เดินหน้า ฝ่าวิกฤติแก้ปัญหาราคายาง

เดินหน้า ฝ่าวิกฤติแก้ปัญหาราคายาง เป็นเวลากว่าปี ที่กระทรวงเกษตรเดินหน้าผลักดัน โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ภายใต้นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ภายใต้วงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาทเพื่อรับซื้อยางพาราแผ่นดิบในราคา 100 บาทต่อกิโลกรัมและยางแผ่นรมควันชั้น 3 ในราคา 104 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งมาตรการดังกล่าวนับเป็นกลไกสำคัญซึ่งรัฐบาลมั่นใจว่า จะช่วยแก้ปัญหาราคายางที่กำลังผันผวนในตลาดให้กระทบต่อความเดือดร้อนของชาวสวนยางให้ลดน้อยลง

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานอนุกรรมการบริหารโครงการฯระดับจังหวัด กล่าวว่า เพื่อให้โครงการรักษาเสถียรภาพราคายางในปีที่ 2 เดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้จัดประชุมซักซ้อมการปฏิบัติงานแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัด ตลอดจนประธานเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางระดับจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 56 แห่งที่มีสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งได้กำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 56 แห่งให้ช่วยเป็นหูเป็นตาหมั่นตรวจสอบไม่ให้เกิดปัญหาการสวมสิทธิในโกดังเก็บสต๊อกยางและปัญหาทุจริตในโครงการเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด

สำหรับแนวทางการดำเนินงาน กระทรวงเกษตรฯได้ลงนามแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการบริการและการปฏิบัติงานภายใต้โครงการรักษาเสถียรภาพราคายางใหม่เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2556 โดยกำหนดให้สถาบันเกษตรกรที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ และรับซื้อยางจะต้องรับผิดชอบ และให้บริการกับสมาชิกของสถาบันเกษตรกรนั้น ๆ ตามจำนวนยางและพื้นที่ปลูกยางที่ให้ผลผลิตแล้วไม่เกินรายละ 25 ไร่ ปริมาณไม่เกิน 2 กก./ไร่/วัน เดือนละไม่เกิน 17 วัน ทั้งนี้ปริมาณยางที่สะสมไว้ในการเข้าร่วมโครงการครั้งแรก ต้องไม่เกิน 15 วัน ของศักยภาพการผลิต นับจากวันแรกที่เริ่มรวบรวมหรือรับซื้อยางจากสมาชิก โดยปริมาณรับซื้อรวม 1.7 แสนตัน มูลค่าการรับซื้อยางกว่า 17,000 ล้านบาท

โดยสถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องรับผิดชอบดังนี้ 1. ลงทะเบียนเกษตรกรสมาชิกที่มาขายยาง รวมทั้งแสดงพื้นที่สวนยางที่ให้ผลผลิต กรณีที่มีการเพิ่มพื้นที่ เพิ่มจำนวนสมาชิกที่มีผลทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ต้องให้คณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯระดับจังหวัดเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง 2. จะต้องคัดคุณภาพยางตามมาตรฐานที่กำหนดอย่างเคร่งครัด 3. ชั่งน้ำหนักยาง จดบันทึก และจัดทำบัญชีตามที่โครงการฯ กำหนด 4. จ่ายเงินค่าซื้อยาง 5. แปรรูปยาง 6. แสดงเอกสารบัญชีซื้อยางจากสมาชิก เมื่อนำยางมาขายให้องค์การสวนยางทุกครั้ง คณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ ระดับจังหวัด ตามชนิด ปริมาณและคุณภาพทุก 15 วัน เพื่อรวบรวมแจ้งให้สำนักงานเลขานุการบริหารโครงการฯ ของ สกย. ทราบทุกวันที่ 1 ของเดือน

ทั้งนี้กรณีสถาบันเกษตรกรที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ไม่จัดทำรายงานการซื้อและการขายยางส่งให้เลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ระดับจังหวัดกำหนดทุก 15 วัน ให้ตัดสิทธิการซื้อขายไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ

“ส่วนกรณีสถาบันเกษตรกรที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตตามผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯระดับจังหวัด คณะกรรมการบริหารโครงการฯ มีอำนาจสั่งยุติดำเนินการตามโครงการฯและดำเนินคดีกับสถาบันเกษตรกรได้ทันที” นายยุทธพงศ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ราคายางมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นได้มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำหนดมาตรการให้มีการส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกยางธรรมชาติในรูปของวัตถุดิบเปลี่ยนเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากยางพาราแทนอีกด้วย ในขณะเดียวกันก็ได้ให้นโยบายให้คณะกรรมการบริหารโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางได้เร่งติดตาม ทบทวน ปรับปรุงการบริหารจัดการโครงการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อให้เกษตรกรสวนยางได้รับประโยชน์ตามเป้าหมายของโครงการมากที่สุด ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริงทั้งในอนาคตและปัจจุบัน.

อ้างอิง:www.dailynews.co.th

ส่งความคิดเห็น