data-ad-format="autorelaxed">
จามบ่อยๆเวลาเช้า
เป็นหวัดจามบ่อยๆ เวลาอากาศเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งหรือไม่ก็คัดจมูกบ้าง แน่นจมูกบ้าง กินอะไรนิด อะไรหน่อยก็ชัก คันเนื้อคันตัวเสียแล้ว และฯลฯ นั้นแหละครับ “โรคภูมิ’’ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นเป็นแล้วคล้ายหวัด ภาษาหมอจะบอกว่า “หวัดจากภูมิแพ้’’ แต่ชาวบ้านก็เรียกกันว่า “โรคแพ้อากาศ’’ แล้วแต่จะว่ากันไป ที่จริงเราไม่ได้ที่หายใจ แต่ไปแพ้สิ่งแปลกปลอม ฝุ่นละออง เชื้อรา เชื้อโรค เกสรดอกไม้ ฯลฯ ในอากาศเสียมากกว่า
ทางแพทย์นั้น จะมีวิธีการช่วยเหลือหรือ รักษาคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้อย่างไรบ้าง หมอชาวบ้านก็เลยขอพาท่านผู้อ่านคุยกับ อาจารย์นายแพทย์บุญชู กุลประดิษฐารมณ์ อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา หู คอ จมูก อยู่ภาควิชาโสต ศอ นาสิก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเรามาว่าของเราเลยนะครับ
คุณหมอบุญชู ยืนยันว่า การที่คนเราไดรับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้าร่างกายไม่ว่าจะกินก็ดี หายใจเข้าก็ดี แล้วเกิดอาการผิดปกติขึ้นนั้นเป็นเพราะว่า ร่างกายไม่สามารถเข้ากับเจ้าสิ่งแปลกปลอม ที่เข้าไปในร่างกายของเรา สำหรับบางคนที่ไม่เกิดอาการก็เนื่องจากว่าร่างกายของเขามีความต้านทานสูงพอจนสามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมจนหมด จึงไม่ทำให้เกิดอาการแต่อย่างใด
⇒ ถามว่าเป็นเพราะเหตุใดหรือเมื่อร่างกายไม่มีภูมิต้านทานหรือภูมิต้านทานต่ำจึงเกิดอาการขึ้นได้ ?
เรื่องเป็นอย่างนี้คือ พอร่างกายของคนที่ไม่แข็งแรงหรือไม่มีภูมิต้านทานต่อสิ่งแปลกปลอมได้รับสิ่งแปลกปลอมเช่น เชื้อโรค เกสร หรือฝุ่นละอองก็ตาม ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันออกมาทันที เห็นหรือยังว่าร่างกายของคนนั้น เก่งมากที่จัดการกับตัววายร้ายด้วยตัวเอง ทีนี้เมื่อภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างออกมาไปจับสิ่งแปลกปลอม(วายร้าย)ได้ เม็ดเลือดขาวในร่างกายก็จะออกมาผสมโรงเพื่อจับเจ้าสิ่งแปลกปลอม กินเสียเลย ถ้าเรื่องลงเอยแค่นั้นก็ดี แต่เม็ดเลือดขาวกลับแตกตัวซะนี่ แตกแล้วไม่แตกเปล่าๆกลับปล่อยสารอะไรต่อมิอะไรเข้ามาในกระแสเลือดเยอะแยะไปหมดเจ้าสารที่ออกมานี่เองที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้มีอาการผิดปกติต่างๆเกิดขึ้นตามที่เห็นๆ กันสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้นั่นแหละครับ
⇒ อาการของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้เป็นอย่างไรบ้าง ?
อันนี้ก็เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าสารพิษที่เม็ดเลือดขาวได้ปล่อยไว้นั่นน่ะ มันอยู่ตรงส่วนไหนของร่างกาย อาการโดยทั่วๆไป ก็มักมีอาการอ่อนเพลีย บวม ไข้ต่ำๆ เป็นๆ หายๆ
ถ้าหากเป็นที่ผิวหนัง ผิวหนังก็อาจคัน มีผื่นเม็ดเล็กๆ จนถึงเม็ดใหญ่ ผิวหนังอุ่น
เป็นที่ตา ก็ทำให้คันตา น้ำตาไหล ตาอาจแดง
เป็นที่ลำไส้ ทางเดินอาหาร ก็อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด แน่นท้อง คันที่ปากทวาร ถ้าหมอตรวจร่างกายก็จะพบรอยแตก แห้งที่มุมปากหรือริมฝีปาก
เป็นที่หัวใจก็ทำให้ ใจสั่นเป็นลม
เป็นที่หู คอ จมูก ก็ทำให้เป็นหวัด น้ำมูกไหล คันเพดานปาก คันจมูก ไอเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ อาจหอบได้
ส่วนใหญ่มักเป็นกันมากทางจมูก เช่นคัดจมูก คันจมูก คันคอ จาม เป็นหวัด ฯลฯ เพราะจมูกเป็นด่านแรกของการสูดดม พวกหอบหืดนี่ก็เป็นตัวอย่างของโรคภูมิแพ้เรื้อรังที่เกิดในทางเดินหายใจ ชนิดหนึ่ง
⇒ รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองจะเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ ?
ให้สังเกตตัวเองดูว่า เมื่อมีอะไรมาสัมผัสหรือเข้าใกล้อะไรแล้ว จะมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นไหม เช่น ถูกฝุ่นละออง ขณะกำลังกวาดรื้อบ้าน ก็จะจามเอา จามเอา หรือมีน้ำมูกไหล หรือกินอาหารอะไรเข้าไปแล้วมีอาการเป็นผื่นคันตุ่มเนื้อตามตัว กินซ้ำแล้วก็เป็นอีก หรืออยู่ใกล้เกสรดอกไม้บางชนิด มักมีอาการหอบหืด หรือไอไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น อย่างนี้ก็น่าจะสันนิษฐานเอาแหละครับว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้เข้าไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้ว ในบ้านเรามีคนแพ้ฝุ่นละอองตามบ้านเรือนมากเพราะมีตัวไรอาศัยอยู่ เราแพ้ตัวไรในฝุ่นครับ ไรพวกนี้อาศัยในฝุ่นบ้านได้ก็เพราะได้อาหารจากเศษผม เศษเล็บ เศษขี้ไคล เมื่อปลิวเข้าทางเดินหายใจก็ทำให้แพ้ได้จนเกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ได้ ก็แนะกันไว้ซะเลยว่าวิธีที่จะกำจัดตัวไรก็คือ พยายามให้แสงแดดสาดส่องถึงห้อง แสงแดดจะฆ่าตัวไรนี้ได้ เพราะในแสงแดดมีรังสีอุลตราไวโอเลต แต่ก็อย่าลืมเอาเสื้อผ้าที่นอนหมอนมุ้งผึ่งแดดด้วย
⇒ จะมีการรักษาหรือป้องกันอย่างไร ถ้าเป็นโรคภูมิแพ้ ?
การรักษามีอยู่ 4 วิธีครับ
วิธีที่ 1 คือ หลีกเลี่ยง เจ้าสิ่งที่เรารู้ว่าเราแพ้ หรือไม่ถูกกับมันเสียเลย เป็นการป้องกันและรักษาไปในตัวโดยไม่ต้องใช้ยาประหยัดและปลอดภัย
วิธีที่ 2 การฉีดสารเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายวิธีนี้แพทย์ต้องทดสอบให้แน่ใจว่า แพ้อะไรกันแน่และฉีดสารเพิ่มภูมิแพ้ต่อสารนั้นเป็นต้น
วิธีที่ 3 คือให้ยาแก้แพ้ และยาซึ่งที่แพทย์จะเห็นสมควรให้ใช้
วิธีที่ 4 คือรักษาตามอาการ เช่นถ้าไอให้ยาแก้ไอ ถ้าเป็นไข้ให้ยาลดไข้ ถ้าคันให้ยาแก้คัน หอบให้ยาแก้หอบ เป็นต้น
⇒ การฉีดสารเพิ่มภูมิต้านทานนั้น ทำอย่างไร ค่าใช้จ่ายแพงหรือไม่ คุ้มค่าไหม ?
ตามที่บอกแล้วว่าถ้าจะฉีดสารเพิ่มภูมิต้านทานให้แพทย์จะต้องทดสอบดูก่อนว่า แพ้สารอะไรจึงจะฉีดสารต้านภูมิแพ้นั้นให้ตรงกับสารที่แพ้ ส่วนราคาค่าใช้จ่ายนั้นแพงพอสมควรประมาณ 100-500 บาท ต่อการทดสอบและฉีดสารเพิ่มภูมิต้านทาน 10 ครั้ง เรียกว่าครั้งหนึ่งก็ตกครั้งละ 10-50 บาท คุ้มค่าหรือไม่ก็ขึ้นกับว่า คนไข้มีฐานะเป็นอย่างไรและอาการที่เกิดขึ้นรุนแรงจนไม่สามารถประกอบกิจการงานหรือไม่ ถ้าฐานะดีก็ไม่เป็นไรหรือถ้าเป็นรุนแรงจนทำกิจการไม่ไหวไปฉีดแล้วอาการดีขึ้น จนประกอบกิจการได้ อย่างนี้ก็คุ้มกันอยู่
⇒ ฉีดแล้วจะหาย 100 เปอร์เซนต์หรือไม่ และใช้เวลานานกี่ปีกว่าจะหายขาด ?
อาการหายขาดขึ้ึนกับว่าร่างกายตอบสนองเป็นอย่างไร บางคนอาจฉีดแค่ 3 เดือนก็หายได้อย่างช้าอาจเป็น 1-2 ปี ซึ่งต้องค่อยๆ ติดตามผลเป็นระยะๆ เมื่อปลอดอาการจึงจะฉีด 1-3 เดือนครั้งหรือปีละ 2 ครั้ง ถ้ามีอาการกลับเป็นใหม่ก็ต้องทำการรักษาอีก ไม่หายขาดไปเสียทีเดียว
⇒ การกินยาแก้แพ้มีหลักและวิธีการอย่างไร คนที่ชอบเป็นหวัดทุกๆ เช้า ยาแก้แพ้จะช่วยได้ไหม ?
ถ้าคนเป็นมากๆ คือเป็นหวัด คัดจมูก จามจากแพ้สิ่งแปลกปลอม ให้กินยาแก้แพ้เช่น คลอร์เฟนิรามีน วันละ 3-4 เม็ด เม็ดละ 4 มิลลิกรัม ราคาเม็ดละ 10 สตางค์ เมื่อเห็นว่าอาการดีขึ้นก็ให้กินเหลือเพียงวันละ 2 เม็ด เช้า เย็น ถ้าอาการดีขึ้ึนอีกก็ให้กินเหลือวันละ 1 เม็ด ถ้าปรากฏว่ายังมีอาการตอนเช้า อย่างนี้ก็ให้กินก่อนนอน 1 เม็ด ส่วนที่ว่าเป็นหวัดตอนเช้ากินยาเม็ดคลอร์เฟนิรามีนจะช่วยได้ไหม ตอบว่า ขึ้นกับบางคนว่ายาที่กินนั้นยังคงมีฤทธิ์อยู่ในร่างกายหรือไม่ ถ้ายายังคงมีฤทธิ์อยู่
การกินยาเม็ดคอร์ดเฟนิรามีนก็ช่วยได้แน่ๆ ยาจะมีฤทธิ์อยู่ถึงเช้าไหมก็แล้วแต่เม็ดยาอีกว่า ยี่ห้อไหน ยาแต่ละยี่ห้อละลายช้าละลายเร็วต่างกัน ถ้าจะให้ดีก็ต้องเลือกชนิดที่ละลายช้าๆ เช่น เด๊กซ์โตร คลอร์เฟนิรามีน มาลีเอท ขนาด 6 มิลลิกรัม มียี่ห้อว่า โพลารามีน ราคาเม็ดละประมาณ 2 บาท วิธีกินก็ 1 เม็ดก่อนนอน
⇒ ถ้ากินแล้วอาการไม่ดีขึ้นจะทำอย่างไร ?
ควรปรึกษาหมอ ดีที่สุด
⇒ ยานี้มีโทษหรืออันตรายอย่างไร ?
ยาแก้แพ้ที่กล่าวมา เท่าที่ผ่านมาโทษที่เห็นชัดยังไม่มีนอกจากทำให้เกิดอาการง่วงนอนมากๆ ถ้าเกิดง่วงนอนในขณะทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรละก็ มีอันตรายแน่ควรหยุดหรือให้นอนอยู่บ้านดีกว่าขณะที่กำลังกินยานี้อยู่ ไม่ต้องออกไปไหน
การกินยานานอาจทำให้มีอาการเคยยาได้บ้าง ซึ่งอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยาเป็น ยาแก้แพ้ชนิดอื่น เช่น บรอมเฟนิรามีนหรือ คาร์บิน็อกซามีน มาลีเอท หรือเพิ่มขนาดยาขึ้นบ้าง
⇒ โรคนี้มีการป้องกันได้อย่างไร นอกเหนือจากการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้แล้ว ?
ออกกำลังกายและทำอารมณ์ให้แจ่มใสจะช่วยทำให้อาการของโรคดีหรือหายเร็วขึ้น เพราะมันจะช่วยทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตคล่องตัวไม่มีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ซึ่งเมื่อไม่มีโรคแทรกอาการก็จะดีขึ้นแน่ๆ
จาก doctor.or.th