data-ad-format="autorelaxed">
นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ภายหลังทดลองทำนาปรังแบบเปียกสลับแห้งประสบผลสำเร็จ จึงเตรียมเดินหน้านโยบาย “1 โครงการ 1 พื้นที่ตัวอย่าง” ให้โครงการชลประทานทั่วประเทศขยายผลทำนารอบ 2 แบบเปียกสลับแห้ง ตั้งเป้าภายในปี 2564 ให้ได้ 5 ล้านไร่ ยังช่วยลดการใช้น้ำได้มหาศาล เท่ากับความจุของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์รวมกับเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน
อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่าได้จัดทำโครงการสาธิตการทํานาแบบเปียกสลับแห้ง (แกล้งข้าว) เพื่อขยายผลองค์ความรู้ด้านการใช้น้ำในการทํานาอย่างประหยัดในพื้นที่นำร่อง 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ชลประทานของโครงการชลประทานเชียงใหม่ โครงการส่งน้ำและบํารุงรักษาแม่แตง จ.เชียงใหม่โครงการชลประทานอุบลราชธานี และโครงการส่งน้ำและบํารุงรักษาโดมน้อย จ.อุบลราชธานี
ทั้งนี้ การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง จะช่วยให้เกษตรกรลดปริมาณการใช้น้ำลง ดังที่กรมชลประทานได้ทดลองปลูกข้าวเหนียวอายุ 5 เดือน ในพื้นที่ชลประทานของอ่างเก็บน้ำแม่โก๋น อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ซึ่งปกติจะใช้น้ำประมาณ 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ แต่เมื่อทำนาแบบเปียกสลับแห้ง มีการใช้น้ำไปเพียงประมาณ 1,170 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ลดลงประมาณร้อยละ 28
อีกทั้ง มีผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นจาก 712 กก./ไร่ เป็น 845 กก./ไร่ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทำให้ในปัจจุบันเยาวชนรุ่นหลัง ๆ หันมาสนใจการทํานา เป็นการรักษาพื้นที่ชลประทานให้คงอยู่ รวมทั้งยังเกิดความสามัคคีในชุมชนที่ไม่ต้องแย่งน้ำกันต่อไปอีกด้วย
“ในปัจจุบันการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำใหม่ๆ ทำได้ยากขึ้นและต้องใช้ระยะยาวนาน ปัญหาการขาดแคลนน้ำเกิดบ่อยขึ้น แต่ความต้องการใช้น้ำในภาคส่วนต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา หากภาคการเกษตรโดยเฉพาะการทำนารอบ 2 ลดปริมาณการใช้น้ำลง จะทำให้ในอนาคตจะมีปริมาณน้ำเพื่อสนับสนุนกิจกรรมการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งเพิ่มขึ้น ปัญหาการขาดแคลนน้ำจะลดลง” นายสุเทพกล่าว
ข้อมูลจาก naewna.com/local/218200