การเลี้ยงหมู : การเลี้ยงหมูต้นทุนต่ำ หมูหลุมดินชีวภาพ หมู เลี้ยงหมู
การเลี้ยงหมู ในปัจจุบัน มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากวิธีการเลี้ยงเปลี่ยนแปลงไปเป็นลักษณะเชิงการค้าค่อนข้างมาก
data-ad-format="autorelaxed">
การเลี้ยงหมูต้นทุนต่ำ
"หมูหลุมดินชีวภาพ"
โดย วิชิต ถิ่นวัฒนากูล
ที่ปรึกษา มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา
การเลี้ยงหมูในยุคปัจจุบัน นับว่ามีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากวิธีการเลี้ยงเปลี่ยนแปลงไปเป็นลักษณะเชิงการค้าค่อนข้างมากทำให้ ต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากต้องซื้ออาหารสำเร็จ หรือวัตถุดิบมาผสมเป็นอาหารในราคาค่อนข้างสูงมากเพราะส่วนผสมส่วนใหญ่ไม่ได้ นำมาจากภายในท้องถิ่น รวมทั้งวัตถุดิบบางส่วนก็เป็นสารเคมีซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีนักในการนำมาบริ โภคแม้ว่าจะยังไม่เห็นผลกระทบชัดเจนก็ตาม
นอกจากต้นทุนการผลิตที่สูงมากดังได้กล่าวแล้ว การเลี้ยงหมูในปัจจุบันยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใน ชุมชนที่ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนค่อนข้างมาก เนื่องจากวิธีการ เลี้ยงแบบใหม่นั้นเร่งอัตราการเจริญเติบโตของหมูมากเกิน ทำให้เกิดการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ไปบางส่วน เนื่องจากหมูไม่สามารถย่อยอาหารที่กินเข้าไปได้หมด ทำให้ยัง มีกากอาหารเหลือออกมาและเน่าบูดส่งกลิ่นเหม็น แต่ที่ เราต้องเสียไปฟรี ๆ คือค่าอาหารที่หมูกินแล้วย่อยไม่หมด การเลี้ยงทั่วไปหมูอยู่บนพื้นแข็ง ทำให้อยู่ไม่สบาย ซึ่งเป็นส่วนที่เราไม่ควรจะต้องจ่ายเลยแม้แต่น้อย
จากการเข้ามาเผยแพร่ความรู้ของสมาคมเกษตรกรรมธรรมชาติประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดคิดค้นและพัฒนาการใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่น (Indigenous Micro Organism/IMO หรือที่เรารู้จักกันดีคือน้ำหมักชีวภาพ ที่ได้จากการหมักผัก/ผลไม้/เนื้อสัตว์กับน้ำตาลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ การเกษตรเพราะเราสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางและได้ผล)จนเมื่อมาพบ กับปัญหาดังกล่าวข้างต้นทำให้มีความพยายามหาทางแก้ไข โดยเกษตรกรบางกลุ่มในเขตอำเภอเชียงคำ และอำเภอปง จังหวัดพะเยาได้นำเอาความรู้ที่ได้มาทดลองทำเมื่อ 3 – 4 ปีก่อน และกลุ่มผู้เลี้ยงหมูในจังหวัดชัยภูมิได้ไปศึกษาดูงาน และนำมาขยายผลต่อ ดังที่ท่านกำลังจะได้ศึกษาต่อไปนี้
ในการเลี้ยงหมูต้นทุนต่ำ หรือหมูหลุมดินชีวภาพนี้ สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ประมาณร้อยละ 70 เนื่องจากอาหารหลักที่ให้หมูกินคือผักนานาชนิด และอาหารสำเร็จ หรืออาหารผสมเพียง ร้อยละ 30 เท่านั้น จึงสามารถลดต้นทุนลงได้อย่างมาก ขณะที่หมูมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับหมูที่เลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จเพียง อย่างเดียว สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมากคือกำไรที่ผู้เลี้ยงจะได้รับ เพราะต้นทุนต่ำมาก เพราะประหยัดค่าอาหาร ค่าน้ำล้างคอก อีกทั้งยังได้ปุ๋ยหมักอย่างดีไปใส่นา หรือสวนได้โดยไม่ต้องกลับกองให้เหนื่อยอีกขณะเดียวกันหมูที่เลี้ยงก็ไม่มี อาการเครียด หรือส่งเสียงร้องสร้างความรำคาญเพราะพื้นคอกเป็นแกลบผสมดินที่มีความอ่อน นุ่ม เวลาหมูเดิน หรือนอนก็ไม่เจ็บ และสามารถขุดคุ้ยเล่นได้ตามสัญชาติญาน สิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งคือ การเลี้ยงแบบนี้ไม่มีกลิ่นมารบกวนเลยแม้จะเข้าไปอยู่ในคอกหมูก็ยังไม่ได้ กลิ่น เนื่องเพราะจุลินทรีย์ที่ผสมเข้าไปให้หมูกิน และที่ใช้ราดวัสดุพื้นคอกนั่นเอง
การเตรียมคอก การเลี้ยงแบบเดิมจะเป็นพื้นราดปูนแข็ง เพื่อง่ายแก่การทำความสะอาด ซึ่งทำให้หมูเครียดเพราะอยู่ไม่สบาย แต่การเลี้ยงแบบนี้จะเป็นพื้นอ่อน และโรงเรือนจะต้องสัมพันธ์กับจำนวนหมู โดยให้มีขนาดคอกกว้าง 2 X 6 เมตร สามารถเลี้ยงได้คอกละ 9 ตัว เริ่มด้วยการขุดพื้นคอกลึกลงไป 90 เซนติเมตร (หรือขุดเพียง 45 ซม. แล้วเอาดินที่ขุดขึ้นมานั้นถมด้านข้างก็จะได้ความลึก 90 ซม.) ในการมุงหลังคานั้นควรให้ตีนชายคากว้างกันไม่ให้น้ำฝนสาดเข้ามาในคอก และเมื่อตีฝาคอกแล้ว ต้องใช้อิฐบล็อกหรือไม้ไผ่กั้นรอบ ๆ คอกลึกลงไปจากพื้นดินประมาณ 40 – 50 เซนติเมตร เพื่อกันไม่ให้หมูขุดออกนอกคอกได้ (การกั้นฝาคอกควรติดตั้งประตูปิด-เปิดได้ไว้ เพื่อความสะดวกในการนำหมูเข้า–ออก) สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือบริเวณที่จะสร้างคอกไม่ควรเป็นพื้นที่ต่ำน้ำท่วมขัง และควรเป็นที่ร่มใต้ต้นไม้มีอากาศถ่ายเทได้ดี เพราะหมูเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบอากาศร้อน
การเตรียมวัสดุพื้นคอก เมื่อขุดหลุมเสร็จ ก็ปูพื้นคอกโดยใช้แกลบ 10 ส่วน ผสมดินละเอียด 1 ส่วน เทลงก้นหลุมที่ขุดไว้ให้มีความหนา 30 ซม. แล้วใช้เกลือเม็ด 1 ถ้วยตราไก่ หรือประมาณครึ่งลิตรโรยหน้า แล้วใช้น้ำหมักชีวภาพ 2 ช้อนแกงผสมน้ำ 1 บัว (10 ลิตร) ราดให้ทั่ว ทำเหมือนเดิมอีก 2 ชั้นจนเท่าระดับพื้นดิน ช่วงนี้วัสดุพื้นคอกจะยังร้อนจากการทำงานของจุลินทรีย์ ทิ้งไว้ประมาณ 10 วันจึงนำหมูเข้าอยู่ได้ และควรราดน้ำหมักชีวภาพลงบนพื้นคอกเพิ่มเติมอีกทุก ๆ 5-7 วัน ครั้งละ 1 บัว ภายหลังจากเริ่มเลี้ยงหมูแล้ว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลายสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ
การให้อาหารและน้ำ อาหารผสม หรืออาหารสำเร็จที่เคยให้เป็นหลักนั้นจะต้องลดลง เหลือเพียงประมาณร้อยละ 30 เช่น เราเคยให้ตัวละ 2 กก. ต่อวัน ก็จะต้องเหลือแค่ตัวละ 6 ขีด ต่อวัน ส่วนอาหารที่จะให้หมูกินเป็นหลักคือผักที่มีอยู่ตามธรรมชาติทั่วไป เหมือนการเลี้ยงในสมัยก่อน เช่น หยวกกล้วย ผักเบี้ย ผักขม ผักตบชวา ยอดกระถิน ยอดข้าวโพด ใบมัน ฯลฯ โดยนำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วแช่ในน้ำที่ผสมน้ำหมักชีวภาพไว้นานประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง ซึ่งใช้สูตรเดียวกับน้ำที่ให้หมูกิน คือผสมน้ำหมักชีวภาพกับน้ำ ในอัตราส่วนตั้งแต่ 1 ต่อ 1,000 สำหรับหมูเล็ก, 1 ต่อ 800 สำหรับหมูรุ่นและ 1 ต่อ 500 สำหรับหมูใหญ่ หรือหมูพ่อ-แม่พันธุ์ (น้ำ 1 ปี๊บ มี 20 ลิตร หากเป็นหมูเล็กผสมแค่ 2 ช้อนโต๊ะ,หมูรุ่น ผสม 3 ช้อนโต๊ะ, หมูใหญ่ ผสม 4 ช้อนโต๊ะ)
การป้องกันโรค เนื่องจากการเลี้ยงหมูแบบต้นทุนต่ำนี้ มีน้ำหมักชีวภาพซึ่งมีจุลินทรีย์ และวิตามินจากผักเป็นตัวหลักในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับหมู แต่หากอาหาร หรือน้ำไม่สะอาดพอ หมูอาจมีอาการท้องเสีย หรือขี้เหลวได้ (ซึ่งปกติไม่ค่อยเกิดบ่อยนัก) ต้องรักษาโดยนำใบผรั่งสด ใบฟ้าทะลายโจรสด และเถาบอระเพ็ดเอาให้หมูกิน รวมทั้งจะต้องหาว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เช่น อาหารและน้ำอาจไม่สะอาดพอ ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่ นอกจากนี้ควรใช้มุ้งเขียวคลุมคอกเพื่อกันยุงตั้งแต่เย็นถึงเช้า แต่หากเป็นพื้นที่ที่มีตัวริ้นชุกชุม (โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน) ควรนำเอาตะไคร้หอมมาทุบแช่น้ำ แล้วฉีดพ่นให้หมูในช่วงหัวค่ำ (ระวังอย่าให้เข้าตา) เนื่องจากตะไคร้หอมมีสรรพคุณช่วยไล่แมลงได้เป็นอย่างดี
อ่านเรื่องนี้แล้ว : 201664 คน
£
ความคิดเห็นจากผู้อ่าน:
ธนกฤต สุวรรณเทพ[email protected]ดีมากแตควรตอบทุกคำถาม
29 เม.ย. 2555 , 12:17 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
ภัทรนันท์[email protected]สนใจมากค่ะ มีที่อยู่จ.น่าน 1งานกว่าๆถมดินไว้เตรียมเลี้ยงหมูหลุม แต่ยังไม่ได้ไปดูงานที่ใหน ศึกษาจากเน็ตล้วนๆ ถ้าพบปัญหาในการเลี้ยงรบกวนขอคำปรึกษาด้วยนะคะ ขอบคุณไว้ล่วงหน้าค่ะ
28 มี.ค. 2555 , 10:08 PM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
ส.อ.เพิ่มศักดิ์ ใจทน[email protected]ผมอยู่ชายแดนภาคเหนื่อ แถวปางมะผ้า อยากจะแนะนำให้ ชาวบ้านเลี้ยงหมูหลุม สร้างอาชีพให้ชาวบ้าน ให้มีรายได้เสริม จากปกติทำเกษตรปลูก
ถั่วแดง ถั่วแขก ซึ่งต้องใช้พื้นที่ในการปลูกเยอะมาก ตอนนี้ป่าไม้และพื้นที่ราบแทบไม่เหลือ หากชาวบ้านได้มีความรู้เรื่องหมูหลุมและเลี้ยง คงจะไม่ต้องตัดป่าไม้ถากถางพื้นที่เพิ่ม. ผมจะพาชาวบ้านไปอบรมเลี้ยงหมูหลุมได้จากที่ไหนครับ .
23 ม.ค. 2555 , 08:58 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
บิ๋ม[email protected]อยากจะลองเลี้ยงดูค่ะเผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นบ้าง เเต่ไม่ทราบวิธีการเลี้ยง ทุกวันนี้ต้นทุนในการเลี้ยงหมู่ก็เพิ่มสูงขึ้นมาก อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่มีรายรับก็อยากลองเลี้ยงดูค่ะยังไงถ้าใครมีวิธีการเลี้ยง เเละก็ประหยัดเหมาะสำหรับคนที่กำลังจะเลี้ยงหมู่ (มือใหม่หัดขับ)ก็ส่งข้อมูลมาให้ดูด้วยน่ะค่ะขอบคุณมากล่วงหน้าค่ะ
02 พ.ค. 2554 , 01:17 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
ภูวดล[email protected]กรณีท้องเสียที่เกิดขึ้นในฟาร์ม อย่างเรื้อรังนะครับ
แนะนำตามประสบการณ์ละกัน
1. ดูที่แม่หมูก่อนครับว่าเป็นเต้านมอักเสบไหม ถ้าเป็นสังเกตุโดย ดูที่เต้านมจะร้อนผิดปกติ ลักษณะสีแดง ๆ และแข็ง หากลูกหมูกินนมแม่ซึ่งเป็นนมจากเต้าอักเสบรับรองท้องเสียแน่ล่ะครับ ก็คือต้องฉีดยาให้แม่เพื่อจะผ่านตัวยาไปทางน้ำนมให้ลูกด้วยครับ (หมั่นสังเกตุนะครับ)
2.ลูกหมูที่ท้องเสียขณะดูดนมแม่ใหม่ ๆ และยังหัดกินกล้วยฝาด ไม่ได้ ต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำและหมั่นเก็บมูล(ขี้) ของแม่หมูบ่อย ๆ ไม่งั้นเจ้าลูกหมูจะไปกัดกินเล่น ก็ท้องเสียอีกตามเคย
3.สภาพแวดล้อม อย่าให้คอกชื้นครับ ไม่ร้อน ไม่อบ อากาศถ่าเทดี กลางคืนกกไฟให้เหมาะสมหากระสอบมารอง เป็นฟางข้าวยิ่งดีเพราะเปลี่ยนออกทิ้งได้ง่ายไม่ต้องซัก
4.ขาดไม่ได้เรื่องน้ำดื่มต้องสะอาดครับ ผสมน้ำหมักชีวภาพก็ได้แต่สัดส่วนต้องเจือจางหน่อยนะครับ ประมาณ 1 ส่วน ต่อน้ำ 1000 -1200 ครับ ง่าย ๆ ก็เอาหลอดฉีดยาดูดน้ำหมัก 1 cc.ผสมน้ำ 1 ลิตร ล่ะครับ
สาเหตุที่ต้องดูแลเรื่องท้องเสียในลูกหมูให้มากเพราะ ลำไส้หมูเป็นส่วนที่สำคัญมากต่อการเจริญ เพราะเป็นส่วนที่ดูดซึมสารอาหารไปใช้ในร่างกาย หากลูกหมูตัวไหนท้องเสียขึ้นแล้ว (แม้ว่าจะเป็นครั้งเดียว) ก็จะไม่มีวันโตดีเท่าลูกหมูปกติที่ไม่เคยท้องเสียครับ เพราะระบบของผนังลำไล้และส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายเส้นขนขนาดเล็กเรียกว่า ไมโครวิลไล (Microvilli) ที่ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มพื้นที่การดูดซึมนั้นเสียหายไปแล้ว
ทางที่ดีครั้งต่อไป ควรกันไว้ดีกว่าแก้ นะครับ ถ้าไม่จำเป็นอย่าใช้ยาปฏิชีวนะเลยครับ
เพราะ หากใช้ไม่ถูกวิธีและไม่ต่อเนื่อง หรือไม่หายขาด การดื้อยาก้จะเกิดฉีดเอา ๆ สุดท้ายหมูก็ไม่รอด
ขอให้โชคดีนะครับ
ช่วงลูกหมูเริ่มกินอาหารเม็ดได้ให้เริ่มฝึกกินกล้วยฝาดหวาน ๆ เลยครับ กินฝรั่งฝาด ๆ หวาน ๆ ด้วยก็ได้ครับ
15 ก.พ. 2554 , 01:41 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
สากล[email protected]K.ภาวดี
ลูกหมูท้องเสีย คงต้องฉีดยาแก้ลำใส้อักแสบ หรือให้กินกล้วยดิบด้วย ช่วยแก้เรื่องท้องเสียดีครับ แต่ถ้าเสียรุนแรงก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะแล้วครับ
15 ก.พ. 2554 , 12:13 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
ภาวดี[email protected]โอ้นี่ แหละตรงประเด็นเลย ที่บ้านเลี้ยงแม่พันธ์ ออกลูก แล้ว ตอนนี้มีลูกหมูที่ยังไม่ได้ขายเหลืออยู่ 25 ตัว ท้องเสีย ใกล้ตายแล้ว 1 ตัว ซึ่งที่บ้านเจอกับปัญหาแบบนี้แล้วแก้ไขมีกไม่หาย แก้ยังไง หมูก็ยังท้องเสียอยู่ดี ได้ความรู้แบบนี้ขอบคุณมากเลยคะ อีกไม่กี่เดือนก็จตะลงแม่พันธ์อีก 20 ตัวใครมีอะไรแนะนำ บอกได้นะคะ และขอขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ
15 ก.พ. 2554 , 12:00 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
วรวรรณ [email protected]เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ เพราะตอนนี้ก็เริ่มเลี้ยงหมูหลุมแล้วไปดูแบบจากเขื่อนดิน (อุตรดิตถ์) วัสดุพื้นคอกใช้แกลบ มูลสัตว์ รำ และ EM ใช้อาหารสำเร็จรูปในการเลี้ยง อยากลดต้นทุนค่าอาหาร บ้านอยู่เชียงรายค่ะ อยากไปดูวิธีการหมักอาหารเลี้ยงหมูและ ความรู้เรื่อง EM ต้องติดต่อไปที่ไหนค่ะ
31 ม.ค. 2554 , 01:22 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
โชคชัย สารากิจ[email protected]ในฐานะที่เริ่มหมูหลุมคนแรกเมื่อ13ปีที่แล้ว ผมดีใจที่มีคนสนใจมากขื้น มีเกษตรกรมากกว่าหมึ่นคนเข้ารับการอบรม และคนต่างประเทศกว่าร้อยคน ในจำนวนนี้คุณสกล ให้ความสนใจพิเศษมากและลงมึอทำงานด้วยตนเอง จนถึอว่าเชี่ยวชาญสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี ขอสนับสนุนให้ท่านเริ่มต้นด้วยจำนวนน้อยหาประสบการณ์ก่อน โชคดีนะครับ
20 ม.ค. 2554 , 06:29 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
ภูวดล[email protected]ที่ว่าแมลงวันเยอะ
คงเป็นแบบที่บิน ไต่ตอมสร้างความรำคาญ
ต้องสังเกตุนะครับว่ามันมาตอมอะไร เพราะปกตินี่ ไม่ค่อยมีให้เห้นนะ ผมว่าน่าจะต้องดูแหล่งที่แมลงวันแพร่พันธุ์แล้วหล่ะครับ
ถ้าไม่พบแหล่ง ก็ทำเครื่องดักแมลงวันจากขวดน้ำ ใส่กะปิล่อไปเลยครับ จับง่ายดาย
สบาย ๆ ปกติแมลงวันจะมีมากในเล้าไก่ยืนกรงเพราะมูลไก่จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ หนอนแมลงวันเป็นอย่างดี
เพิ่มเติมเรื่องอาหารหมักนะครับ
การทำอาหารหมัก จุดประสงค์หลัก ๆ คือ
1.เพิ่มความน่ากิน จากรสชาติ และกลิ่นส้มๆ นั่นเอง
2.ช่วยให้พืชอาหารที่มีเยื่อใยเคี้ยวง่ายขึ้นเพราะผนังเซลล์พืชแข็งมาก
การได้กรดซิตริกอ่อน ๆ มาช่วยย่อยจะทำให้ สัตว์กินได้มากขึ้น และนำโภชนะบางอย่างไปใช้ได้มากขึ้นเช่น แป้งและโปรตีนที่แทรกอยู่ตามต้นพืช
3.ช่วยในการเก็บรักษาพืชได้นานขึ้นและไม่เน่าเสียทิ้งไปหากกองไว้ในสภาพแวดลอมปกติ
4.เป้นการปรับปรุงเพิ่มคุณค่าของพืชที่มีโภชนะต่ำหลายๆตัวเช่นฟางข้าว หญ้า รวมถึงใบพืช
5.ช่วยกระตุ้นระบบย่อยในสัตว์
22 ธ.ค. 2553 , 10:44 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
สากล[email protected]ออ..เรื่องอาหารหมักมีสารอาหารน้อยหรือเปล่า ตอบว่ามีแต่ไม่มากครับ เพราะอาหารหมักเป็นการเพิ่มปริมาณอาหารให้หมูกินอิ่มในแต่ละมื้อ ซึ่งเราเชื้อว่าการให้อาหารแบบฟาร์มหรือกินตลอดทั้งวัน ร่างการหมูไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสารอาหารที่กินได้หมด ทำให้มีความสิ้นเปลื่อง และอาหารหมักเป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อจุลินทรีย์ที่ได้จากการหมักและมีประโยชน์ต่อระบบการย่อยของหมู จึงทำให้มลูไม่มีกินแรง เป็นที่รบกวนมนุษย์ แต่หมูจะโตได้ดีอยู่ที่สูตรการผสมอาหารว่ามีสารอาหารพอเพียงหรือไม่
ส่วนเรื่องสูตรอาหารนั้น ขอแนะนำเพื่อนสมาชิกว่า ควรศึกษาเชิงวิชาการว่าหมูแต่ละขนาดมีความต้องการสารอาหารอะไรบ้าง และนำไปดัดแปลงให้เหมาะสมกับท้องถิ่นของตน โดยคำนึงถึงต้นทุนค่าอาหาร ว่าสิ่งใดจะประหยัดมากกว่ากัน
22 ธ.ค. 2553 , 12:17 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
สากล[email protected]คุณศรัณย์พร
ถามว่าแมลงวันเยอะเอาน้ำหมักราดก็ไม่หาย ผมว่าน่าเป็นแมลงวันจากแหล่งใกล้เคียงหรือเปล่า เพราะน้ำหมักไม่ใช่ยาไล่แมลงวันนะครับ แต่นำหมักจะทำให้หนองแมลงวันอ้วน และไม่เป็นตัวแมลง มีมากๆใช้เลี้ยงไก่ หรือเลี้ยงปลาได้นะ อย่าไปรังเกียจ หนองก็เป็นอาหารสัตว์ชนิดหนึ่ง
22 ธ.ค. 2553 , 12:03 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
หนุ่มพิโลกครับ[email protected]ผมอยากลองเลี้ยงบ้างครับแต่ขาดความรู้ ได้แต่ศึกษาจากเวบแต่ก้อได้ความรู้เยอะมากครับกะว่าจะเลี้ยงสัก 5 ตัวก่อน กลัวอาหารไม่พอ เลยอยากจะถามขนาดคอกและราคาลูกหมูว่าประมาณเท่าไร และพันธ์ไหนเลี้ยงแล้วดีเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของพิษณุโลกครับ ช่วยตอบหน่อยนะครับ เกษตรกรมือใหม่ ขอบคุณครับ
20 ธ.ค. 2553 , 07:38 PM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
นุวัตธ์ นาคคำ[email protected]ขอขอบคุณคำแนะนำของทุกท่านผมจะกลับไปเลี้ยงที่บ้านนอก จะได้กลับไปอยู่กับลูกเมียตอนนี้ทำงานเป็นยามที่ กทม ครับ
20 ธ.ค. 2553 , 01:40 PM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
ศรัณย์พร[email protected]ตอนนี้ได้เลี้ยงหมูหลุมแล้วค่ะ เลี้ยงสองรุ่น กำลังขยายรุ่นที่สาม เลี้ยงรุ่นละ 10 ตัว แต่มีข้อสงสัยค่ะ รุ่นแรกกินอาหารหมักแล้วค่ะ แล้วมันขี้เยอะมาก ทำให้มีแมลงวันเยอะ ใช้น้ำหมักราดก็ยังไม่หาย จะทำยังไงดีค่ะ แต่ไม่มีกลิ่นของขี้หมูนะค่ะ แล้วอาหารหมักค่ะ ดิฉันเอาแค่หยวกกล้วยกับมะละกอแค่สองอย่างทำการหมักมันมีสารอาหารน้อยไปหรือป่าวค่ะ ที่ดีควรเพิ่มอะไรหรือแค่นี้เพียงพอแล้วค่ะ เหมือนกับน้องหมูมันผอมลงหรือป่าวค่ะ หรือว่าดิฉันคิดไปเองค่ะ
ขอบคุณค่ะ
19 ธ.ค. 2553 , 01:09 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
ภูวดล[email protected]ใช้ทดแทนได้บางส่วนตามความเหมาะสมครับ
ส่วนวิธีป้องกันความชื้นสะสมคืออย่าด่วนรองพื้นคอกทีเดียวจนสูง 90 -100 ซม.
แต่ค่อย ๆใส่ทีละ 20-30 ซม.ครับ พอเริ่มพื้นคอกชื้นก็เริ่มเติมแกลบครับโดยอาจจะทยอยตักออกบ้างตามสมควร...เพราะมิเช่นนั้นด้านบนก็จะแฉะลอยเป็นชั้นอยู่ไม่สามารถกระจายลงไปด้านล่างได้สะดวก (และควรสำรองไว้ตามที่คุณสากลว่า)
ทั้งนี้ทั้งนั้น แล้วแต่สภาพการเลี้ยงจริง ณ ฟาร์มของคุณเองครับ หมั่นสังเกตุและศึกษา เพื่อการประยุกต์ สิ่งที่ดีกว่าให้ตนเองครับผม
13 ธ.ค. 2553 , 07:19 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
สากล[email protected]คุณศิริลักษณ์
ถ้ามีฟางข้าวมากๆ ตอนเตรียมคอกที่มีความลึก 90-100 ซม.นั้น ผมจะใส่ฟางข้าวขั้นแรก ให้หนาสัก 60 ซม. แล้วใส่แกลบปิดด้านบน เพื่อลดความหนาของแกลบได้บ้าง แต่ถ้าในท้องถิ่นหาแกลบไม่ได้เลย ผมว่าจะมีปัญหาในช่วงฤดูฝนนะครับ เพราะเราควรมีสำรองเพื่อเต็มให้หมู ตอนพื้นคอกแชะมากๆ หรือวัสดุมันยุบลงเป็นปุ๋ยนะครับ และข้อดีของฟางข้าวนั้นมีเชื้อราขาวอยู่มากด้วยนะ
13 ธ.ค. 2553 , 06:03 AM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |
แผ่นดิน[email protected]ขอบคุณทุกคนมากครับที่ให้ความรู้
30 พ.ย. 2553 , 11:19 PM e0 ชอบ | | | 0 ไม่ชอบ |