ว่าแล้ว!... ทรัมป์ บีบไทย! ซื้อสินค้าเพิ่ม

“ทรัมป์” บีบ “ประยุทธ์” ซื้อสินค้าสหรัฐฯ เพิ่ม กลบยอดขาดดุล ... เอกชนไทยเตรียมลงทุนเพิ่ม 6,000 ล้านดอลลาร์ ... หอการค้าอเมริกัน ระบุ สมาชิก 55% พร้อมเพิ่มน้ำหนักการลงทุนไทยปีหน้า จี้! แก้คอร์รัปชั่น

การเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามคำเชิญของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 2-3 ต.ค. ที่ผ่านมา สร้างความมั่นใจให้กับทั้ง 2 ฝ่าย มากขึ้นว่า ทั้ง 2 ประเทศ เป็นหุ้นส่วนการค้าการลงทุนที่พร้อมจะขยายความร่วมมือในทุก ๆ ด้าน โดยภาคเอกชนของสหรัฐฯ ก็ได้แสดงความมั่นใจเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศไทยด้วย


+ สนับสนุนทุนไทยไปยูเอส +
หนึ่งในนโยบายหลักของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือ การสร้างงานในสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้นำไทย ยืนยันว่า ทั้ง 2 ประเทศ มีนโยบายที่สอดคล้องกัน นั่นคือ การให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อย และทั้งนโยบาย America First ของสหรัฐฯ และนโยบาย Thailand 4.0 ของไทย ต่างก็ต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างเท่าเทียมและครอบคลุม

ภายใต้สนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ปี ค.ศ. 1966 นักธุรกิจอเมริกันได้ประโยชน์เหมือนคนไทยในการลงทุนที่ประเทศไทย ขณะเดียวกัน นักธุรกิจไทยเองก็มีการไปลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบัน นักลงทุนไทยมีการลงทุนอยู่ในสหรัฐอเมริกาจำนวนทั้งสิ้น 23 บริษัท มีมูลค่าการลงทุนรวม 5,600 ล้านดอลลาร์ มีแผนเพิ่มการลงทุนอีกรวม 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่า จะสามารถช่วยสร้างงานในสหรัฐฯ มากกว่า 8,000 ตำแหน่ง ในการเยือนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจึงได้ขอให้สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนไทยเหล่านี้

ภายหลังการหารือทวิภาคีระหว่างผู้นำทั้ง 2 เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2560 นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท PTTGC America LLC (บริษัทในเครือ พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในสหรัฐอเมริกา) กับหน่วยงาน JobsOhio ของสหรัฐฯ ว่า ด้วยความร่วมมือในการศึกษา วางแผน และจัดทำโครงการพัฒนา และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่เขตเบลมอนต์

นอกจากนี้ ยังมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่า ด้วยการซื้อ ‘ถ่านหิน’ ระหว่าง บริษัท เอสซีจีฯ ของไทย กับบริษัท สโมคกี้ เมาเท่น โคลฯ (Smokey Mountain Coal) ของสหรัฐอเมริกา คาดว่า ปริมาณซื้อขายอยู่ที่ 50,000-60,000 ตัน และจะเป็นครั้งแรกของไทย ที่นำเข้า ‘ถ่านหิน’ จากสหรัฐฯ การตัดสินใจซื้อครั้งนี้ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศด้วย

“ขณะนี้ เรามีความสัมพันธ์ที่มั่นคงแข็งแรง ... ผมคิดว่า ถ้าเป็นไปได้ เราจะพยายามขายสินค้าให้ไทยมากอีกสักหน่อย” นายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าว พร้อมกับย้ำว่า ไทยและสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรการค้าที่สำคัญ ทั้ง 2 ฝ่าย มีมูลค่าการค้าร่วมกันเมื่อปี 2559 ที่ 40,000 ล้านดอลลาร์ แต่สหรัฐฯ ยังขาดดุลการค้าไทยอยู่ 19,000 ล้านดอลลาร์ จึงหวังว่า ไทยจะช่วยสหรัฐฯ ปรับสมดุลในเรื่องนี้


+ เอกชนมะกันขยายลงทุนไทย +
ด้าน นายจอน โกเยอร์ ผู้อำนวยการอาวุโสภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หอการค้าอเมริกัน ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาคเอกชนของสหรัฐอเมริกามีความยินดีมากที่นายกรัฐมนตรีของไทยมาเยือนกรุงวอชิงตัน และเห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ที่ทุกฝ่ายจะช่วยกันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกากลับเข้าสู่สภาวะปกติอย่างที่เคยเป็นมา

ความกระตือรือร้นของเอกชนอเมริกันในการมาเยือนของ พล.อ.ประยุทธ์ และความสนใจเกี่ยวกับโอกาสที่บริษัทอเมริกันจะได้พบปะหารือเจรจาการค้า-การลงทุนกับตัวแทนบริษัทเอกชนฝ่ายไทยนั้น สะท้อนได้จากบรรดาบริษัทที่ให้การสนับสนุนงานเลี้ยงรับรองนายกรัฐมนตรีและคณะ ซึ่งได้แก่ บริษัท เชฟรอนฯ, บริษัท พีเอ็มไอฯ, บริษัท ฟอร์ด, บริษัท แอร์บีแอนด์บีฯ, บริษัท เชอเนียร์ เอนเนอร์จีฯ, บริษัท ดาว เคมิคอลฯ, บริษัท อูเบอร์ฯ, บริษัท แอมเวย์, บริษัท ยูแอลฯ, บริษัท เอลี่ ลิลลี่ฯ และบริษัท ล็อคฮีด มาร์ตินฯ

“บริษัทอเมริกันมีมุมมองในเชิงบวกเกี่ยวกับประเทศไทย เมื่อต้นเดือนนี้เอง ทางหอการค้าอเมริกันได้รายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของธุรกิจสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏว่า ผลเกี่ยวกับประเทศไทยออกมาในเชิงบวกอย่างมาก”

ยกตัวอย่างเช่น 55% ของผู้บริหารบริษัทอเมริกันที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย ตอบว่า บริษัทของพวกเขามีแผนจะขยายธุรกิจเพิ่มเติมในประเทศไทย ภายในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ที่เหลือส่วนใหญ่ตอบว่า น่าจะคงขนาดธุรกิจไว้เท่าเดิม มีเพียงส่วนน้อยมากที่คิดว่า ขนาดธุรกิจจะเล็กลง นอกจากนี้ 56% ยังตอบว่า คาดหวังจะได้เห็นการเติบโตของผลกำไรในประเทศไทยในปี 2560 นี้ และ 69% เชื่อว่า จะได้เห็นการเติบโตของผลกำไรในปีหน้า (2561) 52% คาดว่า จะจ้างงานพนักงานเพิ่มในปีนี้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เอกชนอเมริกันเห็นว่ายังเป็นปัญหาหรืออุปสรรคในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยนั้น ยังคงมีอยู่

“ยังมีสิ่งที่เป็นความท้าทายสำหรับการรักษาการเติบโตทางธุรกิจต่อไปในประเทศไทย นั่นก็คือ ปัญหาการคอร์รัปชั่น กฎหมายบางอย่างที่ยังคงล้าหลังและกฎระเบียบข้อบังคับบางประการ การสำรวจครั้งหลังสุด เรายังพบว่า ความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อสหรัฐฯ เป็นไปในทางลบมากขึ้น และขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นแนวโน้มของกระแสกีดกันทางการค้าในไทยมากขึ้นเช่นกัน” นายจอน โกเยอร์ กล่าว

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,302 วันที่ 5-7 ต.ค. 2560

ส่งความคิดเห็น