พิมพ์คำค้นหา หรือลองคลิกตัวอย่าง >
มันสำปะหลัง
,
ข้าว
,
อ้อย
,
ทุเรียน
,
กัญชา
,
ข้าวโพด
,
ปาล์ม
,
ยางพารา
,
อินทผลัม
,
โรคใบไหม้
,
ราสนิม
,
เพลี้ย
,
ยาแช่ท่อนพันธุ์
+ โพสเรื่องใหม่ |
^ เลือกหน้า |
All contents
3569 เรื่อง หน้าละ 10 รายการ 356 หน้า, หน้าที่ 357 มี 9 รายการ
ฮิวมิค (Humic substances) มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของทุเรียนในหลายด้าน
ฮิวมิค (Humic substances) เป็นสารอินทรีย์ที่เกิดจากการสลายตัวของพืชและสัตว์ในดิน ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของทุเรียนในหลายด้าน โดยฮิวมิคมีคุณสมบัติที่สำคัญในการปรับปรุงคุณภาพดินและส่งเสริมพืช ดังนี้:
### 1. **ปรับปรุงโครงสร้างดิน** ฮิวมิคช่วยเพิ่มความโปร่งและการระบายน้ำในดิน ทำให้ดินมีโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของรากทุเรียน ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมผัสของรากกับธาตุอาหารในดิน
### 2. **เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำ** ฮิวมิคช่วยให้ดินเก็บรักษาน้ำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งหรือพื้นที่ที่มีความชื้นต่ำ ส่งผลให้ทุเรียนสามารถรับน้ำได้อย่างเพียงพอ ช่วยลดความเครียดจากการขาดน้ำ
### 3. **เพิ่มการดูดซึมธาตุอาหาร** ฮิวมิคมีความสามารถในการจับและปล่อยธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืช เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ทำให้ทุเรียนได้รับสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการออกดอกติดผล
### 4. **กระตุ้นการเจริญเติบโตของราก** ฮิวมิคกระตุ้นการพัฒนาของรากฝอย ช่วยให้รากทุเรียนแผ่ขยายและดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อความแข็งแรงของต้นและผลผลิตที่เพิ่มขึ้น
### 5. **เพิ่มความต้านทานต่อโรคและแมลง** ดินที่มีฮิวมิคสูงช่วยสร้างสมดุลในระบบนิเวศของดิน ทำให้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เจริญเติบโตได้ดี ซึ่งช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงที่เป็นศัตรูพืช
### 6. **ส่งเสริมการออกดอกและผลผลิต** การใช้ฮิวมิคอย่างเหมาะสมช่วยปรับปรุงคุณภาพของดอกและผล เช่น ขนาดของผลทุเรียน เนื้อสัมผัส และรสชาติ ช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาด
### การใช้งานฮิวมิคในสวนทุเรียน - **รูปแบบการใช้:** ฮิวมิคสามารถใช้ได้ในรูปของผงละลายน้ำ หรือฮิวมิคเหลว - **วิธีการใช้:** ผสมฮิวมิคในน้ำแล้วฉีดพ่นบริเวณโคนต้น หรือใช้ร่วมกับระบบน้ำหยด - **ปริมาณที่เหมาะสม:** ใช้ตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร
### สรุป ฮิวมิคเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มคุณภาพดิน ส่งเสริมการเจริญเติบโตของราก และช่วยเพิ่มผลผลิตของทุเรียน การใช้ฮิวมิคอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องสามารถช่วยให้เกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและผลกำไรได้อย่างยั่งยืน |
คาดการณ์ราคารับซื้อมะพร้าวในประเทศไทย ปี 2568
**ราคารับซื้อมะพร้าว** ในปี 2568 ราคารับซื้อมะพร้าวในประเทศไทยคาดว่าจะยังคงผันผวนจากปัจจัยหลายด้าน เช่น ผลผลิตภายในประเทศ ความต้องการบริโภค และสถานการณ์ตลาดโลก โดยในปีที่ผ่านมา ราคามะพร้าวน้ำหอมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-15 บาทต่อลูกสำหรับราคาหน้าสวน ซึ่งราคานี้อาจเพิ่มขึ้นได้หากความต้องการในตลาดส่งออกสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากจีนและประเทศในอาเซียน.
**ปริมาณผลผลิตและมูลค่าตลาดในประเทศ** ปริมาณผลผลิตมะพร้าวในประเทศไทยยังมีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอมซึ่งได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันผลผลิตต่อปีอยู่ที่ประมาณ 15-16 ล้านลูกในบางพื้นที่ที่ปลูกเฉพาะ เช่น สมุทรสาคร และราชบุรี ในส่วนของตลาดภายในประเทศ มะพร้าวยังคงมีมูลค่ามากกว่า 30% ของการผลิตรวม โดยมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำมะพร้าว น้ำกะทิ และผลิตภัณฑ์ความงาม.
**มูลค่าการส่งออก** การส่งออกมะพร้าวในปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 128% โดยในปี 2565 มูลค่าการส่งออกแตะ 17_748 ล้านบาท คาดว่าปี 2568 การส่งออกจะเพิ่มขึ้นอีกจากการเติบโตของความต้องการในตลาดจีนและประเทศอื่น ๆ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเลเซีย การคาดการณ์มูลค่าการส่งออกอาจสูงถึง 20_000 ล้านบาท หากการพัฒนาคุณภาพและการขยายตลาดเป็นไปตามแผน.
การลงทุนในด้านการพัฒนาพันธุ์มะพร้าว และการบริหารจัดการระบบการเกษตรสมัยใหม่ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตและการส่งออกมะพร้าวไทยได้ในระยะยาว. |
คาดการณ์ราคารับซื้อกาแฟในประเทศไทย ปี 2568
ราคาเมล็ดกาแฟในประเทศไทยมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณผลผลิตในประเทศและความต้องการตลาดโลกคงที่ โดยกาแฟพันธุ์โรบัสตาในภาคใต้ของไทยยังคงเป็นแหล่งผลิตสำคัญ คาดว่าราคาจะอยู่ในช่วง 60-80 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับคุณภาพและฤดูกาลการเก็บเกี่ยว
**ปริมาณการใช้กาแฟในประเทศ** การบริโภคกาแฟในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการใช้เมล็ดกาแฟในอุตสาหกรรมแปรรูปประมาณ 90_000 ตันต่อปี โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% ต่อปี จากความนิยมในกาแฟพิเศษ (specialty coffee) และกาแฟแปรรูปที่เติบโตในตลาดผู้บริโภค
**มูลค่าตลาดกาแฟในประเทศ** มูลค่าตลาดกาแฟในประเทศไทยครอบคลุมทั้งการผลิต การแปรรูป และการบริโภคในประเทศ โดยในปี 2566 มีมูลค่าการนำเข้ากาแฟรวมกว่า 338 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 11_000 ล้านบาท) ซึ่งมาจากการนำเข้ากาแฟดิบ กาแฟคั่ว และกาแฟสำเร็จรูป
**ปริมาณและมูลค่าการส่งออก** ในปี 2566 ไทยส่งออกกาแฟรวม 125.89 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4_200 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นการส่งออกกาแฟดิบ 255.18 ตัน มูลค่า 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐ_ กาแฟคั่ว 243.23 ตัน มูลค่า 2.75 ล้านเหรียญสหรัฐ_ และกาแฟสำเร็จรูป 24_517.72 ตัน มูลค่า 120.95 ล้านเหรียญสหรัฐ แนวโน้มการส่งออกในอนาคตคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มกาแฟสำเร็จรูปที่เป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศ
สำหรับปี 2568 ทั้งปริมาณการใช้ในประเทศและการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความนิยมในกาแฟไทยและการปรับตัวของผู้ผลิตในการตอบสนองตลาดโลก. |
คาดการณ์ ราคารับซื้อ สับปะรด และ การส่งออกสับปะรด ปี 2568
ในปี 2566 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสับปะรดรายใหญ่ของโลก โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย จีน และสิงคโปร์ โดยข้อมูลระบุว่าราคาส่งออกเฉลี่ยของสับปะรดไทยในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ **811 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน** หรือประมาณ **28_000 บาทต่อตัน** (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ)
### ปริมาณและมูลค่าการส่งออกในปี 2568 (คาดการณ์) 1. **ปริมาณการส่งออก**: หากพิจารณาจากข้อมูลการส่งออกในปี 2566 ที่ประเทศไทยส่งออกสับปะรดมากกว่า 95% ของผลผลิตรวมทั้งหมด คาดการณ์ว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะยังคงมีปริมาณการส่งออกใกล้เคียงกับปัจจุบัน โดยขึ้นอยู่กับผลผลิตรวมประจำปี ซึ่งมีปัจจัยสำคัญจากสภาพภูมิอากาศและความต้องการในตลาดโลก
2. **มูลค่าการส่งออก**: หากราคาส่งออกเฉลี่ยในปี 2568 ไม่เปลี่ยนแปลงมาก คาดว่ามูลค่าการส่งออกสับปะรดของไทยในปีดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณ **30_000 ล้านบาท** ต่อปี โดยพิจารณาจากปริมาณผลผลิตและราคาตลาดที่ค่อนข้างคงที่
### แนวโน้มตลาดในประเทศและส่งออก - ความต้องการสับปะรดสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น สับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดในตลาดต่างประเทศยังคงสูง โดยเฉพาะในจีนและกลุ่มประเทศยุโรป - การพัฒนาด้านการเก็บเกี่ยวและกระบวนการผลิต รวมถึงการลดต้นทุนการขนส่ง จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของไทย |
แนวโน้มปาล์มน้ำมันในประเทศไทย ปี 2568 (2025)
1. **ราคาผลปาล์มสด** แนวโน้มราคาผลปาล์มสดในปี 2568 คาดว่าจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่: - **ความต้องการในประเทศ**: การใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงานชีวภาพ (ไบโอดีเซล) ยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายที่สนับสนุนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล B10 และ B20 - **ความต้องการส่งออก**: ประเทศผู้นำเข้าหลัก เช่น อินเดีย จีน และยุโรป มีแนวโน้มเพิ่มความต้องการน้ำมันปาล์มในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิต - **ราคาตลาดโลก**: หากราคาน้ำมันดิบโลกยังคงสูง ความต้องการน้ำมันปาล์มสำหรับพลังงานชีวภาพจะเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อราคาผลปาล์มในประเทศ
ราคาผลปาล์มสดในปี 2568 คาดว่าอาจอยู่ในช่วง **4.50-5.50 บาทต่อกิโลกรัม** ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพผลผลิตและอัตราการสกัดน้ำมัน
2. **มูลค่าการส่งออก** - คาดว่าการส่งออกน้ำมันปาล์มจะมีมูลค่าประมาณ **40_000-45_000 ล้านบาท** เนื่องจากความต้องการน้ำมันปาล์มดิบและผลิตภัณฑ์แปรรูปเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงานของอินเดียและจีน - มาตรฐานด้านความยั่งยืน เช่น RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) จะกลายเป็นข้อกำหนดที่สำคัญในตลาดส่งออก โดยไทยจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานนี้
3. **มูลค่าตลาดในประเทศ** - ตลาดในประเทศคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ **70_000-80_000 ล้านบาท** โดยไบโอดีเซลยังเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นความต้องการ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอางในประเทศยังคงเป็นตลาดสำคัญ
4. **พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน** - พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของประเทศไทยในปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2567 โดยอยู่ที่ประมาณ **5.2 ล้านไร่** เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการสนับสนุนจากภาครัฐในการปลูกพืชพลังงาน
5. **ปัจจัยเสี่ยงและความท้าทาย** - การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจส่งผลต่อผลผลิตปาล์มน้ำมันโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ - ความผันผวนของราคาตลาดโลก หากประเทศคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซีย มีผลผลิตล้นตลาด - มาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศในยุโรปที่ต้องการลดการใช้น้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์
การเติบโตของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศไทยในปี 2568 จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการผลผลิต การส่งเสริมคุณภาพ และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ |
คาดการณ์ ราคา และ ปริมาณการส่งออก ยางพารา ปี 2568
การคาดการณ์ราคายางพาราในปี 2568 ของไทยยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากปัจจัยภายนอกหลายประการ เช่น ความต้องการจากประเทศจีนที่อาจลดลงและการแข่งขันจากคู่แข่งในอาเซียนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่ได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนของจีน ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าและสามารถส่งออกไปยังจีนได้มากขึ้น.
ในขณะเดียวกัน ราคายางในปี 2568 อาจมีการปรับขึ้นเล็กน้อยจากราคาปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในช่วง 47-60 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการผลผลิตและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน หากไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ราคาน้ำยางสดและยางแผ่นดิบอาจยังคงอยู่ในระดับที่มีการขยับไม่มาก.
คาดการณ์ว่าในปี 2568 การส่งออกยางพาราของไทยอาจจะอยู่ที่ 4.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ เช่น สงครามในยูเครนและการระบาดของโรค แต่การส่งออกก็ยังคงขยายตัวตามการเติบโตในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีฐานประชากรสูง เช่น จีนและอินเดีย
ส่วนในแง่ของมูลค่าการส่งออก คาดว่าผลผลิตยางพาราไทยอาจมีการเติบโตตามความต้องการของอุตสาหกรรมยางในตลาดโลก โดยเฉพาะถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ที่ยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับการส่งออก. |
คาดการณ์ราคาอ้อยและพื้นที่ปลูกในปี 2568
ราคาอ้อย สำหรับปี 2568 ราคาอ้อยมีแนวโน้มยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากข้อมูลในปี 2567 ราคาอ้อยอยู่ที่ประมาณ **1_420 บาทต่อตัน** (ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส.) ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับเกษตรกรในการปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตามองคือสถานการณ์สต็อกน้ำตาลในตลาดโลกที่ยังคงล้นเกินจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อย่างบราซิล อาจส่งผลกดดันต่อราคาน้ำตาลในตลาดโลกและราคาอ้อยในไทย
พื้นที่และผลผลิต ในปี 2568 คาดการณ์ว่าปริมาณอ้อยที่จะเข้าสู่กระบวนการหีบจะเพิ่มขึ้นถึง **92-95 ล้านตัน** จากปี 2567 ที่อยู่ที่ 82 ล้านตัน ผลผลิตเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเนื่องจากปริมาณฝนที่เอื้ออำนวยและการจัดการพื้นที่ปลูกที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ปลูกอ้อยอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่จะสูงขึ้นจากการปรับปรุงการปลูกและการดูแลที่ดีขึ้นของเกษตรกร
สรุป ปี 2568 ถือว่าน่าสนใจสำหรับการปลูกอ้อยเนื่องจากราคายังอยู่ในระดับที่จูงใจและมีแนวโน้มเพิ่มผลผลิตได้ดี แต่เกษตรกรควรเฝ้าระวังปัจจัยตลาดโลกที่อาจกดดันราคาน้ำตาลในระยะยาว พร้อมทั้งบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างรอบคอบ. |
ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2568 ดีไหม ราคามันสำปะหลังเป็นอย่างไร
ในปี 2568 การปลูกมันสำปะหลังยังคงมีโอกาสที่ดี โดยราคามันสำปะหลังในตลาดมีการปรับตามคุณภาพและความต้องการในแต่ละพื้นที่ รายละเอียดราคาล่าสุดสำหรับมันสดและมันเส้น มีดังนี้:
ราคามันสำปะหลังสด
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นครราชสีมา):
มันสดเชื้อแป้ง 30%: 2.60-3.10 บาท/กก.
มันสดเชื้อแป้ง 25%: 2.25-2.60 บาท/กก.
ภาคกลาง: มันสดอาจมีราคาต่ำกว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือเล็กน้อย เนื่องจากต้นทุนการขนส่งไปยังโรงงาน
ราคามันเส้น
โกดังในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา: 6.30-6.35 บาท/กก. ราคานี้เป็นราคามันเส้นที่พร้อมสำหรับการส่งออกและมีคุณภาพสูง ซึ่งสะท้อนความต้องการในตลาดต่างประเทศที่ยังคงเติบโต
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา
ฤดูกาลเก็บเกี่ยว: ราคามันสำปะหลังจะลดลงในช่วงผลผลิตมาก (มกราคม-มีนาคม) และเพิ่มขึ้นเมื่อผลผลิตลดลง (ปลายปี)
คุณภาพผลิตภัณฑ์: การรักษาคุณภาพของมันสดและมันเส้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ราคาสูง
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม แนะนำติดตามผ่านกรมการค้าภายในหรือสมาคมผู้ผลิตมันสำปะหลังในภูมิภาคที่เกี่ยวข้องครับ
|
วิเคราะห์ตลาดทุเรียน แนวโน้มปี 2568
ตลาดทุเรียนในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยประเทศไทยยังคงครองตำแหน่งผู้ส่งออกทุเรียนอันดับหนึ่งของโลก คาดว่าจะส่งออกได้ถึง 1.04 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 57% จากปีก่อนหน้า โดยตลาดหลักยังคงเป็นจีน ซึ่งจะนำเข้าทุเรียนเพิ่มขึ้น 95% จากปี 2563 ส่วนตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง ได้แก่ เกาหลีใต้และไต้หวัน ที่มีการนำเข้าทุเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 50%.
ด้านราคา ทุเรียนหมอนทอง ที่ขายในประเทศคาดว่าจะเฉลี่ยประมาณ 144 บาท/กก. ในปี 2568 ส่วนราคาส่งออกไปจีนอาจพุ่งถึง 379 บาท/กก. หากการนำเข้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 15%.
อย่างไรก็ตาม ตลาดทุเรียนต้องเผชิญความท้าทายจากคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม ที่เพิ่มศักยภาพการผลิตและส่งออกมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบกับไทยได้ในด้านคุณภาพและมาตรฐาน.
กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับเกษตรกรและผู้ส่งออก คือการขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย และตะวันออกกลาง เพื่อกระจายความเสี่ยง และพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดโลก.
|
5 พืชเศรษฐกิจไทย ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด
5 พืชเศรษฐกิจไทยที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในปี 2566 (มูลค่าเป็นเงินบาท) ได้แก่:
1. ผลไม้ - มูลค่าส่งออกประมาณ 248_500 ล้านบาท (คิดเป็น 25.9% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด) โดยทุเรียนเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนยอดขาย โดยเฉพาะในตลาดจีน
2. ข้าว - มูลค่าส่งออกประมาณ 184_200 ล้านบาท (19.2%) ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวคุณภาพสูง เช่น ข้าวหอมมะลิ ไปยังตลาดโลก
3. มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ - มูลค่าส่งออกประมาณ 132_500 ล้านบาท (13.8%) ส่วนใหญ่ส่งไปยังจีนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และพลังงาน
4. ยางพารา - มูลค่าส่งออกประมาณ 130_400 ล้านบาท (13.6%) โดยเน้นตลาดในเอเชีย เช่น จีน และมาเลเซีย
5. น้ำตาลทราย (จากอ้อย) - มูลค่าส่งออกประมาณ 120_000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลผลิตสำคัญที่มีตลาดหลักในประเทศอาเซียนและเอเชียใต้
ตัวเลขมูลค่าเงินบาทคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2566
|
|
|
|
กลุ่มทางใบปุ๋ยประสิทธิภาพสูง
*โปรดอ่าน ใช้ FK-1 ในช่วงแรก เพื่อเร่งโต เร่งราก เร่งดอก จับคู่กับ FK-3 ในช่วงเร่งผลผลิต พืชออกผลทุกชนิด ใช้ FK-1 กับ FK-3,
นาข้าว ใช้ FK-1 กับ FK-3R (Rice), ไร่อ้อย ใช้ FK-1 กับ FK-3S (Sugarcane), มันสำปะหลัง ใช้ FK-1 กับ FK-3C (Cassava)
กลุ่มอินทรีย์ ปุ๋ย ยาปราบฯ
ที่ขายดีที่สุดบน ลาซาด้า
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอสกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอส3ลิตร กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งมาคากับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอกี้-บีทีกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง FK-T 1ลิตร กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งFK-T 250ซีซี กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งไอเอสกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
กลุ่มเคมียาปราบฯประสิทธิภาพสูง
สั่ง อินเวท กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง เมทาแลคซิล กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง คาร์รอน กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่งกับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|
สั่ง แม็กซ่า กับ |
ลาซาด้า |
ช้อปปี้
|