data-ad-format="autorelaxed">
รู้กันดีว่า สมุนไพรไทยหลายชนิดมีสรรพคุณเป็นเลิศในการป้องกัน และรักษา โรคมะเร็ง ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ระยะหลังมานี้ จะมีผู้ป่วย โรคมะเร็ง หลายรายหันมาพึ่งสมุนไพรไทยเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการรักษาโรคร้ายอย่าง โรคมะเร็ง
หลายคนกลับใช้สมุนไพรรักษา โรคมะเร็ง ไม่ถูกต้อง สมุนไพรอันเป็นยาวิเศษจึงไม่สามารถช่วยรักษา โรคมะเร็ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น รายการคนสู้โรค ทางช่องไทยพีบีเอส จึงได้เข้าไปพูดคุยกับ อาจารย์อุดม ลดหวั่น แพทย์แผนไทย จากสวนสมุนไพรพรอุดม ในจังหวัดชลบุรี เพื่อขอคำแนะนำในการใช้สมุนไพรรักษา โรคมะเร็ง อย่างถูกวิธี
ทั้งนี้ อาจารย์อุดม พูดถึงแนวทางการรักษาตามแบบฉบับแพทย์แผนไทย ว่า แพทย์แผนไทยจะไม่มีอุปกรณ์ในการวิจัย หรือหาว่าเป็น โรคมะเร็ง จุดไหน โดยจะฟังจากอาการของผู้ป่วย แล้ววิเคราะห์ว่า เขาน่าจะเป็น โรคมะเร็ง ที่จุดไหน จากนั้นก็เริ่มรักษาด้วยการปรับธาตุของผู้ป่วยให้สมดุลก่อน เพราะในวิชาเภสัชกรรมแผนไทยระบุไว้ว่า ธาตุเป็นที่ตั้งแรกเกิดของโรค หากเป็น โรคมะเร็ง ก็ต้องไปแก้ที่ธาตุให้สมดุลขึ้น
สำหรับวิธีการปรับธาตุนั้น อาจารย์อุดม ระบุว่า แพทย์แผนไทยมีหลายตำรับ สำหรับอาจารย์นั้นจะใช้ตำรับเบญจกุล คือ ใช้สมุนไพรที่มีรสร้อน 5 ตัว คือ ดอกดีปลี รากช้าพลู เถาสะค้าน รากเจตมูลเพลิง และขิงแห้ง นำมาต้มแล้วบดใส่แคปซูลรับประทาน จะช่วยปรับธาตุรวมของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อปรับธาตุเรียบร้อยแล้ว หากผู้ป่วยมีอาการอื่น ๆ ก็จะใช้สมุนไพรรักษาตามอาการ เช่น ปวดกระดูก ก็จะใช้สมุนไพรบำรุงกระดูก ช่วยคลายเส้นให้ ถ้าเป็น โรคมะเร็ง ก็จะมีตำรับน้ำเหลืองเสีย หรือถ้าเลือดออกก็จะมีตำรับไปช่วยห้ามเลือดให้เช่นกัน
สำหรับสมุนไพรที่สวนสมุนไพรปลูกไว้รักษา โรคมะเร็ง ก็อย่างเช่น
ทองพันชั่ง
ทองพันชั่ง ช่วยแก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ โรคมะเร็ง ถือเป็นตัวหลักที่ช่วยรักษา โรคมะเร็ง
พิลังกาสา
พิลังกาสา ช่วยบำรุงตับ ฟื้นฟูตับแข็ง โรคมะเร็งตับ แก้น้ำเหลืองเสียง แก้โรคเรื้อน แก้กามโรค
ข้าวเย็นเหนือ
ข้าวเย็นเหนือ และข้าวเย็นใต้ ช่วยแก้เรื่องน้ำเหลือง โรคมะเร็ง บำรุงร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้ฟื้นตัวเร็ว
ขันทองพยาบาท
ขันทองพยาบาท ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง แก้ประดง แก้โรคเรื้อน โรคมะเร็ง โรคคุดทะราด
ทั้งนี้ ในการรักษา โรคมะเร็ง ของที่สวนสมุนไพรแห่งนี้ จะเป็นการรักษา โรคมะเร็ง โดยรวม ไม่ได้แยกว่าเป็น โรคมะเร็ง ชนิดไหน ซึ่งอาจารย์อุดม บอกว่า ถ้าเราปรับธาตุของผู้ป่วยให้สมดุลแล้ว เขาจะมีภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยรักษาโรคให้ตัวเองได้ กล่าวคือ หากน้ำเหลืองสะอาดแล้ว จะช่วยให้ม้าม และต่อมน้ำเหลืองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ม้ามที่เป็นตัวขจัดเชื้อโรคให้ร่างกายก็จะไปเพิ่มภูมิคุ้มกันในตัวให้มากขึ้น ส่วนต่อมน้ำเหลืองก็จะช่วยขจัดแบคทีเรีย ไวรัส จุลินทรีย์แปลกปลอมที่เข้าไปในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื้อโรคก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ
อาจารย์อุดม ยังบอกด้วยว่า ผู้ป่วยที่มายังสวนสมุนไพรแห่งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วย โรคมะเร็ง ที่มีอาการหนัก คือ แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้แล้ว จึงเลือกมาใช้วิธีแพทย์ทางเลือก ซึ่งทางอาจารย์ก็จะรักษาให้ แต่บางรายทานยาได้ไม่กี่วันก็เสียชีวิตไปก่อน เพราะเขามาเมื่อมีอาการหนักมากแล้ว แต่หากผู้ป่วยที่อาการไม่หนักมาก สามารถอยู่ทานยาไปได้ถึง 35 วัน ส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องทานต่อไปเรื่อย ๆ แต่อาจลดปริมาณลง เพื่อไม่ให้ภูมิต้านทานลดลง
อ.อุดม ลดหวั่น
เมื่อถามว่าผู้ป่วยจะมีอาการแพ้จากการใช้ยาสมุนไพรหรือไม่ อาจารย์อุดม ยอมรับว่า หากผู้ป่วยไม่รู้ถึงปริมาณการใช้ก็มีโอกาสแพ้ได้ เพราะยาแต่ละตัวจะมีปริมาณกำหนดว่าควรใช้แค่ไหนในแต่ละครั้งที่ร่างกายจะรับได้ ซึ่งหากแพ้สมุนไพรไม่รุนแรง อาจมีผื่นคันขึ้นตามตัว แต่ถ้าอาการรุนแรงขึ้นจะมีอาการใจสั่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งถ้าไปหาแพทย์แผนไทย เขาจะใช้รางจืดช่วยถอนพิษให้
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหลายคนอยากใช้สมุนไพรร่วมกับการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะคิดว่าน่าจะได้ผลมากกว่า แต่อาจารย์อุดม บอกว่า ไม่ควรรับประทานยาสมุนไพร และยาแผนปัจจุบันพร้อมกัน ควรจะจัดเวลาให้ห่างกัน เช่น ยาแผนปัจจุบันให้ทานก่อนอาหาร เราก็มาทานสมุนไพรหลังอาหารแทน โดยให้ห่างกันสัก 30 นาที เพื่อที่ยาจะได้ไม่ตีกัน
อาหารชีวจิต
นอกจากนี้ อาจารย์ได้แนะนำให้ผู้ป่วย โรคมะเร็ง เน้นทานอาหารชีวจิต คือ พวกผัก ผลไม้ ธัญพืช ไม่สนับสนุนให้ทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะโปรตีนยิ่งเข้าไปมากก็ยิ่งกระตุ้นเซลล์ โรคมะเร็ง มากขึ้น จึงแนะนำให้น้ำผักผลไม้แบบปั่นรวมทุกวัน เพราะมีกากใยที่จะช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ไม่ให้ของเสียตกค้างในร่างกาย ผู้ป่วยจะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
สำหรับผู้ที่ไม่ได้ป่วยเป็น โรคมะเร็ง ก็ควรจะดูแลตัวเองเช่นกัน ซึ่งอาจารย์ก็แนะนำว่า เราต้องรู้ว่า ระบบขับถ่ายเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ หากถ่าย 3 วันครั้ง หรือสัปดาห์ละครั้งก็มีโอกาสเสี่ยงต่อ โรคมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ได้ง่าย ๆ ดังนั้น ควรเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง ทานผักผลไม้ที่มีกากใยให้มาก ๆ เพื่อช่วยเรื่องการขับถ่าย อย่างน้อยถ่ายวันละครั้งก็จะช่วยให้ของเสียถูกขับออกไป ไม่ถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือดอีก
และนี่ก็คือคำแนะนำดี ๆ จากอาจารย์อุดม ลดหวั่น แพทย์แผนไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้สมุนไพรรักษา โรคมะเร็ง แต่ถ้าไม่อยากป่วยเป็นโรคมะเร็ง ก็อย่าลืมดูแลร่างกายให้แข็งแรง และเน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
อ้างอิง http://health.kapook.com/view48253.html