data-ad-format="autorelaxed">
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ราคาข้าวที่ตกลง เนื่องจากขณะนี้ปริมาณน้ำฝนมาก ทำให้ข้าวเปลือกที่ออกสู่ตลาดมีความชื้นสูง และยืนยันราคาตกไม่ใช่เกิดจากการสร้างสถานการณ์เพื่อกดราคาข้าว โดยกระทรวงเตรียมเสนอมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว(นบข.) ในวันที่ 31 ตุลาคม และเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2559/60 ซึ่งออกสู่ตลาดมากเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม มีทั้งมาตรการยกระดับราคาภายในประเทศ และผลักดันการส่งออก ทั้งมาตรการระยะสั้น และมาตรการระยะยาว โดยมาตรการระยะสั้น อาทิ โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าว ที่กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อรับซื้อข้าวเปลือกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 31 มีนาคม 2560 และเก็บสต็อกข้าวไว้ 2 – 6 เดือน อัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป้าหมายการเก็บสต็อกประมาณ 8 ล้านตัน โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก โดย ธ.ก.ส. ให้เกษตรกร สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อชะลอการจำหน่ายข้าวเปลือกเก็บในยุ้งฉาง ราคาตันละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท โดยเกษตรกรจะได้รับค่าเตรียมข้าวเปลือกขึ้นยุ้งและค่าฝากเก็บเพิ่มจากเงินสินเชื่ออีก ตันละ 1,500 บาท โดยจ่ายให้พร้อมสินเชื่อ 1,000 บาท และจ่ายเมื่อไถ่ถอนข้าวหรือระบายข้าวแล้ว ตันละ 500 บาท เป้าหมายการเก็บสต็อกประมาณ 2 ล้านตัน โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 2.5 ล้านตัน
“ในส่วนการช่วยเหลือโดยตรงแก่เกษตรกร รัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือในช่วงก่อนการเพาะปลูก ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต ไร่ละ 1,000 บาท ซึ่งเกษตรกรผลิตข้าว 1 ตัน ใช้พื้นที่เพาะปลูกประมาณ 2 ไร่เศษ ในส่วนนี้ เกษตรกรจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้แล้วประมาณ 2 พันกว่าบาทต่อตัน ประกอบกับมาตรการขอความร่วมมือลดต้นทุนการผลิต ลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการเพาะปลูก รวมทั้งการพักชำระหนี้ให้เกษตรกร ดังนั้น ในปีการผลิต 2559/60 อีกประมาณตันละ 1,000 บาท เกษตรกรจะได้รับรายได้เพิ่มจากการจำหน่ายผลผลิตข้าวเปลือกตามมาตรการดังกล่าวอีกไม่ต่ำกว่าตันละ 3,000 บาท “
นางอภิรดี กล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการระยะยาว อาทิ การบริหารจัดการข้าวทั้งระบบให้สอดคล้องเป็นไปตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ขยายโอกาสทางการค้าไปยังตลาดใหม่ ช่วยเหลือชาวนาโดยมุ่งสนับสนุนเรื่องพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น ค่าครองชีพ และค่าศึกษาเล่าเรียนบุตร เป็นต้น พร้อมกับแผนเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ สร้างค่านิยมการบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก จัดตลาดนัดข้าวสารและข้าวเปลือก หารือกับสมาคมผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร เพื่อให้เพิ่มปริมาณสำรองซื้อข้าว เพิ่มช่องทางการจำหน่าย เป็นต้น
นอกจากนี้จะเร่งเจรจาขายข้าวรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) เช่น มาเลเซีย 1-2 พ.ย.59 อินโดนีเซีย 3-4 พ.ย.59 และฟิลิปปินส์ ปลายพฤศจิกายน จีน อิหร่าน อิรัก และแอฟริกา ในเดือนธันวาคม และกุมภาพันธ์ –เมษายน 2560 เป็นต้น และจัดจับคู่ระหว่างผู้นำเข้าและผู้ค้าข้าวไทย รวมถึงหารือห้างเทสโก้ ประเทศอังกฤษ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ในสาขาเทสโก้ทั่วโลก พร้อมกัน ซึ่งปัจจุบัน TESCO มีการลงทุนใน 12 ประเทศทั่วโลก และมีสาขากว่า 6,900 สาขา
source: matichon.co.th/news/338760