สหกรณ์ไทย เจรจาการค้ากับจีน

สหกรณ์ไทย เจรจาการค้ากับจีน ปัจจุบันมีสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพ ด้านการบริหารจัดการองค์กรการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเป็นจำนวนมาก และสามารถขยายตลาดภายในประเทศได้แล้ว จึงเป็นโอกาสในการขยายสินค้ากระจายสู่ผู้บริโภคในต่างประเทศ ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้สูงขึ้น รวมทั้งเพิ่มโอกาสทางการค้าโดยศึกษาตลาดก่อนที่จะผลิตสินค้า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงได้ดำเนินการจัดทำโครงการจัดแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าสหกรณ์ของไทย และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างขบวนการสหกรณ์ของไทยและจีน ของคณะผู้แทนสหกรณ์ และผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในช่วงวันที่ 23-26 กันยายน พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำการค้าระหว่างกันต่อไปในอนาคต อีกทั้งเป็นการเรียนรู้นโยบาย และความต้องการสินค้าเกษตรของจีน เพื่อปรับกระบวนทัศน์การค้าของไทยให้สอดคล้องกับนโยบายและตรงกับความต้องการของตลาดสินค้าเกษตรของจีน โดยพบกับผู้บริหารตลาดสินค้าเกษตรของจีน และศึกษาดูงานการบริหารจัดการของศูนย์กระจายสินค้าของจีนในการเดินทางครั้งนี้ได้มีการลงนามหนังสือรับรองการเจรจาเพื่อจัดตั้งศูนย์แสดงสินค้าและจำหน่ายสินค้าเกษตร ความร่วมมือระหว่างสำนักงานการค้าเมืองเหวยฟาง ขบวนการสหกรณ์ของไทย และบริษัท ชิโนยูเนียนอินเตอร์เนชั่นแนลโลจิสติกส์ จำกัด ณ โรงแรม Fuhua International Hotel อีกด้วย

สำหรับเมืองเหวยฟาง จังหวัดซานตุง มีประชากร จำนวน 95.79 ล้านคน อัตราการเจริญเติบโต จีดีพี 10.9% มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 ของจีน รองจากมณฑลกวางตุ้ง และมณฑลเจียงซู สินค้านำเข้าที่สำคัญจากไทยได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และสินค้าเกษตร ซานตุงมีเมืองซิงเต่า เป็นเมืองใหญ่และเป็นศูนย์กลางด้านการเงินและการค้า รวมทั้งเป็นเมืองท่าทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือของจีน และเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ

จึงเป็นโอกาสของภาคสหกรณ์ในการเปิดตลาดสินค้าข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ผลไม้สด ผลไม้อบแห้งและผลไม้แปรรูป มันเส้น ยางพารา ผลิตภัณฑ์จากนมและหัตถกรรม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีโอกาสทางการตลาดสูงมากในสาธารณรัฐประชาชนจีนการลงนามในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจของสถาบันเกษตรกรสู่ระดับสากล เพื่อให้เกษตรกรสมาชิกของสถาบันมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งสร้างเครือข่ายการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างสหกรณ์กับสหกรณ์ สหกรณ์กับเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงได้คัดเลือกสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพ ด้านการบริหารจัดการองค์กรการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและสามารถขยายตลาดต่างประเทศได้ จำนวน 13 สหกรณ์ ในสินค้าประเภทข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว 4 สหกรณ์ สินค้าผลไม้สด 2 สหกรณ์ ผลไม้อบแห้งและแปรรูป 2 สหกรณ์ มันเส้น 1 สหกรณ์ ยางพารา 2 สหกรณ์ และผลิตภัณฑ์จากนม2 สหกรณ์ เข้าร่วมเดินทางไปประเทศจีนใน ครั้งนี้

สำหรับในพิธีลงนามหนังสือรับรองการจัดตั้งศูนย์แสดงสินค้าเกษตรนั้น มีผู้ร่วมลงนาม 3 ฝ่าย ได้แก่ สำนักงานการค้าเมืองเหวยฟาง ขบวนการสหกรณ์ของไทย (สหกรณ์ผู้ผลิต 9 แห่ง) และบริษัท ชิโนยูเนียนอินเตอร์เนชั่นแนลโลจิสติกส์ จำกัด เป้าหมาย เพื่อจัดตั้งศูนย์แสดงสินค้าเกษตรในประเทศจีน ซึ่งเป็นการสร้างรูปแบบใหม่ของเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยจีนอาจนับได้ว่าเป็นการเปิดเส้นทางสายใหม่ในการขายสินค้าเกษตรและสร้างมิตรภาพของประชาชน ส่วนศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ ถือเป็นส่วนที่รองรับหลังจากการลงนามเสร็จสิ้นลง ทันทีที่การเจรจาการค้าระหว่างสหกรณ์ผู้ผลิตของไทยกับบริษัทนำเข้าของจีน และได้ข้อตกลงนำเข้าสินค้าจากสหกรณ์ไทย สินค้าสหกรณ์ของไทยนั้น ๆ จะถูกส่งและลำเลียงเก็บไว้ ณ ศูนย์กระจายสินค้า เพื่อรอการส่งมอบต่อไป โดยไม่มีการเสียภาษีแต่อย่างใด

การเจรจาการค้าระหว่างสหกรณ์ผู้ผลิตของไทยกับบริษัทผู้นำเข้าของจีนได้แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มตามประเภทของกลุ่มผู้ผลิต ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันเส้น นม และผลไม้ โดยมีการตั้งเป้าหมายการเจรจาครั้งนี้ถึง 3 แสน 3 หมื่นตัน แบ่งเป็นข้าว 6 หมื่นตัน ยางพารา 2 แสน 5 หมื่นตัน และมันเส้น 2 หมื่นตัน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 569 ล้านบาท โดยบริษัทนำเข้าของจีนสนใจนำเข้ามันเส้น 4 พันตันต่อเดือน ในขณะที่มีถึง 3 บริษัทสนใจนำเข้าข้าวหอมมะลิ 100% สำหรับสินค้าอื่นๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอเรื่องปริมาณการผลิต การนำเข้า และราคา ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีเนื่องจากบริษัทนำเข้าของจีนมีความสนใจในสินค้าเกษตรของไทยอย่างยิ่งผลจากการเยือนประเทศจีนในครั้งนี้ และจากการเจรจาการค้าระหว่างสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรของไทยกับบริษัทนำเข้าของจีนนั้น สะท้อนให้เห็นได้ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์จะต้องทำงานหนักกันต่อไปในการกระตุ้นให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีความตื่นตัว และเตรียมตัวให้พร้อมกับการค้าและการแข่งขันทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก ที่สำคัญหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องรวบรวมข้อมูลอุปสงค์และอุปทานจากต่างประเทศให้พร้อมและต่อเนื่องตลอดถึงการประชาสัมพันธ์ให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรได้รับทราบการเคลื่อนไหว เพื่อจะได้กำหนดแผนการผลิต การจำหน่ายของสหกรณ์ต่อไป.

อ้างอิง:www.dailynews.co.th

ส่งความคิดเห็น