ปุ๋ยกระเจี๊ยบเขียว FK-1
(ใช้ได้กับทุกพืชเช่นกัน)
ปุ๋ยตรา FK ถูกออกแบบมา เพื่อป้อน ธาตุหลัก(Primary nutrient) ธาตุรอง(Secondary nutrient) ธาตุเสริม(Micronutrient) ให้กับ
กระเจี๊ยบเขียว โดยตรง
ส่งผลให้ กระเจี๊ยบเขียว ตอบสนองต่อการได้รับธาตุอาหารโดยทันที ไนโตรเจนเพิ่มความเขียว เร่งการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ให้กับกระเจี๊ยบเขียว สารสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ เพิ่มการสังเคราะห์แสง ขยายระบบรากกระเจี๊ยบเขียว
ส่งเสริมการออกดอก ด้วย ฟอสฟอรัส ส่งเสริมกระบวนการสร้างผลผลิตให้สูงขึ้น ด้วยโพแทสเซียม และธาตุรองธาตุเสริมที่จำเป็นสูง ต่อกระเจี๊ยบเขียว อย่าง แมกนีเซียม และซิงค์
พิจารณากราฟ
FK-1 ปุ๋ยสำหรับกระเจี๊ยบเขียว ที่มีความเข้มข้นสูง ประกอบด้วย ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ซิงค์
และสารลดแรงตึงผิว เป็นเหตุผลที่ทำให้ในช่วงวันที่ 1-7 ตามกราฟด้านล่าง
ปุ๋ยตรา FK (เส้นสีส้มบนรูปกราฟ)
มีประสิทธิภาพการทำงาน ให้ธาตุอาหารพืชกับกระเจี๊ยบเขียว ได้สูงกว่าปุ๋ยเคมีทั่วไป (เส้นสีม่วงในกราฟ)
จุดอ่อนของปุ๋ยเคมีทั่วไป
ถึงแม้ปุ๋ยเคมีจะปลดปล่อยธาตุอาหารได้อย่างรวดเร็วกว่าปุ๋ยอินทรีย์ แต่ในทางกลับกัน ธาตุอาหารจะหมดไปอย่างรวดเร็ว จากกราฟ จะสังเกตุได้ว่า
ในวันที่ 14 ปุ๋ยเคมีได้ปลดปล่อยธาตุอาหารหมดไปแล้ว แต่ในส่วนของ ปุ๋ยอินทรีย์ ยังคงให้อาหารกับกระเจี๊ยบเขียวที่ปลูกได้อย่างต่อเนื่อง
ปุ๋ยสำหรับกระเจี๊ยบเขียว FK ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้
ธาตุรอง และธาตุเสริม จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระเจี๊ยบเขียว
และถูกดึงออกจากดินในทุกๆรอบการปลูกกระเจี๊ยบเขียว ซึ่งปุ๋ยทั่วๆไป ไม่เคยเติมธาตุเหล่านี้ ซึ่งธาตุรองธาตุเสริมที่ขาด
จะเป็นข้อจำกัดการเจริญเติบโตของกระเจี๊ยบเขียว เนื่องจาก
“กระเจี๊ยบเขียวจะเจริญเติบโตได้มากที่สุด เท่ากับธาตุอาหารที่มีต่ำที่สุด” ตามกฎ “Law of the minimum
โปรดศึกษาต่อในวรรคท้ายสุด” ปุ๋ยตรา FK ประกอบด้วย ธาตุรอง ธาตุเสริม ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระเจี๊ยบเขียว
จึงทำให้กระเจี๊ยบเขียวเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
เพราะไม่เกิดอาการขาดธาตุ ซึ่งบางอย่าง เป็นธาตุที่ปุ๋ยอินทรีย์ไม่สามารถให้ได้
การใช้งาน
🫗ใช้ได้ 2 วีธี ฉีดพ่นทางใบ หรือราดลงโคน เพื่อเร่งการเจริญเติบโต เสริมสร้างภูมิต้านทาน
💦อัตราผสมใช้ FK-1
» เมื่อแกะกล่อง FK-1 จะพบ 2 ถุง บรรจุถุงละ 1กิโลกรัม
» ต้องผสมทั้งสองถุงใช้พร้อมกัน (ถุงแรกเป็นธาตุหลัก ถุงที่สองเป็นธาตุเสริม)
» ตักถุงแรก 25-50กรัม ถุงที่สอง 25-50กรัม ผสมลงในน้ำ 20ลิตร ฉีดพ่นพืช
» (25กรัม เท่ากับประมาณ 2ช้อนโต๊ะ)
Law of the Minimum (กฎต่ำสุด)
พืชจะถูกจำกัดการโต ด้วยธาตุอาหารที่มีต่ำสุด
ไม่ว่าจะให้ปุ๋ยมากแค่ไหน พืชจะโตได้เท่ากับ ธาตุหลัก ธาตุรอง ที่ไม่เคยให้กับพืชและดิน ธาตุอาหารที่มีอยู่น้อยที่สุด จะจำกัดการโตของพืช ใส่ปุ๋ยไปมากเท่าไร ก็ยังไม่ได้ผล
ปุ๋ยตรา FK จากฟาร์มเกษตร เราตระหนักถึงเรื่อง Law of the Minimum หรือ กฎต่ำสุด จึงออกแบบปุ๋ยตรา FK ใน 1 กล่อง ให้ประกอบด้วย สองถุง ด้านใน
คือ ปุ๋ยธาตุหลักหนึ่งถุง และ F1 ธาตุรอง ธาตุเสริม อีกหนึ่งถุง ที่ผ่านการคำนวณสัดส่วนเพื่อผสมใช้ไปพร้อมกันได้อย่างลงตัว เพื่อนำพาพืชทุกชนิด ให้เจริญเติบโต
ด้วยธาตุหลัก ธาตุรองที่ครบถ้วน เมื่อพืชได้รับธาตุอาหารอย่างเหมาะสม จึงเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ให้ผลผลิตที่ดี
นักวิทยาศาสตร์ที่สามารถลบล้างทฤษฎีฮิวมัสได้สำเร็จคือ จุสตุส ฟอน ลีบิก (Justus von Liebig, ค.ศ. 1803-1873) ชาวเยอรมัน ลีบิกมีความคิดว่า
ปัจจัยที่ควบคุมการเจริญเติบโตของพืชคืออาหารแร่ธาตุต่าง ๆ จึงได้ตั้งทฤษฎีขึ้นมาใหม่แทนทฤษฎีฮิวมัส คือ “ Law of the minimum” ซึ่งมีใจความว่า
เมื่อพืชได้รับธาตุอาหารที่จำเป็นเพียงพอแล้วทุกธาตุยกเว้นธาตุหนึ่งซึ่งยัง ขาดอยู่หรือยังมีไม่เพียงพอ ธาตุนั้นจะเป็นตัวจำกัดการเจริญเติบโตของพืช
ทฤษฎีของลีบิกนี้ยังได้รับความเชื่อถือมาตราบจนทุกวันนี้และเป็นที่ยอมรับ กันทั่วโลก มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพียงเล็กน้อยเท่านั้นลีบิก มีแนวคิดว่า
การแนะนำการใส่ปุ๋ยให้กับพืช (Fertilizer recommendation) สามารถทำได้โดยการวิเคราะห์หาธาตุที่เป็นส่วนประกอบของพืช แล้วใส่ธาตุเหล่านั้นลงไปในดิน
เขาเป็นบุคคลแรกที่คิดทำปุ๋ยเคมีขึ้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากปุ๋ยที่เขาผสมขึ้นในครั้งนั้นเป็นสารประกอบ ที่ไม่ละลายน้ำ
ผลการทดลองที่สำคัญของ ลีบิกสามารถสรุปได้ดังนี้
1) ยืนยันว่าคาร์บอนในพืชมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ
2) ไฮโดรเจนและออกซิเจนในพืชมาจากน้ำ
3) พืชต้องการโลหะที่เป็นด่าง (alkaline metals) เพื่อสะเทิน (nutralize) กรดที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเมตาโบลิซึมในพืช (metabolic activities)
4) ฟอสเฟตจำเป็นสำหรับการสร้างเมล็ดของพืช
5) พืชดูดแร่ธาตุต่าง ๆ ในดินโดยไม่เลือกชนิด แล้วเลือกใช้เฉพาะธาตุที่จำเป็นเท่านั้นส่วนที่ไม่จำเป็นจะถูกขับ (excretes) ออกมาทางราก
6) พืชได้รับไนโตรเจนในรูปของแอมโมเนียมไอออน (NH4+) ทั้งจากดิน ปุ๋ยอินทรีย์ และอากาศ
7) พืชจะปลดปล่อยกรดแอซีติก (acetic acid) ออกมาทางราก
จะเห็นได้ว่าข้อสรุปของลีบิกนั้นไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด เช่น ข้อสรุปที่ว่ารากพืชจะปลดปล่อยกรดแอซีติกออกมาและพืชได้รับไนโตรเจนในรูปของ
แอมโมเนียมไอออนทั้งจากดิน ปุ๋ยอินทรีย์และอากาศ เป็นต้น