการทำตลาด การสร้างแบรนด์ และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดี ล่าสุดจึงร่วมมือกับแล็บประชารัฐ นำเครื่องสำอางที่จำหน่ายบนเว็บไซต์ http://ไปที่..link.. มารับการตรวจวิเคราะห์มาตรฐาน ซึ่งถือเป็นการติดอาวุธทางการตลาดให้แก่เอสเอ็มอีไทย


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อ่าน:2935
โอกาสใหม่เพิ่มรายได้เกษตรกร ธุรกิจแปรรูปสมุนไพร
172.70.188.79: 2565/11/18 13:17:50
โอกาสใหม่เพิ่มรายได้เกษตรกร ธุรกิจแปรรูปสมุนไพร
ท่ามกลางการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโควิด 19 ได้นำมาซึ่งโอกาสของ สมุนไพรไทย ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าสมุนไพรไทยบางชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของไวรัส หรือมีประโยชน์ในการรักษา อาทิ ฟ้าทะลายโจร ที่เรียกว่าผลิตกันมาไม่พอขาย จนถึงขั้นขาดตลาด และยังมีสมุนไพรไทยอีกหลายชนิดที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค ขณะเดี่ยวกัน เทรนด์การบริโภคของผู้คนรุ่นใหม่ ได้มองว่าสมุนไพรคือทางเลือกสำหรับการดูแลสุขภาพที่ปลอดภัย ไม่มีอันตราย เพราะทุกอย่างล้วนมาจากธรรมชาติ

ดังนั้นในบทความนี้เราจะมากล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจของสมุนไพรไทยกัน ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร อีกทั้งการแปรรูปสมุนไพรไทยแบบไหนที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนยุคใหม่

สมุนไพรแปรรูปได้ในรูปแบบไหนบ้าง ?

1. การนำสารสกัดเข้มข้นจากสมุนไพร มาใช้ในการผลิตยาแผนโบราณ/แผนปัจจุบัน เครื่องสำอางและอาหารเสริม

2. การนำสมุนไพรออร์แกนิคมาแปรรูปให้ง่ายต่อการใช้งาน เช่น น้ำมันหอมระเหย น้ำมันนวด ผงสกัดเย็น เป็นต้น

3. การนำสมุนไพรมาเป็นเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย

4. การนำสมุนไพรมาเป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย เช่น ครีมทาผิว ยาสระผม ยาสีฟัน ฯลฯ

5. การนำสมุนไพรสูตรต่างๆ มาอบแห้ง เพื่อจำหน่าย

ตลาดสมุนไพรเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมยาเพิ่มขึ้น

จากข้อมูลกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ‘สมุนไพร’ มีมูลค่าการส่งออกอยู่ในหลักแสนล้านบาท โดยสมุนไพรไทยในกลุ่มอาหารเสริมมีมูลค่าการใช้และส่งออกรวมกว่า 80_000 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มสปา และผลิตภัณฑ์มีมูลค่าประมาณ 10_000 ล้านบาท และกลุ่มยาแผนโบราณตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยมีมูลค่าประมาณ 10_000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าของอุตสาหกรรมยาจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในส่วนมูลค่าตลาดสมุนไพรและสารสกัดจากธรรมชาติ เนื่องด้วยปัจจุบันคนรุ่นใหม่นิยมใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ตลาดสมุนไพรที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตของอุตสาหกรรมยาเติบโตพุ่งสูงขึ้นเป็น 20_000 ล้านบาทในปี 2563 ขณะที่ปัจจุบันแนวโน้มดังกล่าวยังเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง

หลายๆ เหตุผลที่ทำให้ผู้คนหันมาสนใจ สมุนไพร

1. ผู้คนเริ่มหันกลับมาให้ความสนใจในเรื่องของสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

2. ความเชื่อมั่นของผู้คน ว่าสมุนไพรนั้น จะช่วยบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี ไม่มีสารตกค้าง เพราะเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมมาตั้งแต่โบราณ

3. ในปัจจุบันนี้เริ่มมีผลวิจัยออกมารองรับว่าสมุนไพรชนิดต่างๆ นั้น มีสรรพคุณในการรักษา ยับยั้ง บำรุง ร่างกายได้เป็นอย่างดีไม่แพ้ยาปฏิชีวนะ

4. ราคาของสมุนไพรแปรรูปนั้นถูกมาก! เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารเสริมหรือยาบำรุงร่างกายชนิดอื่นๆ

5. ผลิตภัณฑ์สมุนไพรแปรรูปหลายๆ เจ้า มีมาตรฐานรองรับว่าปลอดภัย ตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ตรวจสอบย้อนกลับได้ ถูกต้องตามหลักสากลกำหนด

6. การซื้อหรือกลับมาให้ความสนใจสมุนไพรนั้น ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแรงช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทาง เพราะสมุนไพรส่วนใหญ่แล้ว ทางบริษัทแปรรูปสมุนไพรส่วนใหญ่จะไปรับซื้อมาจากเกษตรกรนั่นเอง

ตลาดต้องการวัตถุดิบที่เพียงพอและปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของตลาดสมุนไพรยังคงมีอุปสรรคในปัจจุบัน คือเรื่องของคุณภาพ มาตรฐานการรับรอง และการยอมรับในวงกว้างซึ่งต้องนำงานวิจัยมาเข้าเพื่อพัฒนานวัตกรรมการแปรรูปสมุนไพรให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของมาตรฐาน ความปลอดภัย ซึ่งผู้บริโภคให้ความสำคัญเหนือสิ่งใด

ด้วยเหตุนี้เกษตรกรผู้ผลิต และแปรรูปในขั้นต้น จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องของกระบวนการผลิตที่ปลอดสารเคมี ซึ่งตลาดให้ความสำคัญมากต่อการทำเกษตรแบบอินทรีย์ ขณะเดียวกันปริมาณที่เพียงพอและต่อเนื่องก็เป็นอีกอุปสรรคของตลาดสมุนไพรไทยที่ต้องหาวิธีบริหารจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม

เพราะแม้ดีมานด์ในตลาดจะมีมาก แต่หากผู้ผลิตยังไม่สามารถบริหารจัดการด้านการผลิตที่เหมาะสม และตรงกับความต้องการของตลาด โอกาสในธุรกิจนี้ก็ยังจะไม่เกิดเป็นผลในเชิงรูปธรรมมากเท่าที่ควรจะเป็น

กระนั้น จากแนวโน้มก็เป็นโอกาสดีที่จะมีเกษตรกรส่วนหนึ่งหันมาปลูก หรือส่งเสริมการปลูกสมุนไพรเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น ซึ่งจากกระแสโควิด 19 และการใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ทำให้นี่จะเป็นโอกาสของตลาดสมุนไพรไทย ที่เกษตรกร ผู้แปรรูปขั้นต้นสามารถนำมาสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อ่าน:2961
แชมพู-ครีมอาบน้ำ อย.ชี้ไม่พบการปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง
172.70.143.81: 2565/11/18 13:02:00
แชมพู-ครีมอาบน้ำ อย.ชี้ไม่พบการปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง
อย. เผยไม่พบ แชมพู - ครีมอาบน้ำ ยี่ห้อจอห์นสันแอนด์จอน์หสันที่ขายในไทย มีสารปนเปื้อนมะเร็ง รวมถึงยาย้อมผมดำ ยี่ห้อเรฟลอน ไม่มีการนำเข้า หลังจีน-เวียดนาม สั่งเก็บออกจากชั้น ไม่นอนใจสั่งสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์ซ้ำ เฝ้าระวังเข้มด่านอาหารและยาทั่วประเทศ หวั่นสินค้าลักลอบเล็ดรอด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ประเทศจีนและเวียดนาม มีการสั่งเก็บสินค้าประเภทแชมพูและครีมอาบน้ำ สำหรับเด็กของบริษัท จอห์นสันแอนด์จอน์หสัน เพราะมีสารไดออกซิน (Dioxin)_ สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ปนเปื้อน และยาย้อมผมดำ ยี่ห้อเรฟลอน ซึ่งมีสารเมตะ - ฟีนิลีนไดแอมีน (m-phenylenediamine) ปนเปื้อน ออกจากชั้นจำหน่ายสินค้า เพราะเป็นสารก่อให้เกิดมะเร็งนั้น

ภก.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า จากการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของบริษัทดังกล่าว ที่นำมาขึ้นทะเบียนจำหน่ายในประเทศไทย พบว่า เป็นการนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย และไม่มีการรายงานว่าใช้สารไดออกซิน และฟอร์มาลดีไฮด์ ส่วนยาย้อมผมดำ ยี่ห้อเรฟลอน ไม่พบรายงานการนำเข้ามาในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สุ่มตรวจสินค้าที่จำหน่ายในประเทศอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย

ภก.วีรวรรณ กล่าวว่า สารไดออกซิน และ สารเมตะ - ฟีนิลีนไดแอมีน อยู่ในบัญชีสารต้องห้าม ไม่สามารถเติมลงในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ เพราะเป็นสารเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ก่อให้เกิดมะเร็ง และมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ รวมทั้งทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนัง ส่วนฟอร์มาลดีไฮด์ ถือเป็นสารควบคุมพิเศษ สามารถใช้เป็นวัตถุกันเสียได้ แต่ต้องเติมลงในผลิตภัณฑ์ตามที่กำหนด เช่นผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไป สามารถเติมได้ในปริมาณร้อยละ 0.2 ของปริมาณทั้งหมด และหากเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดฉีดพ่นในช่องปาก จะต้องไม่เกินร้อยละ 0.1 ของปริมาณทั้งหมด และเป็นสารชนิดหนึ่งที่อยู่ในยาทาเล็บ มีคุณสมบัติทำให้เล็บแข็ง แต่ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อที่สัมผัสได้ด้วย จึงเป็นสารที่ต้องจำกัดปริมาณให้อยู่ภายใต้การควบคุม

ที่ผ่านมา อย. มีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอไม่ให้เติมสารต้องห้ามลงไป และมีข้อตกลงระดับอาเซียนในเรื่องการเฝ้าระวังอันตรายจากสารต่างๆ หากประเทศสมาชิกพบสารที่เป็นอันตรายในผลิตภัณฑ์ จะต้องรายการให้ประเทศสมาชิกทราบเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันร่วมกัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจากประเทศจีน และเวียดนาม แต่จะเฝ้าระวังสินค้าในกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะด่านอาหารและยาทั่วประเทศ เพื่อความปลอดภัย เพราะแชมพูเป็นสินค้าประเภทที่ต้องสัมผัสบ่อยครั้งโดยเฉพาะเป็นสินค้าสำหรับเด็ก จึงไม่ควรปล่อยให้เสี่ยงเกิดอันตรายในระยะยาวขึ้น ภก.วีรวรรณ กล่าว

ภก.วีรวรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับการเลือกซื้อสินค้า อยากให้ผู้บริโภคเลือกสินค้าที่มีชื่อผู้ผลิต ผู้นำเข้า อย่างเสี่ยงซื้อสินค้าที่ไม่มีแหล่งที่มา เพราะอาจเสี่ยงกับสารที่เป็นอันตราย และไม่สามารถติดตามเอาผิดใครได้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ส่วนของปลอมที่ลักลอบจำหน่าย อย.มีการสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ตรวจวิเคราะห์ หาสารเจือปน ที่อาจเป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคควรสังเกตฉลาก และเลือกซื้อสินค้าจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และสามารถตรวจสอบได้กับสายด่วน อย. 1556 หากไม่มั่นใจ


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อ่าน:2979
ระวัง! เนื้อวัวดิบ อันตรายต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้
172.71.214.79: 2565/11/18 12:49:30
ระวัง! เนื้อวัวดิบ อันตรายต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้
เนื้อวัว เป็นเนื้อที่เราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่าสามารถกินดิบได้ เพราะเนื้อวัวนั้นไม่มีพยาธิแบบเนื้อหมู เนื้อไก่ ซึ่งบ้านเราก็มีเมนูเนื้อวัวดิบอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ลาบเนื้อวัว ซอยจุ๊ เมนูซาชิมิเนื้อวัวที่มีการหั่นจิ้มกับแจ่ว หลายคนก็อาจจะมีข้อสงสัยว่าตกลงแล้วการ กินเนื้อวัวดิบ นั้นปลอดภัยจริงเหมือนที่เคยเชื่อมาหรือไม่

Hello คุณหมอ จะพาทุกคนไปหาคำตอบของคำถามที่ว่า กินเนื้อวัวดิบปลอดภัยหรือไม่

เชื้อที่อาจปนเปื้อนมากับการกินเนื้อวัวดิบ
แม้ว่าการรับประทานเนื้อวัวดิบนั้นจะไม่มีความเสี่ยงเท่ากับการรับประทานเนื้อหมู เนื้อไก่ แต่เนื้อวัวดิบก็มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายปนเปื้อนมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น

ซาลโมเนลลา (Salmonella)
เป็นแบคทีเรียที่มักมีการปนเปื้อนมากับอาหาร ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยด้วยกัน 2 แบบคือ หนึ่งคือโรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมักจะมีอาการอาเจียน ท้องร่วง สองคือมีไข้ ปวดหัว บางครั้งก็อาจจะมีผื่นขึ้น

เชื้อลิสทีเรีย (Listeria)
เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้เป็นเชื้อที่มีความรุนแรงจนอาจทำให้เกิดอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เชื้อลิสทีเรียเป็นเชื้อที่มักทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบประสาท อย่างเช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในสมอง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ติดเชื้อนี้จะติดผ่านการรับประทานอาหาร ผู้ที่ติดส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอาการของผู้ที่ติดเชื้อชนิดนี้จะเพียงอาการไข้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือหากติดเชื้อรุนแรงอาจทำให้เกิดลำไส้อักเสบได้

เชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter)
เชื้อแคมไพโลแบคเตอร์เป็นเชื้อที่สามารถพบได้ในทางเดินอาหารของสัตว์ เช่น วัว หมู ไก่ เป็ด แพะ แกะ แมว สัตว์น้ำเค็ม แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบเชื้อชนิดนี้ในทางเดินอาหารของวัวและไก่ ซึ่งหากมีการปรุงเนื้อสัตว์ไม่สุกหรือดื่มน้ำนมดิบ ก็อาจมีการปนเปื้อนของแบคทีเรียชนิดนี้มาได้ หากร่างกายได้รับเชื้อชนิดนี้อาจทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ ซึ่งจะมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง มีไข้ บางครั้งอาจมีอาการถ่ายเป็นเลือดร่วมด้วย

เชื้ออีโคไล (E. coli)
เชื้ออีโคไลเป็นเชื้อที่สร้างสารพิษทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งคนนั้นสามารถติดเชื้อนี้ได้จากการรับประทานเนื้อดิบ เนื้อที่ปรุงไม่สุก หรือเนื้อที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ นอกจากติดโดยการรับประทานเนื้อดิบแล้วยังสามารถติดได้ผ่านการสัมผัสกับอุจจาระของสัตว์ที่มีเชื้อได้อีกด้วย โดยผู้ที่ได้รับเชื้อนี้ไปประมาณ 1-2 วัน จะมีอาการปวดท้อง เป็นตะคริว และมีอาการท้องร่วง บางครั้งอาจมีเลือดปน

วิธีการกินเนื้อวัวดิบอย่างปลอดภัย
เชื้อแบคทีเรียเป็นเชื้อโรคที่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอาหารเป็นพิษ ซึ่งวิธีเก่าแก่สำหรับการรับประทานเนื้อดิบอย่างปลอดภัยคือ การรับประทานเนื้อดิบที่มีความสด ไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน อย่างเช่น ในเลบานอน หากจะทำเมนู Kibbe จะต้องเชือดคอแกะแล้วนำเนื้อมาปรุงในทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย

อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณปลิดภัยสำหรับการบริโภคเนื้อดิบคือ เลือกซื้อในร้านที่มีความสะอาด ปลอดภัย มีมาตรฐานรับรอง เมื่อซื้อแล้ว ไม่ควรปล่อยทิ้งเนื้อไว้นอกตู้เย็นนานเกินไป ควรแช่ตู้เย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันการก่อตัวและการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตามการบริโภคเนื้อที่ปรุงสุกนั้นจะมีความปลอดภัยต่อสุขภาพมากที่สุด


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อ่าน:2958
ทุเรียน ราชาแห่งไม้ผล เน้นตลาดส่งออก
172.71.214.215: 2565/11/18 12:38:41
ทุเรียน ราชาแห่งไม้ผล เน้นตลาดส่งออก
ทุเรียน จัดเป็นราชาไม้ผล ที่ใครๆ ต่างยกให้เป็นที่หนึ่ง มีความต้องการในการบริโภคสูง อีกทั้งมีตลาดรองรับทั้งภายในประเทศและตลาดส่งออกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันพื้นที่ปลูกทุเรียนทั่วประเทศ มีประมาณ 1_199_895.64 ไร่ (ข้อมูลระบบสารสนเทศการผลิตทางด้านการเกษตร วันที่ 22 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565)

โดยทุเรียนมีแนวโน้มการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2564 ประเทศไทยมีการส่งออกทุเรียนสูงถึง 925,855 ตัน (ข้อมูล:กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร ข่าว : มิถุนายน 65) โดยประเทศจีนเป็นตลาดหลัก ตามด้วย ฮ่องกง เวียดนาม ไต้หวัน มาเลเซีย และอีกหลาย ๆ ประเทศ

ทุเรียนเกรดส่งออก คุณภาพดี

ทุเรียนเกรดส่งออกจะแบ่งเป็น เกรดเอ บี และซี สำหรับทุเรียนที่ตกเกรดจะไม่สามารถส่งออกได้ จึงจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น ดังนั้นพี่น้องชาวสวนทั้งมือเก่าและมือใหม่ควรให้ความสำคัญเรื่องการจัดการและพัฒนาการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพดี เกรดเอ มีจำนวน 4-5 พูเต็ม ตรงตามสเปคทุเรียนส่งออก เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชาวสวนทุเรียน

สวนทุเรียนคุณภาพ ที่มีการจัดการอย่างมืออาชีพ

เทคนิคการปลูกทุเรียนให้ได้คุณภาพดี อย่างมืออาชีพ

1. สภาพดินที่เหมาะกับการปลูกทุเรียน

ทุเรียนเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำขัง ดินที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกควรเป็นดินร่วนที่สามารถระบายน้ำได้ดี มีค่าความเป็นกรดด่าง(pH) ประมาณ 5.5 - 6.5 สำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตควรอยู่ในช่วง 25-30 องศาเซลเซียส โดยมีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศประมาณ 75 - 85 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ควรมีแหล่งน้ำที่เพียงพอในการเพาะปลูกตลอดปี การวางแปลงปลูกทุเรียน ระยะ 8x10 เมตร

2. การจัดเตรียมพื้นที่ และการดูแลต้นทุเรียนปลูกใหม่

การเตรียมพื้นที่ปลูกทุเรียนควรเริ่มจากการปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ หรือมีความลาดเอียงเล็กน้อย เพื่อให้ระบายน้ำได้ดี เนื่องจากต้นทุเรียนไม่ชอบน้ำขัง ส่วนระยะห่างระหว่างแถวที่เหมาะสมคือ 8X10 เมตร และระหว่างต้น (บนหลังเต่า) คือ 8X8 เมตร โดยการจัดระยะห่างแบบนี้ จะสามารถนำรถและเครื่องจักร รวมถึงเทคโนโลยีในการเพาะปลูกทางการเกษตรมาใช้ เพื่อทุ่นแรงและให้ง่ายต่อการทำงานมากยิ่งขึ้น

สำหรับทุเรียนปลูกใหม่ เมื่อเตรียมแปลงเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ปลูกแบบยกโคก เพื่อช่วยให้ต้นทุเรียนที่พึ่งลงปลูกใหม่โตเร็ว การปลูกแบบยกโคกคือ การพูนดินขึ้นให้สูงกว่าระนาบ จะช่วยให้รากของต้นทุเรียนอยู่ที่ดินชั้นบนๆ เมื่อใส่ปุ๋ยลงไปจะช่วยให้รากดูดซึมธาตุอาหารได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญจะช่วยให้น้ำระบายได้ดี ไม่ท่วมขังบริเวณโคนต้น ที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้ควรเตรียมวางแผนเรื่องระบบน้ำ ไปพร้อมกับการเตรียมพื้นที่ลงปลูก เพื่อง่ายต่อการจัดการ ส่วนในขั้นตอนการเลือกต้นกล้าทุเรียน ควรเลือกต้นที่มีระบบรากดี ไม่ขดงอหรืออยู่ในถุงเพาะชำเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ต้นทุเรียนโตช้า และควรสร้างร่มเงาหรือพรางแสงให้ต้นทุเรียนปลูกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงทุเรียนระยะต้นเล็กไม่ให้รับแสงมากจนเกินไป

สำหรับการบำรุงทุเรียนปลูกใหม่ ช่วงอายุระหว่าง 1-3 ปี แนะนำใส่ปุ๋ย สูตร 16-16-16 อัตรา 500 กรัม ต่อ 1 ต้น ใส่เดือนละครั้ง โดยสามารถใส่ปุ๋ยในอัตราที่เพิ่มขึ้น ตามการเจริญเติบโตของลำต้น และทรงพุ่ม เพื่อบำรุงให้ต้นทุเรียนสมบูรณ์

การบำรุงทุเรียนตามระยะการเจริญเติบโต

ขั้นตอนการบำรุงต้นทุเรียนทางดิน ให้ ทุเรียน ได้คุณภาพดี เกรดเอ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต

ระยะฟื้นต้นหลังเก็บผลผลิต และทำชุดใบให้ต้นทุเรียนสมบูรณ์

หลังจากเก็บผลผลิตทุเรียนเรียบร้อยแล้ว ต้องทำการฟื้นต้นให้สมบูรณ์ เนื่องจากต้นทุเรียนจะถูกดึงธาตุอาหารต่างๆ ไปใช้ในการเลี้ยงผล จึงจำเป็นต้องบำรุงต้นให้กลับมาสมบูรณ์ ก่อนเข้าสู่ระยะทำใบชุดแรก โดยจะทำใบทั้งหมด 3 ชุด โดยแต่ละชุด ใช้เวลาประมาณ 45 วัน เพื่อให้ต้นทุเรียนให้สมบูรณ์ที่สุด แนะนำใส่ปุ๋ย สูตร 16-16-16 อัตรา 1.5-2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 20-30 วัน เม็ดปุ๋ยละลายง่าย ช่วยฟื้นต้นได้ไว และทำให้ใบกว้าง ใบเขียวเข้มและเขียวนาน

ระยะสะสมอาหารในต้นทุเรียน

การบำรุงระยะที่ 2 เป็นระยะที่ต้นทุเรียนสะสมอาหาร โดยต้นจะสะสมอาหารไว้ เมื่อสภาพอากาศมีอุณภูมิที่เหมาะสม ความชื้นที่พอดี ต้นก็จะแตกตาดอก ถือเป็นช่วงสำคัญของการทำสวนทุเรียน จึงควรเน้นบำรุงธาตุฟอสฟอรัส(P) และธาตุโพแทสเซียม(K) พร้อมกันในระยะนี้ โดยแนะนำใส่ปุ๋ยสูตร 9-25-25 อัตรา 1.5-2 กิโลกรัม/ต้น ความถี่ทุกๆ 15-20 วัน เพื่อช่วยสะสมอาหาร เพิ่มความสมบรูณ์ของต้น ในการสร้างตาดอก และออกดอกที่สมบูรณ์ต่อไป

ระยะติดดอกของต้นทุเรียน

หลังจากที่ต้นแตกตาดอก ก็จะเข้าสู่ช่วงการติดดอกทุเรียน จะมีการเจริญเติบโตและพัฒนาหลายระยะในช่วงดอก เป็นช่วงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ อาจเกิดปัญหาดอกร่วง ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ ติดดอกไม่สมบูรณ์ พรืออากาศแปรปรวน แนะนำใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 9-25-25 อัตรา 1.5-2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 15-20 วัน เพื่อสะสมอาหาร ให้ต้นทุเรียน มีความสมบูรณ์ เพิ่มความแข็งแรง ให้ดอกทุเรียนมีการพัฒนาและเจริญเติบโตได้ดี

ระยะทุเรียนติดผลเล็ก (อายุ 30 วัน)

หลังจากที่ดอกทุเรียนมีการผสมเกสรเรียบร้อย ดอกทุเรียนจะเหลือแต่เกสรตัวเมียที่ติดอยู่ที่ต้น ปลายเกสรจะเริ่มแห้งเหมือนไหม้ หรือที่เรียกว่าดอกทุเรียนระยะหางแย้ จะเข้าสู่การติดผลเล็ก และจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนถึงระยะผลไข่ไก่ แนะนำเริ่มบำรุงเมื่อทุเรียนอายุ 30 วัน โดยใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-24 อัตรา 1.5-2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 15 วัน เพื่อช่วยบำรุงผลทุเรียนให้สมบูรณ์

ระยะทุเรียนขยายผล (อายุ 45-90 วัน)

ผลทุเรียนจะมีการเจริญเติบโตและพัฒนาใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนเข้าสู่ระยะกระป๋องนม ต้องเร่งการบำรุงโดยเน้นการขยายผล สร้างเนื้อ เบ่งพู ให้ทุเรียนมีคุณภาพ แนะนำใส่ปุ๋ยย สูตร 15-9-20 อัตรา 1.5-2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 15 วัน เพื่อพัฒนาให้เป็นทุเรียนเกรดเอ ได้ไซด์ ทรงสวย พูเต็มต่อไป

ระยะทุเรียนก่อนเก็บเกี่ยว (อายุ 90-120 วัน)

การบำรุงช่วงสุดท้ายก่อนทำการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นช่วงที่เน้นการบำรุงเพื่อเพิ่มคุณภาพให้ทุเรียน แนะนำใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24 อัตรา 1.5-2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 15 วัน เพื่อช่วยเรื่องรสชาติที่อร่อย การเข้าสีสวย พูเต็ม ได้น้ำหนักดี ตามที่ตลาดต้องการ

การปลูกทุเรียนให้ได้ผลผลิตเกรดเอ เน้นตลาดส่งออกเพื่อเพิ่มมูลค่านั้น ต้องมีการดูแลและเอาใจใส่ทุกขั้นตอนที่สำคัญ ตั้งแต่การเตรียมแปลง การดูแลต้นทุเรียนปลูกใหม่ ตลอดจนการบำรุงธาตุอาหารทางดินให้เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อให้ต้นได้นำไปเลี้ยงลูกทุเรียนได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้ทุเรียนเกรดเอ คุณภาพดี ตามที่ตลาดส่งออกต้องการ


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อ่าน:2970
รู้หรือยัง! การขอ อย. ขั้นตอนและหลักฐานที่สำคัญ
162.158.170.125: 2565/11/17 14:55:17
รู้หรือยัง! การขอ อย. ขั้นตอนและหลักฐานที่สำคัญ
การทำธุรกิจในปัจจุบันจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับ เรื่องของกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดก็ตามจะต้องมีกฏหมายและมีมาตรฐานของธุรกิจนั้นๆที่ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้เข้ามาหากำไรจากการขายสินค้าและบริการที่ไม่มีคุณภาพอันจะส่งผลเสียต่อภาพรวมของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในหมวดหมู่ของอาหารเราจะคุ้นหูและรู้จักกันดีกับหน่วยงานที่เรียกว่าสำนักคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขผู้มีหน้าที่ให้การรับรองแก่สินค้าประเภทอาหารในลักษณะของเครื่องหมาย อย.

คำถามคือว่าแล้วจำเป็นแค่ไหนที่หากเราจะทำธุรกิจอาหารขึ้นมาจะต้องขออนุญาติทุกครั้งไปหรือไม่ และเพื่อให้ทุกคนเข้าใจในเรื่องนี้ตรงกันจะพาทุกท่านไปดูทีละขั้นตอนกับบทนิยมแห่งคำว่าอาหารไปจนถึงขั้นตอนการขอใบอนุญาต เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินธุรกิจของทุกคน นิยามคำว่าอาหารตามพระราชบัญญัติ อาหาร ในพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 หมายถึง วัตถุทุกชนิดที่คนกิน ดื่ม หรือนำเข้าสู่ร่างการ แต่ ไม่รวมถึงยา วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท หรือยาเสพติดให้โทษ

นอกจากนี้อาหารยังรวมถึงวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอาหาร วัตถุเจือปนอาหาร สี เครื่องปรุงแต่งกลิ่นรสด้วย โดยปัจจุบันนี้ประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ได้รวมตัวกันเป็นชมรมหรือสหกรณ์ นำวัตถุดิบที่ได้จากการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเพื่อบริโภคหรือจำหน่ายเป็นการช่วยลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ เช่น เครื่องดื่มทำจากผลไม้ท้องถิ่น เครื่องดื่มจากสมุนไพร กะปิ น้ำปลา ขนมหวาน อาหารขบเคี้ยว เป็นต้น

ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะต้องสะอาด ปลอดภัย และมีคุณภาพหรือมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ผู้ผลิตอาจต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อนที่จะผลิตเพื่อจำหน่ายต่อไปซึ่งก็มีคำถามตามมาอีกว่าอ้าว! แล้วอาหารแบบไหนละที่ต้องขออนุญาตในการผลิต โดยในที่นี้ได้แบ่งไว้เป็น 2 หมวดหลักๆคือ 1.กลุ่มอาหารที่ไม่ต้องมีเครื่องหมาย อย. อาหารกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ไม่แปรรูปหรือถ้าแปรรูปก็จะใช้กระบวนการผลิตง่าย ๆ ในชุมชน ผู้บริโภคจะต้องนำมาปรุงหรือผ่านความร้อนก่อนบริโภค อาหารกลุ่มนี้ผู้ผลิตที่มีสถานที่ผลิตไม่เข้าข่าย โรงงาน (ใช้อุปกรณ์หรือเครื่องจักรต่ำกว่า 5 แรงม้า หรือคนงานน้อยกว่า 7คน) สามารถผลิตจำหน่ายได้โดยไม่ต้องมาขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด แต่ต้องแสดงฉลากอาหารที่ถูกต้องไว้ด้วย 2.กลุ่มอาหารที่ต้องมีเครื่องหมาย อย. อาหารกลุ่มนี้เป็นอาหารที่มีการแปรรูปเป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารสำเร็จรูปแล้ว ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในระดับต่ำ ปานกลางหรือสูง แล้วแต่กรณี ได้แก่

อาหารที่ต้องมีฉลาก อาหารกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน หรืออาหารควบคุมเฉพาะ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขออนุญาตสถานที่ผลิตอาหารและขอขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร หรือจดทะเบียนอาหาร หรือแจ้งรายละเอียดของอาหารแต่ละชนิดแล้วแต่กรณี ได้ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด

เอกสารสำคัญที่ต้องจัดเตรียมเพื่อขอจัดตั้งโรงงาน/สถานที่ผลิต สำเนาบัตรประชาชนผู้มีอำนาจ สำเนาทะเบียนบ้านผู้มีอำนาจ สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (เฉพาะกรณีเป็นนิติบุคลล) สำเนา ภพ.20 (เฉพาะกรณีเป็นนิติบุคคล) สำเนาทะเบียนบ้านของร้าน หรือบริษัท (กรณีที่อยู่ดังกล่าว ไม่ตรงกับที่อยู่ผู้มีอำนาจ) แผนที่ตั้งของร้าน หรือบริษัท แผนผังภายในร้าน หรือบริษัท ระบุ สถานที่ผลิต_ บรรจุ_ เก็บสินค้า ให้ชัดเจน สินค้าตัวอย่างพร้อม ฉลาก ภาพจาก goo.gl/aLQjA8 อัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตผลิตอาหาร ใช้คนงานตั้งแต่ 7 -19 คน โดยไม่ใช้เครื่องจักร จนถึงเครื่องจักรไม่ถึง 5 แรงม้า (เข้าข่ายโรงงาน) 3_000 บาท ใช้คนงานตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป โดยไม่ใช้เครื่องจักรจนถึงเครื่องจักรไม่ถึง 5 แรงม้า (เข้าข่ายโรงงาน) 5_000 บาท ใช้เครื่องจักรตั้งแต่ 5- 91 แรงม้า 6_000 บาท ใช้เครื่องจักรตั้งแต่ 10 -24 แรงม้า 7_000 บาท ใช้เครื่องจักรตั้งแต่ 25 – 49 แรงม้า 8_000 บาท ใช้เครื่องจักรที่มีกำลังตั้งแต่ 50 แรงม้า ขึ้นไป 10_000 บาท

สำหรับกรณีไม่เข้าข่ายโรงงาน ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น (ฟรี) หลักฐานสำคัญเพื่อใช้ขอรับเลขสารบบอาหาร (อย.) ใบจดทะเบียนอาหาร/แจ้งรายละเอียดอาหาร (แบบ สบ.5) จำนวน 2 ฉบับ สำเนาการได้รับอนุญาตตั้งสถานที่ผลิต ใบรับรองสถานที่ผลิตอาหารที่เทียบเท่าเกณฑ์ Primary GMP ภาพจาก goo.gl/kh2tba สรุป 4 ขั้นตอนการขอเครื่องหมาย อย. จัดเตรียมสถานที่ผลิตอาหารให้ได้ตามหลักเกณฑ์วิธีการผลิตที่ดี (GMP: GOOD MANUFACTURING PRACTICE) จัดเตรียมเอกสารโดยติดต่อขอข้อมูลได้ที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอที่เป็นที่ตั้งของสถานที่ผลิตอาหารทุกแห่ง ยื่นเอกสารขออนุญาตตั้งสถานที่ผลิตอาหาร พร้อมนัดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อตรวจสถานที่ ยื่นขอเอกสารอนุญาตขอรับเลขสารบบ 13 หลัก (เลข อย.) ตามแต่ชนิดของผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่ม ได้แก่ อาหารควบคุมเฉพาะ_ อาหารที่กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน และอาหารที่ต้องมีฉลาก สถานที่ยื่นคำขออนุญาต

ในกรณีสถานที่ผลิตตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำขอที่ศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จ (0ne stop service center )สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรณีสถานที่ผลิตตั้งอยู่ต่างจังหวัดให้ยื่นคำขอ ณ สำนักงานสาธารณสุขในจังหวัดนั้นๆ นี่คือเรื่องพื้นฐานในทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่สันทัดในการเดินเอกสารก็มีหลายบริษัทที่เข้าทำหน้าที่รับดำเนินการแทน แต่เราก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางที่ดีเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากทำเองก็จะช่วยลดต้นทุนได้ดีกว่าสำคัญคือสินค้าเรามีคุณภาพสถานที่ผลิตได้มาตรฐานทุกอย่างก็ผ่านอนุมัติง่ายและเร็วแน่นอน แต่สำหรับท่านใดที่มองว่าอยากเริ่มธุรกิจแบบที่ไม่ต้องยุ่งยากไม่ต้องขอจดทะเบียนให้วุ่นวายก็อาจจะเลือกลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์ซึ่งเรามีให้เลือกมากมายตามความต้องการของทุกท่าน

ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
อ่าน:2952
ตรวจสอบได้อย่างไร? ผลิตภัณฑ์กัญชา ที่เป็น กัญชาถูกกฎหมาย
172.70.143.86: 2565/11/17 14:41:25
ตรวจสอบได้อย่างไร? ผลิตภัณฑ์กัญชา ที่เป็น กัญชาถูกกฎหมาย
เมื่อ กัญชา และ กัญชง ถูกปลดล็อคออกจากทะเบียนยาเสพติด จากนี้ไปเราน่าจะเห็นผลิตที่มาจากกัญชาหลากหลายชนิด

แม้ในวันนี้ผู้ปลูกกัญชาจะไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องจดแจ้งผ่านระบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ปลูกกัญ ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ถึงเช่นนั้น สำหรับผู้ที่ต้องการผลิต ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากกัญชาและกัญชง ก็ยังต้องมีการขออนุญาตขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรกัญชา ที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบอยู่เช่นเดิม

สำหรับผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ก็ย้ำเตือนว่า ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาที่ลักลอบผลิตหรือนำเข้าเนื่องจากมีความเสี่ยงอันตรายด้านสุขภาพ และการได้รับกัญชาจากแหล่งที่ผิดกฎหมายอาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ดังนั้นจึงควร ตรวจสอบผลิตภัณฑ์กัญชา ที่จะใช้ก่อน

ทั้งนี้เพราะผลิตภัณฑ์กัญชาที่ลักลอบผลิตหรือนำเข้าส่วนใหญ่ไม่ทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ไม่ได้ระบุสถานที่ผลิต ไม่ได้ระบุความเข้มข้นหรือปริมาณสารออกฤทธิ์ที่ชัดเจน การผลิตไม่เป็นไปตามหลักการผลิตที่ดี ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ อีกทั้งอาจปนเปื้อนสารกำจัดศัตรูพืช โลหะหนัก เชื้อรา จุลินทรีย์ หรือสารปนเปื้อนอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ ซึ่งแตกต่างจากผลิตภัณฑ์กัญชาที่ถูกกฎหมายซึ่งมีมาตรฐานการผลิตเป็นไปตามข้อกำหนดที่เข้มงวด และมีความสม่ำเสมอในทุกรุ่นการผลิต

วิธีตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์กัญชา
ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตและจำหน่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย จะมี 2D Barcode กำกับบนฉลากที่ติดอยู่บนภาชนะบรรจุ และมีรหัสบ่งชี้ที่เป็นหมายเลขของแต่ละหน่วยภาชนะบรรจุที่ไม่ซ้ำกันเลยเรียกว่า Serial Number

ผู้ป่วยสามารถตรวจสอบได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตถูกกฎหมายหรือไม่ โดยการสแกน 2D Barcode ผ่านทาง Smartphone โดย ดาวน์โหลด แอพพลิเคชั่น gs1 smartbar ทั้งระบบ IOS และ Androids ซึ่งหากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายระบบจะแสดงรูปภาพและข้อมูลรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ หากเป็นผลิตภัณฑ์ไม่ถูกต้องตาม กฎหมาย ระบบจะแสดงข้อมูลเป็นสีแดง กรุณาแจ้งสำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยาเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

แนะใช้ กัญชาทางการแพทย์
นอกจากนี้ เฟสบุ๊คกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยังให้คำแนะนำในการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์เพื่อความปอลดภัยของผู้ป่วยได้แก่

1.รักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์ก่อน

2.ไม่ใช้หากอายุน้อย แนะนำอายุมากกว่า 25 ปี

3.ใช้กัญชาอัตราส่วน CBD: THC สูง

4.ไม่ใช้กัญชาสังเคราะห์

5.ไม่ใช้การสูบแบบเผาไหม้

6.หากสูบ ไม่อัดควันเข้าปอด

7.ใช้อย่างระวัง

8.งดขับรถ

9.งดใช้ หากในครอบครัวมีประวัติจิตเวช

10. หลีกเลี่ยงการใช้ หากมีปัจจัยเสี่ยง


ข้อมูลจาก http://ไปที่..link..
ตรวจสอบได้อย่างไร? ผลิตภัณฑ์กัญชา ที่เป็น กัญชาถูกกฎหมาย
อ่าน:2915
3480 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 348 หน้า, หน้าที่ 349 มี 0 รายการ
|-Page 213 of 349-| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | 39 | 40 | 41 | 42 | 43 | 44 | 45 | 46 | 47 | 48 | 49 | 50 | 51 | 52 | 53 | 54 | 55 | 56 | 57 | 58 | 59 | 60 | 61 | 62 | 63 | 64 | 65 | 66 | 67 | 68 | 69 | 70 | 71 | 72 | 73 | 74 | 75 | 76 | 77 | 78 | 79 | 80 | 81 | 82 | 83 | 84 | 85 | 86 | 87 | 88 | 89 | 90 | 91 | 92 | 93 | 94 | 95 | 96 | 97 | 98 | 99 | 100 | 101 | 102 | 103 | 104 | 105 | 106 | 107 | 108 | 109 | 110 | 111 | 112 | 113 | 114 | 115 | 116 | 117 | 118 | 119 | 120 | 121 | 122 | 123 | 124 | 125 | 126 | 127 | 128 | 129 | 130 | 131 | 132 | 133 | 134 | 135 | 136 | 137 | 138 | 139 | 140 | 141 | 142 | 143 | 144 | 145 | 146 | 147 | 148 | 149 | 150 | 151 | 152 | 153 | 154 | 155 | 156 | 157 | 158 | 159 | 160 | 161 | 162 | 163 | 164 | 165 | 166 | 167 | 168 | 169 | 170 | 171 | 172 | 173 | 174 | 175 | 176 | 177 | 178 | 179 | 180 | 181 | 182 | 183 | 184 | 185 | 186 | 187 | 188 | 189 | 190 | 191 | 192 | 193 | 194 | 195 | 196 | 197 | 198 | 199 | 200 | 201 | 202 | 203 | 204 | 205 | 206 | 207 | 208 | 209 | 210 | 211 | 212 | 213 | 214 | 215 | 216 | 217 | 218 | 219 | 220 | 221 | 222 | 223 | 224 | 225 | 226 | 227 | 228 | 229 | 230 | 231 | 232 | 233 | 234 | 235 | 236 | 237 | 238 | 239 | 240 | 241 | 242 | 243 | 244 | 245 | 246 | 247 | 248 | 249 | 250 | 251 | 252 | 253 | 254 | 255 | 256 | 257 | 258 | 259 | 260 | 261 | 262 | 263 | 264 | 265 | 266 | 267 | 268 | 269 | 270 | 271 | 272 | 273 | 274 | 275 | 276 | 277 | 278 | 279 | 280 | 281 | 282 | 283 | 284 | 285 | 286 | 287 | 288 | 289 | 290 | 291 | 292 | 293 | 294 | 295 | 296 | 297 | 298 | 299 | 300 | 301 | 302 | 303 | 304 | 305 | 306 | 307 | 308 | 309 | 310 | 311 | 312 | 313 | 314 | 315 | 316 | 317 | 318 | 319 | 320 | 321 | 322 | 323 | 324 | 325 | 326 | 327 | 328 | 329 | 330 | 331 | 332 | 333 | 334 | 335 | 336 | 337 | 338 | 339 | 340 | 341 | 342 | 343 | 344 | 345 | 346 | 347 | 348 | 349 |
ป้องกัน กำจัด รักษา โรคแอนแทรคโนสใน มะลิ
Update: 2563/12/03 08:49:14 - Views: 3663
มังคุด โตไว ใบเขียว ผลใหญ่ แข็งแรง ผลผลิตดี อะมิโนโปรตีนจำเป็นสำหรับพืช 18 ชนิด อะมิโนแรปเตอร์ โดย ไดโนเร็กซ์
Update: 2566/04/06 14:46:09 - Views: 3015
ปัญหาส้มใบเหลือง แก้ได้ง่ายๆ ด้วยปุ๋ยสตาร์เฟอร์
Update: 2567/03/15 14:03:18 - Views: 82
ข้าวดีด ข้าวเด้ง ข้าวปน ข้าววัชพืช
Update: 2564/05/12 23:34:53 - Views: 3751
ควบคุม ป้องกัน กำจัด แมลงศัตรูพืช และโรคพืช ที่ติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ
Update: 2563/11/05 09:37:56 - Views: 3998
แก้วมังกร เปลือกเน่า ราสนิม โรคเชื้อราในแก้วมังกร กำจัดด้วย ไอเอส
Update: 2562/08/12 20:29:17 - Views: 3633
ไม้ดอกเป็นโรค ไม้กระถางเป็นโรค ลักษณะอาการโรค ของไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้กระถาง
Update: 2564/04/10 11:02:37 - Views: 4305
คุยกับคุณวินน์ สุทธิเดช ผู้บริหาร ICD มุกดาหาร และวอวิศโฮม อำนาจเจริญ - Piyamas Live ปิยะมาศ บัวแก้ว
Update: 2563/05/31 20:49:58 - Views: 3366
ฮิวมิค แอซิด ฟาร์มิค: ฟื้นฟูระบบรากและเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของต้นโกโก้
Update: 2567/02/13 09:43:44 - Views: 108
ผักคะน้า กล้าเน่า
Update: 2564/04/27 17:07:08 - Views: 3476
การใช้คาร์รอน (Diuron 80% WG) เพื่อกำจัดหญ้าและวัชพืชในสวนยางพารา
Update: 2567/02/13 09:14:11 - Views: 106
ยาแก้โรคกะหล่ำปลี โรคกะหล่ำปลีเน่าคอดิน โรคราน้ำค้าง ยากำจัดหนอนกะหล่ำปลี ยาแก้เพลี้ยกะหล่ำปลี และปุ๋ยสำหรับกะหล่ำปลี
Update: 2563/06/22 21:49:36 - Views: 3790
อยากเป็นเจ้าของแบรนด์ ยาดมสมุนไพร ไม่ยากอย่างที่คิด
Update: 2565/09/10 21:19:28 - Views: 3644
การปลูกแมคคาเดเมีย Macadamia
Update: 2564/04/04 09:47:22 - Views: 3816
แก้โรคทุเรียนใบไหม้ ทุเรียนใบติด รักษาอาการทุเรียนใบไหม้ โรคใบติดทุเรียน ด้วยการฉีดพ่น ยับยั้งการระบาดของเชื้อรา
Update: 2563/07/02 14:34:05 - Views: 3697
คุณปริม ปิยะมาศ บัวแก้ว ร่วมพิธีลงนาม MOU รับซื้อโก้โก้ และ มะม่วงเบา ผู้ประกอบการอำนาจและ 2 บริษัทใหญ่
Update: 2562/08/31 10:00:52 - Views: 3800
โรคราแป้ง ราน้ำค้าง โรคใบไหม้ เกิดได้กับหลายพืช เร่งควบคุม ป้องกัน กำจัด ลดความเสียหายต่อพืช
Update: 2566/11/04 09:41:04 - Views: 6053
คู่มือโรคมะพร้าว แนวทางการป้องกันและกำจัดโรคเชื้อรา ที่เกิดขึ้นกับต้นมะพร้าว
Update: 2566/04/30 07:17:35 - Views: 3138
มันสำปะหลังใบไหม้ โรคใบไหม้มันสำปะหลัง มีอาการใบจุดเหลี่ยมฉ่ำน้ำ ใบไหม้ และใบเหี่ยว มียางไหล ยอดแห้ง ยอดเหี่ยว
Update: 2563/06/14 13:33:53 - Views: 3577
ต่างชาติเมิน เปิดศูนย์วิจัยในไทย ชี้รัฐไม่หนุนลงทุนศึกษา-สลดอีก 168ปี ถึงตามเกาหลีทัน
Update: 2563/06/25 16:26:13 - Views: 3667
GA4 © FarmKaset.ORG | สถาบันอนุญาโตตุลาการ : 2022