เลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน

เลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน ...ภูมิคุ้มกันเกษตรกรรายย่อย ปีนี้กรมปศุสัตว์เร่งขับเคลื่อน โครงการพัฒนาอาชีพการเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสานในเกษตรกรรายย่อย เบื้องต้นได้จัดตั้งและพัฒนาความพร้อมของ ศูนย์เรียนรู้การเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน ในฟาร์มเกษตรกรรายย่อยที่มีศักยภาพ จำนวน 450 ฟาร์ม ประกอบด้วย ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้ตามโครงการศูนย์เครือข่ายเรียนรู้ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง และ ศูนย์เรียนรู้เฉพาะด้าน ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้เฉพาะทางตามโครงการสร้างและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ (เดิม) เพื่อเป็นต้นแบบและเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเกษตรกรในท้องถิ่น ขณะเดียวกันยังได้ถ่ายทอดองค์ความรู้พร้อมขยายผลแนวคิดและรูปแบบการเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน ตาม หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจกว่า 9,000 ราย ซึ่งสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในฟาร์มตนเองได้

นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า นอกจากนั้น กรมปศุสัตว์ยังได้พัฒนา กลุ่มและเครือข่ายเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ จำนวน 144 กลุ่ม 30 ชมรม และ 4 เครือข่าย ได้แก่ เครือข่ายผู้เลี้ยงแพะ ไก่งวง ไก่พื้นเมือง และเป็ดเทศ ซึ่งคาดว่า จะสามารถช่วยยกระดับประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกร เป็นช่องทางเสริมรายได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มศักยภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่กลุ่มและเครือข่ายเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ด้วย ที่สำคัญการประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ผสมผสานร่วมกับการเพาะปลูกพืช ยัง เป็นทางรอดสำหรับเกษตรกรรายย่อยให้สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนในสถานการณ์การค้าที่แข่งขันสูง

ที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการการเลี้ยงสัตว์ในระบบเกษตรผสมผสานที่เหมาะสม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้กับเกษตรกรต้นแบบ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม อาทิ การใช้พันธุ์สัตว์พันธุ์ดี การผลิตอาหารสัตว์จากวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นเพื่อลดต้นทุนการผลิต การสุขาภิบาล การดูแลและป้องกันโรคสัตว์ด้วยสมุนไพร ตลอดจนการทำบัญชีฟาร์ม รวมทั้งส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายทั้งด้านการผลิตและการตลาด และผลักดันให้รู้จักแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดการพึ่งพาซึ่งกันและกัน อันนำไปสู่การสร้างอำนาจต่อรอง ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงในการประกอบอาชีพ

ปัจจุบันมีเกษตรกรรายย่อยหลายรายประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพการเลี้ยงสัตว์ผสมผสาน ร่วมกับการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ อาทิ นาข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และสวนผลไม้ โดยใช้พื้นที่ว่างเพาะปลูกพืชอาหารสัตว์และนำวัสดุเหลือจากกระบวนการเพาะปลูกมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ อีกทั้งยังได้นำมูลสัตว์กลับไปใช้เป็นปุ๋ยสำหรับพืช หรือผลิตแก๊สชีวภาพสำหรับใช้ในครัวเรือน สามารถช่วยลดรายจ่ายและสร้างรายได้จากกิจกรรมการเกษตรทั้งสองประเภทไปพร้อมกันได้

เกษตรกรของไทยประมาณ 80% เป็นเกษตรกรรายย่อย ซึ่งมีการทำเกษตรแบบผสมผสานโดยจัดระบบกิจกรรมในฟาร์มทั้งการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และประมงให้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งมี ข้อดี คือ จะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต ช่วยลดค่าใช้จ่าย ลดการพึ่งพาปัจจัยการผลิตจากภายนอก และลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันแปรด้านการตลาด ดีกว่าการทำเกษตรเชิงเดี่ยว ซึ่งจะได้รับผลกระทบและมีความเสี่ยงสูงทั้งด้านตลาด รวมถึงความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง เป็นต้น

อธิบดีกรมปศุสัตว์ฝากไปถึงเกษตรกรว่า...เกษตรกรรายย่อยควรให้ความสำคัญเรื่องปรับปรุงระบบการเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งดูแล ควบคุมและป้องกันโรคสัตว์เบื้องต้น เช่น ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ ฉีดวัคซีน ซึ่งนอกจากจะลดความสูญเสียภายในฟาร์มแล้ว ยังช่วยสร้างจุดแข็งและเป็นจุดขายให้กับผลผลิตที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยป้อนเข้าสู่ตลาดภายในประเทศ เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้แข่งขันได้.

อ้างอิง:www.dailynews.co.th

ส่งความคิดเห็น