ยกระบบสหกรณ์ไทย สร้างความเข้มแข็งในเวทีโลก

ยกระบบสหกรณ์ไทย สร้างความเข้มแข็งในเวทีโลก ตลอดระยะเวลาของการก่อตั้งกรมส่งเสริมสหกรณ์ ขึ้นมาจนถึงขณะนี้มีอายุครบ 40 ปี กรมฯ สามารถพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ให้มวลสมาชิกที่อยู่ในขบวนการสหกรณ์กว่า 10 ล้านครอบครัวให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น ดังนั้น ในการก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้มีการวางกรอบนโยบายที่ชัดเจนให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมฯ ร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเพื่อสนองนโยบายการขับเคลื่อนสหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติ ภายใต้แนวคิด เครือข่ายเข้มข้น สหกรณ์เข้มแข็ง

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ในเรื่องเครือข่ายเข้มข้นนั้นจะเป็นการสร้างเครือข่ายสหกรณ์ให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยในช่วง 10 ปีข้างหน้า กรมฯ จะเน้นในเรื่องการขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ด้วยกันเป็นหลัก เพื่อใช้เครือข่ายสหกรณ์ในการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องผ่านระบบการจัดการของคนกลางเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาสหกรณ์ ส่วนเรื่องสหกรณ์เข้มแข็ง คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของขบวนการสหกรณ์ในทุกรูปแบบ เช่น การให้การสนับสนุนเรื่องเงินทุนที่อาจต้องมีสถาบันการเงินอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ รูปแบบแรก ใช้เครือข่ายสหกรณ์ที่มีกำลังเงินมหาศาลซึ่งฝากอยู่ในระบบการเงินของประเทศมากกว่า 500,000 ล้านบาท มาเป็นแหล่งเงินทุนให้สหกรณ์ที่ต้องการใช้เงินกู้ยืมเพื่อนำไปใช้สร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักของการได้รับประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย รูปแบบที่ 2 เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ เช่น หากรัฐวิสาหกิจจำเป็นต้องกู้เงินเปิดขายพันธบัตร อาจจะใช้เงินสหกรณ์เข้าไปช่วยพัฒนาประเทศบนเงื่อนไขเดียวกับที่จะไปกู้ธนาคารอื่น ซึ่งเป็นการแสดงความเข้มแข็งของระบบสหกรณ์ให้สังคมเห็นอีกทางหนึ่ง

นอกจากการสร้างความเข้มแข็งระบบสหกรณ์ในประเทศ กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังพยายามนำระบบสหกรณ์ไทยขยายเครือข่ายไปในตลาดต่างประเทศด้วย ซึ่งล่าสุดมีนโยบายขยายตลาดสินค้าสหกรณ์ของไทยไปสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในเบื้องต้นมีการเจรจาการค้าระหว่างสหกรณ์ผู้ผลิตของไทยกับตัวแทนสหกรณ์ บริษัทผู้นำเข้าและภาคเอกชนของจีนใน 5 กลุ่มสินค้าแบ่งตามประเภทของกลุ่มผู้ผลิต ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันเส้น นม และผลไม้ โดยมีเป้าหมายเจรจาการสั่งซื้อสินค้าสหกรณ์ไทยรวม 330,000 ตัน แบ่งเป็นข้าว 60,000 ตัน ยางพารา 250,000 ตัน มันเส้น 20,000 ตัน ซึ่งขณะนี้มี 3 บริษัทผู้นำเข้าของจีนสนใจนำเข้าข้าวหอมมะลิ 100% เช่นเดียวกับสินค้ายางพารามีบริษัทผู้ผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา 4 ราย สนใจซื้อสินค้ายางแท่ง STR20 และซื้อน้ำยางดิบ โดยบริษัทเหล่านี้เคยซื้อยางพาราจากไทยอยู่แล้วแต่ต้องการติดต่อซื้อกับสหกรณ์โดยตรง ส่วนมันเส้นนั้นก็ได้รับความสนใจจากบริษัทเอกชนจีน เนื่องจากพึงพอใจในผลิตภัณฑ์มันเส้นจากไทย และมีความต้องการเดือนละ 4,000 ตัน สำหรับสินค้าอื่นนั้นอยู่ระหว่างการติดต่อพิจารณาข้อเสนอเรื่องปริมาณการผลิต การนำเข้า และราคา ซึ่งมีแนวโน้มดีมากเพราะสินค้าเกษตรของไทยเป็นที่สนใจและต้องการของบริษัทผู้นำเข้าของจีนอยู่แล้ว

...นี่เป็นเพียงผลงานในช่วงที่ผ่านมาและก้าวสำคัญที่จะเดินหน้าต่อไปของกรมส่งเสริมสหกรณ์ในฐานะบทบาทของผู้ผลักดันให้ระบบสหกรณ์มีความเข้มแข็งในระดับประเทศและขยายฐานสร้างความเข้มแข็งในตลาดโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สหกรณ์วาระแห่งชาติ.

อ้างอิง:www.dailynews.co.th

ส่งความคิดเห็น