ผลิตสารกาแฟแบบคุณภาพ - เกษตร Tips

ผลิตสารกาแฟแบบคุณภาพ - เกษตร Tips จังหวัดเชียงราย มีการนำกาแฟมาปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 โดยโครงการปลูกพืชทดแทนและพัฒนาเศรษฐกิจชาวไทยภูเขา ไทย สหประชาชาติ โครงการดังกล่าว ได้นำกาแฟพันธุ์ อราบิก้า มาปลูกทดแทนฝิ่น ซึ่งได้ผลดี ทำให้ปริมาณการผลิตฝิ่นลดลงอย่างต่อเนื่องจนหมดไปในทุกวันนี้ โดยมีการทดลองปลูก ณ พื้นที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง สถานีทดลองเกษตรที่สูงจังหวัดเชียงราย และแจกจ่ายไปสู่เกษตรกร และชาวไทยภูเขา ปลูกกันโดยทั่วไปในปัจจุบัน

และจากผลผลิตที่ได้รับมีคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอแก่ความต้องการของตลาดในประเทศ การพัฒนาขบวนการผลิตกาแฟก็ได้เริ่มพัฒนาได้รับคุณภาพมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นที่ บ้านปางขอน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันนอกจากจะมีการปลูกกาแฟคุณภาพแล้วก็ยังมีการพัฒนาขบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานถูกหลักการโภชนาการอีกด้วย ซึ่งเกษตรกรที่ปลูกและผลิตกาแฟในพื้นที่แห่งนี้จะเป็นผู้ที่ได้รับการสนับสนุนด้านความรู้ และประสบการณ์ที่ดีในการเพาะปลูกจาก สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านปางขอน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

โดยเฉพาะการแปรรูปเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ทำให้ราคากาแฟมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งโดยวิธีการแปรรูปของที่นี่จะมี 2 วิธีที่นิยมปฏิบัติกัน คือ 1. การทำสารกาแฟโดยวิธีเปียก เป็น วิธีการที่นิยมกันแพร่หลาย เพราะจะได้สารกาแฟที่มีคุณภาพ รสชาติดีกว่า ราคาสูงกว่าวิธีตากแห้ง โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการ 5 ขั้นตอน คือ 1. การปอกเปลือกโดยการนำผลกาแฟสุกที่เก็บได้มาปอกเปลือกนอกทันที โดยเครื่องปอกเปลือก โดยใช้น้ำสะอาดขณะที่เครื่องทำงาน ไม่เก็บผลกาแฟไว้นานหลังการเก็บเกี่ยวเพราะผลกาแฟเหล่านี้จะเกิดการหมักขึ้นมาทำให้คุณภาพของสารกาแฟ มีรสชาติเสียไป ดังนั้นหลังปอกเปลือกแล้ว จึงนำไปขจัดเมือกทันที

เมล็ดกาแฟที่ปอกเปลือกนอกออกแล้ว จะมีเมือกห่อหุ้มเมล็ดอยู่ซึ่งจะต้องกำจัดออกไป ซึ่งมีวิธีการอยู่ 3 วิธีคือ

1. การกำจัดเมือกโดยวิธีการหมักตามธรรมชาติ เป็นวิธีการที่ปฏิบัติดั้งเดิม โดยนำเมล็ดกาแฟที่ปอกเปลือกออกแล้วมาแช่ในบ่อซีเมนต์ขนาด 3x1.5x1.2 เมตร มีรูระบายน้ำออกด้านล่าง ใส่เมล็ดกาแฟประมาณ 3/4 ของบ่อ แล้วใส่น้ำให้ท่วมสูงกว่ากาแฟ แล้วคลุมบ่อด้วยผ้าหรือพลาสติกปิดปากบ่อซีเมนต์ ทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง ในกรณีที่อุณหภูมิต่ำอากาศหนาวเย็น การหมักอาจจะใช้เวลา 48-72 ชั่วโมง จากนั้นปล่อยน้ำทิ้งแล้วนำเมล็ดมาล้างน้ำให้สะอาด นำเมล็ดมาขัดอีกครั้งในตะกร้าตาถี่ ที่มีปาก ตะกร้ากว้าง ก้นไม่ลึกมาก เมื่อขัดแล้วเมล็ดกาแฟจะไม่ลื่น แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งก่อนที่จะนำไปตาก

2. การกำจัดเมือกโดยการใช้ด่าง วิธีนี้จะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่หากเป็นกาแฟพันธ์ุโรบัสต้าจะใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยการนำเอาโซเดียมไฮดรอกไซด์ ความเข้มข้น 10% จำนวน 1 กิโลกรัม/น้ำ 10 ลิตร เทลงในบ่อซีเมนต์ที่ใช้หมักเมล็ดกาแฟ หลังจากเทเมล็ดกาแฟ ประมาณ 250-300 กิโลกรัม และเกลี่ยให้เสมอกัน จากนั้นใช้ไม้พายกวน เมล็ดกาแฟเพื่อให้สารละลายกระจายให้ทั่วทั้งบ่อประมาณ 30-60 นาที หลังจากทิ้งไว้ 20 นาที แล้วตรวจสอบว่าด่างย่อยเมือกออกหมด หรือหากยังออกไม่หมดก็กวนอีกจนครบ 30 นาที แล้วตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อเมือกออกหมดนำเมล็ดกาแฟไปล้างด้วยน้ำสะอาด 3-4 ครั้ง ก่อนนำไปผึ่งแดดให้แห้ง

3. การกำจัดเมือกโดยใช้แรงเสียดทาน โดยใช้เครื่องปอกเปลือกกะเทาะเปลือกนอก และกำจัดเมือกของเมล็ดกาแฟในเวลาเดียวกัน แต่มีข้อเสียคือทำให้เมล็ดเกิดแผล ดังนั้นจึงต้องคัดผลกาแฟให้มีขนาดใกล้เคียงกันมากที่สุด เพื่อลดความเสียหายของเมล็ดให้น้อยลง

หลังจากเมล็ดกาแฟผ่านการล้างทำความสะอาดแล้ว นำเมล็ดกาแฟมาเทลงบนลานตากที่ทำความสะอาดแล้ว หรือเทลงบนตาข่ายพลาสติกบนแคร่ไม้ไผ่ เกลี่ยเมล็ดกาแฟกระจายสม่ำเสมอหนาไม่เกิน 4 นิ้ว เกลี่ยวันละ 2-4 ครั้ง เพื่อให้เมล็ดแห้งเร็วขึ้น และเวลากลางคืนจะกองเมล็ดเป็นกอง ๆ และใช้พลาสติกคลุมเพื่อป้องกันน้ำฝนหรือน้ำค้าง ใช้เวลาตากประมาณ 7-10 วัน เมล็ดจะมีความชื้นประมาณ 13%

เมล็ดกาแฟที่ได้ก็จะเป็นในรูปของกาแฟกะลา ที่สามารถรักษาเนื้อกาแฟและป้องกันความชื้นกาแฟได้ดี จากนั้นนำไปบรรจุ ในกระสอบป่านใหม่ โดยกลับด้านในของกระสอบป่านออกมา ผึ่งลมก่อนนำไปใช้ เก็บในโรงเก็บที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่อับชื้น หรือมีกลิ่นเหม็น เพื่อรอการส่งจำหน่ายต่อไป.

อ้างอิง:www.dailynews.co.th

ส่งความคิดเห็น