86 ปี กรมประมงสู่การเป็นผู้นำด้านประมง

86 ปี กรมประมง...สู่การเป็นผู้นำด้านประมง 21 กันยายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนากรมประมง และ เป็นวันประมงแห่งชาติ ปีนี้กรมประมงครบรอบ 86 ปี...ที่ผ่านมาภารกิจของกรมประมง นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในแต่ละปีอาชีพประมงและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประมงได้นำรายได้กลับคืนสู่ประเทศปีละหลายแสนล้านบาท ส่งผลให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านการประมงของภูมิภาคอาเซียน

ดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมฯ ได้กำหนดแผนขับเคลื่อนในเรื่องของการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมทั้งเพิ่มพูนผลผลิตจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นสำคัญ โดยมีการผลิตและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงสู่ธรรมชาติ 1,500 ล้านตัว เพื่อชดเชยทรัพยากรที่ลดน้อยลงจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมา และจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ ยังได้มีการแก้ไขปัญหาราคากุ้งตกต่ำ โดยการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคากุ้งขาวแวนนาไม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ส่งผลให้ขณะนี้ราคากุ้งขยับเพิ่มสูงขึ้นสู่สภาวะปกติแล้ว อีกทั้งยังได้มีการฟื้นฟูสัตว์ทะเลโดยการวางปะการังเทียมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้ได้มีการวางปะการังเทียมทั้งหมด 15 แห่ง รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลฝั่งจังหวัดกระบี่ โดยการปิดอ่าวเป็นเวลา 3 เดือน ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนั้น กรมประมงยังได้ให้ความรู้และฝึกอบรมให้กับเกษตรกรทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เพื่อให้เกิดการประกอบอาชีพด้านประมงอย่างยั่งยืน ประกอบกับได้ดำเนินงานในเรื่องของอาหารปลอดภัย ซึ่งกรมฯได้ปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานทั้งระบบการตรวจรับรองงาน ตลอดจนการยกระดับห้องปฏิบัติการให้เทียบเท่ากับต่างประเทศ เพื่อให้การส่งออกสินค้าประมงของประเทศไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก สำหรับในปีต่อไป กรมฯ จะเน้นในเรื่องของการพัฒนาประมงทะเลให้เป็นรูปแบบของการบริหารการจัดการที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์ในอ่างเก็บน้ำ และการทำธนาคารพ่อแม่พันธุ์ ตลอดจนการตั้งชุมชนตัวอย่างในพื้นที่เพื่อผลิตพันธุ์สัตว์น้ำ เป็นต้น

อธิบดีกรมประมง กล่าวต่ออีกว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2558 กรมฯ จึงจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้ พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ผลิต และเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้ทราบถึงผลดีของการเข้าสู่เออีซี รวมถึงชี้ให้เห็นในสิ่งที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถขยายตลาดการส่งออกสินค้าได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการประมงในอาเซียน สิ่งที่เราจะสามารถแสดงบทบาทการเป็นผู้นำได้คือ การมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนให้มีการพัฒนาในระดับที่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะการจัดทำมาตรฐานสินค้ากุ้ง รวมทั้งเข้าไปพัฒนาห้องปฏิบัติการและการตรวจสอบให้มีคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกประเทศในอาเซียน ทำให้มีความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าสัตว์น้ำมากขึ้น

เชื่อว่าหากเราสามารถรักษาจุดแข็ง และศักยภาพในการผลิตสินค้าประมงให้ได้มาตรฐานเช่นนี้ต่อไป ในอนาคตประเทศไทยอาจจะก้าวไปสู่การเป็น “ผู้นำด้านประมงของโลก” เลยก็เป็นได้.

อ้างอิง:www.dailynews.co.th

ส่งความคิดเห็น