พัฒนาดักแด้ไหมเป็นผลิตภัณฑ์

พัฒนาดักแด้ไหมเป็นผลิตภัณฑ์ กรมหม่อนไหมร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นต่อยอดงานวิจัยเพื่อสุขภาพ โดยนำผลหม่อนและดักแด้ไหมมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อมและโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารราคาแพงจากต่างประเทศ พร้อมจดอนุสิทธิบัตรและผลิตเพื่อการแพทย์ทางเลือก

นายประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า กรมหม่อนไหม และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ตกลงความร่วมมือในเรื่องการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านหม่อนไหม ตั้งแต่ปี 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทางวิชาการและห้องปฏิบัติการทั้งสองหน่วยงาน ที่จะนำไปสู่การให้บริการทางวิชาการแก่สังคม รวมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยี เครื่องมือและสิ่งประดิษฐ์แก่เกษตรกร ทำการวิจัยร่วมกันในการพัฒนานวัตกรรม การแปรรูป การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง การต่อยอดผลงานวิจัย รวมทั้งการตรวจสอบย้อนกลับในสินค้าเกษตรและอาหาร เพื่อให้เกิดประโยชน์องค์รวมต่อประเทศ ในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งประโยชน์ต่อการเกษตรของประเทศและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนกระทั่งถึงผู้บริโภค ตลอดจนทดสอบมาตรฐานและพัฒนาระบบฐานข้อมูลเกษตรกรรม และองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกษตรกรและนักวิจัยสามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลได้โดยง่าย

ทางด้านนายวิโรจน์ แก้วเรือง ผู้เชี่ยว ชาญด้านผลิตภัณฑ์หม่อนไหม กรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าว กรมหม่อนไหมได้ดำเนินงานร่วมกับ รศ.ดร.จินตนาภรณ์ วัฒนธร หัวหน้าศูนย์วิจัย เฉพาะทางการแพทย์ทางเลือกแบบบูรณาการ และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษาวิจัยในเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพจากผลหม่อนและดักแด้ไหม ซึ่งได้มีการศึกษาศักยภาพในการแปรรูปผลหม่อนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพในการป้องกันการตายของเซลล์ประสาทที่เหนี่ยวนำโดยภาวะสมองขาดเลือดในโรคหลอดเลือดสมอง ป้องกันและลดการทำลายของเซลล์ประสาทและความบกพร่องของความจำ โรคอัลไซเมอร์ ป้องกันและลดการทำลายของเซลล์ประสาทจากพิษของสุรา พิษวิทยาของสารสกัดผลหม่อน รวมทั้งเป็นผลิตภัณฑ์ในการ กระตุ้นการเรียนรู้และปกป้องสมอง ซึ่งจากการทดลองได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และไม่ส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงแต่อย่างใด นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังได้ศึกษาในเรื่องการพัฒนาผลหม่อน เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพบำรุงสายตาต่อไปด้วย

ผลการวิจัยพัฒนาผลหม่อนและดักแด้ไหมเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันโรคอัลโซเมอร์นั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุสิทธิบัตรเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นแคปซูลและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และใช้เป็นประโยชน์ในทาง การแพทย์ ซึ่งจะช่วยทดแทนการนำเข้าตำรับอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารราคาแพงจากต่างประเทศ และเป็นการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นทางด้านการแพทย์พื้นบ้านให้มีมูลค่าเพิ่มได้เป็นอย่างดี.

อ้างอิง:www.dailynews.co.th

ส่งความคิดเห็น