data-ad-format="autorelaxed">
“ซิงตั๊ก กรุ๊ป” จ่อยื่นฟ้อง อคส. เรียกค่าเสียหาย ฐานผิดสัญญาส่งมอบข้าว ประมูลซื้อข้าวเหนียว แต่ได้ข้าวเจ้า-ข้าวปลอมปน ทำคู่ค้าจีนยกเลิกออร์เดอร์แถมถูกเรียกค่าปรับกว่า 400 ล้าน พร้อมร้อง ปปง.สอบเส้นทางการเงินบิ๊กโรงสีส่งมอบข้าวเข้าคลังส่อฟอกเงิน ยื่น ป.ป.ช.สอบอดีตผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีเอี่ยวทุจริต
จากที่บริษัท ซิงตั๊ก กรุ๊ป จำกัด ได้ชนะการประมูลซื้อข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกจากองค์การคลังสินค้า(อคส.)จำนวน 45,185 ตัน โดยเป็นชนิดข้าวเหนียวขาว 10% จากคลังของนายวีระเดช ธรรมเตโช ตั้งอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรีปริมาณ 5,399 ตัน (มูลค่ากว่า 70 ล้านบาท) และจากคลังของบริษัทสุพรีมไลฟ์เอเจนซี่ จำกัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดชัยนาทอีก 39,786 ตัน (มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท) โดยทางบริษัทได้เซ็นสัญญาซื้อขายข้าวที่ประมูลได้กับ อคส.เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 และได้วางเงินมัดจำ และเงินประกันไว้กับ อคส.เป็นเงินรวม 31 ล้านบาท
สำหรับข้าวล็อตดังกล่าวทางบริษัทมีแผนจะส่งมอบให้กับบริษัท Bright Rice Group ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจีนจำนวน 45,000 ตัน โดยในส่วนข้าวจากคลังของนายวีระเดชพบมีคุณภาพที่ดี และทาง อคส.ได้ส่งมอบข้าวให้กับทางบริษัทแล้วปริมาณ 5,349 ตัน (มูลค่ากว่า 77 ล้านบาท)ซึ่งทางซิงตั๊ก กรุ๊ป ได้ทำการส่งมอบข้าวให้กับ Bright Rice Group คู่สัญญาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ดีในส่วนของข้าวจากคลังสินค้าของบริษัทสุพรีมไลฟ์ เอเจนซี่ฯ ซึ่งบริษัทได้ชำระเงินค่าซื้อข้าวงวดแรกให้ อคส. จำนวน 2,500 ตัน เป็นเงิน 34.3 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2559 จากการเปิดคลังเพื่อตรวจดูสินค้าก่อนเบิกรับสินค้าเมื่อวันที่ 26 เมษายน พบสินค้าที่อยู่ในคลังดังกล่าวจงใจอำพรางและสอดไส้ข้าวขาว (ข้าวเจ้า) และข้าวหลังเครื่อง(ข้าวดีด) แทนข้าวเหนียวขาว 10% เป็นจำนวนมาก โดยมีข้าวเหนียวขาว 10% อยู่แค่กระสอบด้านบน และด้านข้างล้อมกรอบในแต่ละกองเท่านั้น ซึ่งไม่ตรงตามสัญญาและข้าวดังกล่าวมีราคาซื้อขายต่ำกว่าข้าวเหนียวขาว 10% มาก
ทั้งนี้จากที่ทางซิงตั๊ก กรุ๊ปและอคส.ได้ทำการตรวจสอบ และคัดแยกข้าวในคลังของ บจก.สุพรีมไลฟ์ (ในคลังหลังที่ 3) ประมาณ 4 แสนกระสอบ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม และสิ้นสุดวันที่ 2 พฤศจิกายน 2559 ได้ข้าวเหนียวขาว 10% ประมาณ 12% และเป็นข้าวขาว(ข้าวเจ้า) และข้าวปลอมปนประมาณ 88% และข้าวขาดหายไปประมาณกว่า 1 หมื่นกระสอบ
นายจงรักษ์ เหล็งหนูดำ ทนายความของบจก.ซิงตั๊ก กรุ๊ป เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากข้อมูลที่ได้มาจาก อคส.พบมีโรงสี 17 โรงที่ส่งข้าวเหนียวข้าว 10% ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2556/2557 ให้กับคลังสินค้าของบจก.สุพรีมไลฟ์ โดยจากรหัสโรงสีที่ส่งข้าวเข้ามา พบข้าวส่งมาจากโรงสีของบจก.อิสเทิร์น ไรซ์มิลล์ (อยู่ที่จ.กาฬสินธุ์) มากที่สุดจำนวน 1.45 แสนกระสอบ และจากโรงสีของ บจก.ธนกร บรรจง สรร (อยู่ที่จ.พิจิตร) รองลงมาจำนวน 4.7 หมื่นกระสอบ โดยตรวจพบข้าวขาว(ข้าวเจ้า) และข้าวปลอมปนจำนวนมาก
“ระหว่างการตรวจสอบและคัดแยกข้าวทางบริษัทได้ส่งตัวอย่างข้าวจากคลังของบริษัทสุพรีมไลฟ์ฯซึ่งผู้เข้าร่วมประมูลข้าวระบุเป็นคลังต้องห้าม ให้กับทางศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทำการตรวจสอบพันธุกรรมพบข้าวบางตัวอย่างไม่ใช่ข้าวที่ปลูกในไทย แสดงให้เห็นว่าอาจมีการนำข้าวต่างประเทศมาสวมสิทธิข้าวไทยส่งเข้าเก็บในคลัง”
อย่างไรก็ดีจากการผิดสัญญาดังกล่าวทำให้ทาง อคส.ไม่สามารถส่งมอบข้าวเหนียวขาว 10% ให้กับทางซิงตั๊ก กรุ๊ปได้ตามกำหนดสัญญา และมีผลทำให้บริษัทไม่สามารถส่งมอบข้าวให้กับทาง Bright Rice Group จากจีนได้ตามกำหนดสัญญาเช่นกัน โดยทางจีนได้มีหนังสือให้ทางซิงตั๊ก กรุ๊ปต้องชำระค่าปรับเป็นเงินจำนวน 406 ล้านบาท (ล่าสุดได้มีการเจรจาต่อรองลงเหลือกว่า 200 ล้านบาท) และยังส่งผลให้คู่ค้าจากจีนปฏิเสธซื้อข้าวในครั้งนี้ทั้งหมด
นายจงรักษ์ กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมยื่น ฟ้อง อคส.ในกลางเดือนธันวาคมนี้ในข้อหาผิดสัญญาส่งมอบข้าวไม่ตรงตามข้อเสนอขายข้าวให้กับบริษัท ทำให้ได้รับความเสียหาย และจะร้องเรียนไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบ เนื่องจากข้าวประมาณ 62% ที่นำมาฝากเก็บในคลังของบริษัทสุพรีมไลฟ์ฯในครั้งนี้เป็นของเสี่ย อ.กับพวก ซึ่งทราบจากวงการค้าข้าวว่าเสี่ย อ.กับพวกได้นำเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวไปลงทุนในกิจการท่าเรือและกิจการพลังงานไฟฟ้าด้วย น่าจะเข้าข่ายการกระทำผิดตามกฎหมายฟอกเงิน นอกจากนี้จะร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ให้ทำการสอบสวนเนื่องจากทราบว่ามีอดีตผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าไปมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องนี้ด้วย
source: thansettakij.com/2016/12/02/117345