ฟาร์มเกษตร
ครบเครื่อง เรื่องปุ๋ยยา
ช่องทางการสั่งซื้อสินค้าจากฟาร์มเกษตร
1. โทรสั่งซื้อที่ 089-459-9003
2. แอดไลน์ไอดี PrimPB แชทสั่งซื้อ
3. สั่งทางเฟสปริม เฟสบุ๊คปริมคลิกที่นี่
4. สั่งผ่านะระบบตระกร้าสินค้า FKX.asia
5. สั่งผ่านเว็บลาซาด้า LAZADA.co.th
ทุกช่องทาง ชำระเงินขณะรับสินค้าที่บ้านคุณ
หมวด: ไร่อ้อย | อ่านแล้ว 42659 คน | สั่งพิมพ์หน้านี้ | L

ความเสี่ยงของการปลูกอ้อย ที่ชาวไร่อ้อยต้องแบกรับภาระ

ความเสี่ยงในขั้นตอนการปลูก ในช่วงนี้มีความเสี่ยงคือ ฝนแล้งทำให้ตอไม่งอก หรือฝนตกมากทำให้ตอเน่า ไฟไหม้นอกฤดูเปิดหีบ ทั้ง

data-ad-format="autorelaxed">

ในการปลูกอ้อยส่งโรงงาน ชาวบ้านมีความเสี่ยงใน 3 ขั้นตอนคือ

ความเสี่ยงในการปลูกอ้อย1. ความเสี่ยงในขั้นตอนการปลูก ในช่วงนี้มีความเสี่ยงคือ ฝนแล้งทำให้ตอไม่งอก หรือฝนตกมากทำให้ตอเน่า ไฟไหม้นอกฤดูเปิดหีบ ทั้ง 3 กรณี จะเกิดความเสียหายทั้งหมดและทำให้ชาวบ้านต้องปลูกอ้อยใหม่

2. ความเสี่ยงในขั้นตอนที่อ้อยกำลังเติบโต ช่วงนี้มีความเสี่ยงคือ เกิดโรคเพลี้ยระบาด
หนอนกอ โรคใบเหลือง/ใบขาว หากเกิดโรคเพลี้ยระบาดจะทำให้เกิดความเสียหายต่ออ้อยร้อยละ 20 โรคหนอนกอทำให้เกิดความเสียหายร้อยละ 50 โรคใบเหลือง/ใบขาว ทำให้เกิดความเสียหายร้อยละ 80 ถึงเสียหายทั้งหมด การเกิดปัญหาในส่วนนี้จะต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นคือ
- ค่ารถไปซื้อยา 100 บาท
- ค่ายาเพลี้ยระบาด 250 บาท
- ค่ายาหนอนกอ 100 บาท
- ค่ายาใบเหลือง/ใบขาว 100 บาท
- ค่าจ้างฉีดยา 200 บาท

3. ความเสี่ยงในขั้นการขาย ปัญหาในช่วงนี้คือ ราคาไม่แน่นอน เกิดไฟไหม้ช่วงเปิดหีบ
ทำให้ราคาอ้อยลดลงร้อยละ 20 หากตัดอ้อยไม่ทันใน 1 เดือนจะทำให้เกิดความเสียหายทั้งหมด และกรณีหารถมาขนอ้อยไม่ได้ภายใน 1 สัปดาห์ จะทำให้เกิดความเสียหายร้อยละ 50
ทั้งหมดนั้นคือความเสี่ยงของชาวบ้านชาวบ้านที่ต้องแบกรับภาระฝ่ายเดียว

ต้นทุนในการปลูกอ้อย

ในการปลูกอ้อย นักวิจัยไทบ้านพบว่ามีต้นทุนที่ชาวบ้านไม่เคยคิดมาก่อน ตาราง 1 แสดงต้นทุนในการปลูกอ้อยตอ 1 ซึ่งไม่รวมค่าแรงและค่าสูญเสียโอกาสในการใช้ที่ดิน ซึ่งหากรวมต้นทุนในส่วนนี้ ชาวบ้านก็จะขาดทุนดังแสดงในตาราง 2
การที่ชาวบ้านไม่คิดค่าแรงงานของตนเองเป็นเพราะชาวบ้านตกอยู่ภายใต้การที่ถูก
อำพรางทุน ทำให้ชาวบ้านมองว่าตนเองไม่ได้ลงทุนอะไร จึงคิดว่าการปลูกอ้อยไม่ได้ขาดทุน

ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการปลูกอ้อย

ระบบนิเวศน์เสื่อมโทรม

การปลูกอ้อยเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ดินเสื่อม โดยเฉพาะในกรณีที่นายทุนเช่าที่ดินชาวบ้านปลูกอ้อย หรือชาวบ้านปลูกอ้อยแล้วขายอ้อยตอ 1 ให้นายทุนที่เรียกว่าขายอ้อยอ่อนหรือขายอ้อยตกเขียว เพราะนายทุนจะให้ความสำคัญกับอ้อยตอ 1 ที่ตนเองมีสิทธิ์ ขณะที่อ้อยตอ 2 หรืออ้อยหลังการตัดจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน เมื่อนายทุนได้เป็นเจ้าของอ้อยในไร่ก็ได้บำรุงต้นอ้อยด้วยการใส่ปุ๋ยเยอะเกินปริมาณเพื่อที่จะเร่งผลผลิต ทำให้สารเคมีสะสมที่หน้าดินมากเกินไป เกิดความเสื่อมโทรมและพังทลายของหน้าดิน แร่ธาตุในดินสูญหาย และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การปลูกอ้อยในครั้งต่อไปไม่เจริญเติบโต
ที่สำคัญอีกประการก็คือ สารเคมีจะตกตกค้างบริเวณรอบๆ ไร่อ้อยและไลลงไปสะสมบริเวณที่ลุ่ม เช่น หนองน้ำที่เป็นแหล่งสัตว์น้ำและพืชที่เป็นอาหารของชาวบ้าน ทำให้สัตว์น้ำและพืชได้รับสารเคมีสะสม และจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้านในระยะยาว

ถ้าดินเสื่อมไม่ว่าจะใส่ปุ๋ยจะฉีดยามากแค่ไหนก็ทำให้ดินกลับมาดีเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะตัวสารเคมีทำลายสารอาหารในดินหมดแล้ว และในกรณีที่ดินตาย ทธิ์ ขณะที่อ้อยตอ 2 หรือตออใส่ปุ๋ยมากเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผลผลิตเท่าที่ควร ยกเว้นการฟื้นฟูด้วยการใส่ปุ๋ยชีวภาพ
ในกรณีที่นายทุนซื้ออ้อยตกเขียวไป นายทุนจะจะบำรุงอ้อยมากจนเกินไปส่งผลกระทบให้หน้าดินของชาวบ้านเสียหาย และถ้าปลูกอ้อยในฤดูการต่อไปจะทำให้ดินเสื่อมคุณภาพปลูกพืชไม่งามอย่างที่เคยเป็น

นอกจากนั้น นายทุนยังมีการยกร่องเพื่อระบายน้ำซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หน้าดินพังทลาย โดยนายทุนจะยกร่องไปทางที่ชันจึงเกิดการพังของหน้าดิน และในกรณีที่ขายอ้อยเขียว นายทุนก็จะมาบำรุงใส่ปุ๋ยเหมือนในกรณีที่เช่าที่เช่นกัน
การปลูกอ้อยยังเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะต้องตัดไม้ธรรมชาติออกหมดเนื่องจากอ้อยต้องการแสงแดดในการเจริญเติบโตสูง นอกจากนั้น การตัดต้นไม้ธรรมชาติออกจากไร่อ้อยยังมาจากการที่นายทุนที่มาซื้ออ้อยอ่อนสั่งให้ตัด ถ้าไม่ตัดออกจะถูกนายทุนหักเงินหรือที่เรียกว่าหักดอก ไม่เพียงแต่มีต้นไม้ในไร่เท่านั้นที่โดนหักเงินยังรวมไปถึงถ้ามีจอมปลวกในไร่อ้อยก็จะโดนหักเงินเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าชาวบ้านมีที่ปลูกอ้อย10 ไร่ หากในไร่นั้นมีต้นไม้หรือจอมปลวก นายทุนก็จะตัดออกให้เหลือ 9 ไร่ครึ่ง ส่งผลให้ชาวบ้านต้องตัดสินใจตัดต้นไม้หรือไถจอมปลวกออกจากไร่

สารเคมีตกค้างและผลกระทบต่อสุขภาพ

นักวิจัยไทบ้านเชื่อว่า มีชาวบ้านหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้สารเคมีฉีดยาในไร่อ้อย แต่เมื่อไปของใบรับรองแพทย์ที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลจะไม่ระบุในการรักษาว่าคนไข้ได้รับอันตรายจากสารเคมีจนถึงแก่ชีวิต โรคที่เกิดจากสารเคมีในไร่อ้อยคือโรคที่เกี่ยวกับปอดและตับซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี โดยเฉพาะคนที่รับจ้างฉีดหญ้าเป็นประจำจะได้รับสารพิษเข้าไปสะสมในร่างกาย ซึ่งในพื้นที่เขตดงมูลส่วนมากจะเสียชีวิตเพราะเกิดโรคเกี่ยวกับปอดและตับ
ชาวบ้านยังสังเกตเห็นว่า หากยาที่ฉีดไปยังไม่ละลายและซึมเข้าสู่หญ้าจะเป็นสารพิษตกค้างในใบหญ้า หากวัวกินหญ้าที่มีสารพิษวัวเข้าไป จะทำให้วัวมีลักษณะผอมลงเรื่อยๆ และตายในที่สุด เมื่อวัวตายชาวบ้านเคยผ่าดูเครื่องในพบว่าลำไส้ของวัวตัวนั้นเน่า บวม และมีกลิ่นเหม็น ชาวบ้านจึงสันนิษฐานว่าเกิดจากสารพิษในหญ้าที่วัวกินเข้าไป
การเสียชีวิตของสัตว์เลี้ยงเนื่องมาจากการใช้ยาฆ่าหญ้าแบบดูดซึม เช่น การฉีดยาฆ่าหญ้า แต่ชาวบ้านบางคนไม่รู้ว่าเป็นย่าฆ่าหญ้า คิดว่าเป็นหมอกจึงไปเกี่ยวหญ้าเหล่านั้นมาให้วัวควายกิน ทำให้สัตว์เลี้ยงของตนตาย
การปลูกอ้อยยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากการปลูกอ้อยไม่สามารถปลูกพืชชนิดอื่นแทรกได้หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “พืชไร้ญาติ” ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งอาหารทางธรรมชาติลดลงอย่างเห็นได้ชัด อาหารที่เคยอุดมสมบูรณ์ ผลไม้ป่าที่เคยอยู่ในท้องไร่ท้องนาลดลงไป เช่น เครือหมาน้อย ไผ่ บักแงว อีลอก บุก และสัตว์เล็กสัตว์น้อยเช่น กุ้ง หอย ปู ปลา คอแลน กิ้งก่า เป็นต้น ปัญหาการลดลงของชีวภาพทั้งที่เป็นผลมาจากไฟไหม้ป่า การปลูกอ้อย และการใช้สารเคมี ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่ออาหารธรรมชาติที่ชาวบ้านเคยพึ่งพา
นอกจากนั้น การใช้สารเคมีเข้มข้นยังทำให้ชาวบ้านไม่สามารถนำพืชผักและอาหารตามธรรมชาติมารับประทานได้เหมือนเดิม

ฝุ่นไฟและควันจากการเผาไร่อ้อย

ในช่วงฤดูเปิดหีบที่มีการลักลอบเผาไร่อ้อย ส่วนมากจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายนเป็นเวลาประมาณ 5 เดือน ได้ทำให้เกิดเขม่าลอยเต็มท้องฟ้าและมาตกตามบ้านเรือนของชาวบ้าน และทำให้เกิดมลพิษทางอากาศในหมู่บ้าน แม้แต่เสื้อผ้าที่แขวนไว้ตามราวบ้านก็จะสกปรกไปด้วย ชาวบ้านพบว่าในช่วงดังกล่าวจะเกิดมลพิษทางอากาศในระดับรุนแรงและได้ส่งผลถึงกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของชาวบ้าน เพราะช่วงนี้ชาวบ้านจะเป็นโรคหอบหืดกันมาก
การเผาอ้อยยังทำให้เกิดความเดือดร้อยอย่างอื่น เช่น เถียงนาไฟไหม้ และในบางครั้งไฟลามไปไหม้สวนยางของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเกิดความเสียหายรุนแรง
นอกจากการเผาอ้อยทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแล้ว ระบบการผลิตอ้อยยังทำให้เกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในการคมนาคม โดยเฉพาะในช่วงเปิดหีบอ้อยที่รถขนอ้อยบรรทุกน้ำหนักเกินอีกทั้งมีรถพ่วงขนาดใหญ่ ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งจากการที่รถอ้อยพลิกคว่ำ การบรรทุกอ้อยที่น้ำหนักเกินมากเกินไปยังทำให้ถนนภายในหมู่บ้านเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

ภายใต้ระบบการผลิตอ้อยส่งโรงงานที่ทำให้ชาวบ้านตกอยู่ในวงจรหนี้สินทั้งจากการขายอ้อยเขียวและการตกเขียวแรงงาน ทำให้ต้องนำที่ดินไปจำนอง ถ้าไม่มีเงินไปไถ่ที่ดิน ที่ดินก็จะหลุดจากมือของชาวบ้าน การเป็นหนี้ทำให้พลังในการผลิตช้าลง ดังจะเห็นได้จากแม้ว่าค่าจ้างในการทำงานเพิ่มมากขึ้น แต่ขาดคนงานรับจ้าง การผลิตอ้อยจึงทำให้ความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตของตนเองของชาวไร่ชาวนาลดน้อยลง

การตกอยู่ในวงจรหนี้สินยังทำให้พ่อแม่ปลูกฝังให้ลูกสาวหาสามีฝรั่ง ทำให้ในหมู่บ้านมีเขยฝรั่ง และเมื่อเขยฝรั่งเข้ามาในหมู่บ้าน ฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าก็ทำให้ฝรั่งสามารถเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อทำธุรกิจและทำการเกษตรในท้องถิ่นมากขึ้น คู่สมรสคนไทยจึงกลายเป็นนายทุนหน้าใหม่ บางคนกลายเป็นนายทุนระดับเสี่ยย่อยและเข้ามาเป็นโควตามากขึ้น ปัจจุบันมีแนวโน้มว่าชาวบ้านมีสามีเป็นฝรั่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่ปัญหาทางสังคมจากการผลิตอ้อยที่เป็นปัญหาใหญ่ก็คือการทำให้ชาวบ้านติดยาบ้ามากขึ้น โดยเฉพาะในฤดูตัดอ้อยจะมีนายทุนเอายาบ้ามาใช้เพิ่มกำลังให้แรงงาน ซึ่งนายทุนจะมองว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการทำงาน การติดยาบ้าได้สร้างความเสียหายและเกิดอาชญากรรมตามมาในหมู่บ้าน

ที่สำคัญอีกประการก็คือ เมื่อดงมูลได้เปลี่ยนไปสู่การผลิตอ้อยได้ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของทุนจากภายนอกเข้ามา โดยเข้ามาในรูปของโควตา และทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์ใหม่ที่นายทุนระดับต่างๆ ผูกสัมพันธ์กันและเข้ามาผูกสัมพันธ์กับชาวบ้านผ่านสัญญา-หนี้ ทำให้เกิดนายทุนท้องถิ่นและเกิดการรวมตัวทางชนชั้นที่มีเครือข่าย มีการผูกขาดและขูดรีดคนในท้องถิ่น ซึ่งทุนเป็นปัจจัยอำนาจสูงสุด ขณะที่คนจนในหมู่บ้านจะเพิ่มขึ้นลงเรื่อยๆ

การปลูกอ้อยในระบบพันธะสัญญาส่งผลให้เกิดการแตกแยกในชุมชน ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนไม่มีความเป็นเอกภาพ เพราะนายทุนเห็นแก่ได้ทำเพื่อผลกำไรไม่ได้นึกถึงคนในหมู่บ้าน ขณะที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันภายในหมู่บ้าน

นักวิจัยไทบ้านพบว่า ปัจจุบันสังคมวัฒนธรรมของชาวบ้านดงมูลเปลี่ยนไป เพราะระบบเศรษฐกิจได้เปลี่ยนจากการผลิตเพื่อยังชีพและการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน (น้ำพึ่งเรือเสื่อพึ่งป่า) เป็นเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนแรงงานเพื่อช่วยเหลือกันในชุมชนลดน้อยลง ไม่มีความเอื้ออาทรกันและกัน ซึ่งจะเห็นได้ชัด เช่น ถ้าลูกหาปลามาได้ก็จะขายให้พ่อแทนที่จะให้พ่อไปกินเฉยๆ แสดงให้เห็นว่า ความเอื้อเฟื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัด เกิดเป็นสังคมที่เป็นปัจเจกมากขึ้น อีกทั้งการเข้าร่วมงานบุญของชาวบ้านเดี่ยวนี้มีน้อยไม่ค่อยให้ความร่วมมือ

การต่อรองของชาวบ้านภายใต้ระบบโควต้า

ในการต่อรองของชาวบ้านสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่ยังมีการปลูกอ้อยและมีการต่อรองกับระบบ กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ต่อรองด้วยการปรับวิธีการผลิต และกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มที่ปฏิเสธระบบ

กลุ่มที่ต่อรองกับระบบ

ชาวบ้านส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปลูกอ้อยอย่างเดียวและได้ทำการต่อรองกับระบบโดยการไม่เข้าโควต้าตามที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลกำหนด เนื่องจากหากเข้าโควต้าก็จะทำให้ชาวบ้านถูกเอารัดเอาเปรียบ ขณะที่การไม่เข้าโควต้าทำให้ชาวบ้านไม่ต้องขายอ้อยให้กับโควต้า และมีทางเลือกโดยหันไปขายลานย่อยแทน ขณะที่เกษตรบางส่วนได้หันมาขายอ้อยเขียวแทน ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงจากราคาอ้อย รวมทั้งการเสี่ยงจากอ้อยเป็นโรค
ชาวบ้านบางคนแม้ว่ายังปลูกอ้อย แต่ก็ได้ลดต้นทุนโดยการใช้ปุ๋ยชีวภาพ เช่น นายสมศรี สาเทวิน อายุ 44 ปี ที่ปลูกอ้อยตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 ปลูกครั้งแรกประสบความสำเร็จโดยการขายอ้อยแบบขายเหมาให้เถ้าแก่ แต่ต่อมาประสบปัญหาค่าปุ๋ยแพงถึง 4,000 บาท สมศรีจึงได้ทดลองใช้ปุ๋ยสูตร 30 ตัน/ไร่ ด้วยการปลูกอ้อยควบคู่กับมันสำปะหลัง โดยนำปุ๋ยไปใส่อ้อยโรยแล้วไถกลบ เมื่อใส่ปุ๋ยชีวภาพทำให้ได้ผลผลิตดีได้ราคาประมาณ 12,000 บาท
นอกจากนั้น ชาวบ้านบางคนจะตัดสินใจปลูกอ้อยโดยการวิเคราะห์ราคาก่อนการลงทุน ดังกรณีของพ่อสมหมาย อายุ 64 ปี ประมาณปี พ.ศ.2544-2545 พ่อสมหมายปลูกอ้อย 12 ไร่ และปลูกมันสำปะหลังส่วนหนึ่ง ปลูกอ้อยได้ปีเดียวก็หันกลับมาปลูกมันสำปะหลังแทน และประมาณปี พ.ศ.2553 ได้กลับมาปลูกอ้อยอีกครั้ง โดยปลูก 8 ไร่ ซึ่งการปลูกอ้อยก็จะดูราคาก่อนการลงทุน หากราคาไม่ดีก็จะไม่ลงทุน

กลุ่มที่ต่อรองด้วยการปรับวิธีการผลิต

ชาวบ้านในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ปลูกอ้อยเพียงอย่างเดียว แต่ผลิตพืชอย่างอื่นด้วย โดยการแบ่งสัดส่วนของที่ดินเพื่อทำการเกษตรอย่างอื่น เช่น ปลูกพริก ปลูกมะเขือ เลี้ยงปลา เป็นต้น เพื่อเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวอีกทางหนึ่งด้วย
ตัวอย่างของชาวบ้านกลุ่มนี้คือ กรณีของพ่อสมเดช สิงห์ประสาท อายุ 60 ปี เมื่อปี พ.ศ.2538 พ่อสมเดชได้เช่าที่ดินเพื่อปลูกอ้อยจำนวน 9 ไร่ ในอัตราค่าเช่าที่ไร่ละ 300 บาท แต่ต่อมาก็ต้องเลิกปลูกอ้อยเนื่องจากพื้นที่อยู่ไกลเกินไป ไม่สะดวกในการเดินทาง ในอดีตพ่อสมเดชเคยได้กำไรจากการปลูกอ้อยเพราะปลูกแล้วขายทันที ไม่ได้ดูแลอะไรมากมายเหมือนในปัจจุบัน แต่ปัจจุบันกลับมาปลูกอ้อยอีกครั้งจำนวน 4 ไร่ แต่การปลูกใหม่ในครั้งนี้ได้ปลูกในที่นาของตนเอง และได้ปรับการผลิตโดยการไม่ปล่อยให้ที่ดินว่างเปล่าด้วยการปลูกพืชอื่นเสริม เช่น การปลูกมะเขือ เป็นต้น ทำให้เป็นแหล่งรายได้เสริมเลี้ยงครอบครัว
นอกจากนั้น ชาวบ้านดงมูลยังคิดหาวิธีการเพื่อการอยู่รอดโดยการศึกษาการปลูกข้าวไร่ในช่วงหลังจากมีการตัดอ้อยและรอการปลูกอ้อยในรอบต่อไป ซึ่งวิธีการนี้ได้ไปศึกษาจากชาวบ้านที่โกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ที่เป็นเครือข่ายชวไร่อ้อยด้วยกัน

การต่อรองด้วยการปฏิเสธระบบ

แม้ว่าประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลสู่ตลาดโลกเป็นลำดับต้นๆ อีกทั้งนโยบายรัฐได้กำหนดให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์จากผลผลิตน้ำตาลร้อยละ 70 แต่ประสบการณ์ของชาวบ้านดงมูลที่ปลูกอ้อยมานานก็คือ ชีวิตของชาวบ้านไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามชีวิตของชาวบ้านต้องตกอยู่ในวงจรหนี้สินและการสูญเสียที่ดินที่เป็นปัจจัยการผลิต ทำให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งตัดสินใจเลิกการปลูกอ้อยหรือเข้าไปทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอ้อย ดังกรณีของชาวบ้านต่อไปนี้

กรณีของพ่อดุสิต รัตนเมือง อายุ 59 ปี พ่อดุสิตเคยอพยพเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ประมาณ 10 ปีที่แล้ว และเมื่อ 7 ปีที่แล้วก็ส่งเงินที่ได้จากการขายแรงงานมาให้น้องดูแลไร่อ้อย โดยลงทุนครั้งแรกจำนวน 100,000 บาท ซึ่งเป็นเงินสะสม ต่อมาก็ได้กลับบ้านเกิด แต่พ่อดุสิตก็ไม่มีทุนพอที่จะลงทุน เนื่องจากการปลูกอ้อยต้องมีทุนประมาณแสนบาทจึงจะลงทุนได้ พ่อดุสิตจึงได้เปลี่ยนมาปลูกต้นยูคาลิปตัสที่ลงทุนประมาณ 3 หมื่นบาท โดยปลูกยูคาลิปตัสประมาณ 15 ไร่ พ่อดุสิตบอกว่าการตัดสินใจเลิกปลูกอ้อยมาเป็นยูคาอย่างน้อยที่สุดก็มีความเสี่ยงต่ำกว่าการปลูกอ้อยมาก อีกทั้งยังทำให้พ่อดุสิตมีเงินเหลือนำไปดาวน์รถให้ลูกนำไปใช้เพื่อค้าขาย
กรณีของพ่อเสถียร ปลัดชัย อายุ 52 ปี ก่อนนี้พ่อเสถียรจะทำไร่ทำนา ต่อมาประมาณปี พ.ศ.2545 จึงเริ่มหันมาปลูกอ้อยจำนวน 3 ไร่ โดยกู้ยืมเงินมา 10,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนเพื่อนำมาซื้อพันธุ์อ้อยและค่าจ้างแรงงาน ในการปลูกอ้อยตอแรก พื้นที่ 3 ไร่ ได้อ้อย 27 ตัน ตอ 2 ได้อ้อย 16 ตัน แต่ทำมา 4 ปี ก็ยังเป็นหนี้อยู่เหมือนเดิม ปัจจุบันก็ยังเป็นหนี้อยู่ 5,000 บาท จึงตัดสินเปลี่ยนจากการปลูกอ้อยมาปลูกมันสำปะหลังแทน และกลับมาปลูกอ้อยอีกครั้ง และปลูกแค่ตอแรกเท่านั้น ตอ 2 ก็ไม่ได้ปลูกต่อ เพราะขาดทุน จึงหันมาปลูกมันสำปะหลังจนถึงปัจจุบัน

สำหรับชาวบ้านที่หันหลังให้กับการปลูกอ้อยอย่างถาวรและหันมาทำเกษตรกรรมแบบธรรมชาติก็คือ กรณีของพ่อคมสัน เหล่าลาภะ เหตุผลที่พ่อคมสันเลิกปลูกอ้อยเพราะต้องส่งลูกเรียน ไม่มีเงินสำรอง ต้องจำนองที่ดิน ต่อมาไม่นานนักก็ต้องขายไร่อ้อยและขายที่ไป 9 ไร่ และได้นำไปจำนอง 13 ไร่ ที่เหลืออีก 8 ไร่ ปลูกไม้ยูคาลิบตัส 650 ต้น ในปัจจุบันพ่อคมสันได้หันมาปลูกพริก มะละกอ มะเขือ อีกทั้งยังได้ปลูกมะเขือพวงไร้หนาม โดยอาศัยน้ำในหนองน้ำประจำหมู่บ้าน และยังเลี้ยงปลา 3 บ่อ เป็นการทำการเกษตรธรรมชาติ ทำให้พ่อคมสันได้รับการคัดเลือกให้เป็นชาวบ้านอันดับหนึ่งของตำบล

พ่อคมสันบอกว่า ชีวิตของตนอยู่กับอ้อยมาเกือบ 30 ปี เป็นทั้งคนปลูกอ้อย ขับรถรับจ้างขนอ้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น ทุกวันนี้ได้หันหลังให้กับอ้อยและมีชีวิตที่มีความสุข ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงและหนี้สินดังเช่นเมื่อตอนปลูกอ้อย

อ้างอิง:
http://www.facebook.com/pages/FAIR-Contract-FREE-Farming


อ่านเรื่องนี้แล้ว : 42659 คน £




ความคิดเห็นจากผู้อ่าน:

sukanya rennpirom
[email protected]
ปีหน้าราคาอ้อยน่าจะดี
07 มิ.ย. 2555 , 07:10 AM  e
0 ชอบ|0 ไม่ชอบ

ส่งความคิดเห็น



เลือกหมวด :

แสดงเนื้อหารวมจากทุกหมวด, สินค้าเกษตร, ไอเดียและเทคโนโลยีเกษตร, รวม VDO เด่นจาก FK, นาข้าว, เศรษฐกิจเกษตร, ภาพถ่ายเกษตร, ไร่อ้อย, มันสำปะหลัง, ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, ไร่ข้าวโพด, ผักและการปลูกผัก, การปลูกพืช, ไม้ผล ไม้ยืนต้น, เกษตรน่ารู้, สมุนไพร, ไม้มงคล, พุทธศึกษา, FK Talk, สุขภาพ, การใช้ SUN กับพืชต่างๆ, แอพฯด้านเกษตร, ไม้ดอก ไม้ประดับ, องค์กรด้านเกษตร, ซื้อขายที่ดิน, ห้องปศุสัตว์, ประมง, เกษตรกรตัวอย่าง, ฟาร์มเกษตรพาเที่ยว, FK Freestyle, Agri live update, ออแกนิกส์, จักรกล, อุปกรณ์การเกษตร, ไร่กาแฟ,


แสดงทั้งหมดใน [ไร่อ้อย]:
อ้อยแคระ แกร็น อ้อยโตช้า อ้อยไม่ย่างปล้อง อ้อยปล้องสั้น อ้อยใบเหลือง อ้อยใบไหม้
พืชจะไม่สมบูรณ์ได้อย่างไร เราก็ใส่ทั้งปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมีแล้ว แต่ทำไมพืชยังไม่โตเท่าที่ควร ทั้งๆที่เราใส่ปุ๋ย
อ่านแล้ว: 7265
อ้อยยอดเหลือง แต่กอยังเขียว เพราะ หนอนกออ้อย เข้าทำลายต้นอ้อย ฆ่าหนอน กำจัดหนอน ไอกี้-บีที
อ้อยกำลังงาม อยู่ๆก็ยอดเหลือง ทั้งๆที่กออ้อยยังเขียวอยู่ นั่นท่านอาจเจอกับปัญหาหนอนกอ ป้องกันกำจัด ก่อนจะลุกลาม
อ่านแล้ว: 7123
อ้อยใบเหลือง อ้อยใบซีด เหลืองซีดเป็นหย่อมๆ ลักษณะนี้เป็นอาการของ อ้อยขาดธาตุอาหาร
หากพืชมีความอ่อนแอ ความรุนแรงของโรคก็จะมาก การเข้าทำลายของแมลงศัตรูพืช ก็เข้าทำลายได้มากเช่นกัน บวกกับสภาพแวดล้อม..
อ่านแล้ว: 9744
อ้อยเป็นหนอน หรือเห็น อ้อยยอดแห้งตาย นั่นเพราะหนอนกอสีขาวเข้าทำลาย
หน่ออ้อยที่ยังเล็กอยู่ หากโดน หนอนกอสีขาว เข้าทำลาย หน่ออ้อยมักจะตาย อ้อยที่เป็นลำจะชะงักโต ผลผลิตลด คุณภาพลด
อ่านแล้ว: 8114
ผลผลิตอ้อยลด ค่าความหวานลด อ้อยชะงักโตเพราะ แมลงหวี่ขาวอ้อย ต้องแก้
แมลงหวีขาว ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย จะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณใต้ใบอ้อย ในระยะตัวอ่อนนั้น จะสร้างความเสียหายให้กับอ้อย
อ่านแล้ว: 8598
อ้อยมีราดำ มีแป้งสีขาวใต้ใบ ใบเหลืองซีด เพราะเพลี้ยสำลี ปล่อยไป อ้อยแห้งตาย
เพลี้ยสำลี หากมีการระบาดในไร้อ้อยแล้ว จะทำให้อ้อยในไร่ชะงักการเติบโต หรืออาจจะทำให้อ้อยแห้งกรอบทั้งใบ
อ่านแล้ว: 8767
อ้อยเหลือง แห้งตายทั้งกอ เป็นเพราะ แมลงนูนหลวง กัดกินรากอ้อย กำจัดอย่างไร
มักระบาดในสภาพดินทรายที่มี pH 6-6.5 และสภาพดินที่มีอินทรียวัตถุ 0.56-0.84% การเข้าทำลายอ้อยมักปรากฏเป็นหย่อมไม่แพร่..
อ่านแล้ว: 7567
หมวด ไร่อ้อย ทั้งหมด >>