วาง 5 ยุทธศาสตร์วิจัยข้าวไทย หลังคู่แข่งหายใจรดต้นคอ

วาง 5 ยุทธศาสตร์วิจัยข้าวไทย หลังคู่แข่งหายใจรดต้นคอ เกษตรฯวาง 5 ยุทธศาสตร์วิจัยข้าวไทยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณหลังประเทศคู่แข่งส่งออกข้าวได้มากขึ้น เตรียมจัดสรรงบประมาณ 228 ล้านบาท สนับสนุนวิจัยข้าว นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเปิดการสัมมนาการเสนอผลงานวิจัยกลุ่มเรื่องข้าว ในรอบ 5 เดือน 60 โครงการ ของปีงบประมาณ 2555 ว่า ไทยส่งออกข้าวได้มากเป็นอันดับหนึ่งของโลกโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ซึ่งชาวนามีกว่า 4 ล้านครัวเรือน ร้อยละ 70 ของเกษตรกรทั่วประเทศ จำเป็นจะต้องพัฒนางานวิจัยภายในประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ด้าน คือด้านพัฒนาพันธุ์ข้าว ด้านเทคโนโลยีการผลิตข้าว ด้านเทคโนโลยีการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ด้านเทคโนโลยีการแปรรูป และด้านเศรษฐกิจและการตลาดข้าว

โดยกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายชัดเจนในการผลักดันให้เกษตรกรปลูกข้าวคุณภาพในระบบการเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) และข้าวอินทรีย์ ตลอดจนร่วมมือกับหน่วยงานวิชาการต่างๆ ในการแปรรูปเพิ่มมูลค่า ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ได้เปรียบคู่แข่งจากประเทศอื่นและจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวมากกว่าเน้นเฉพาะการผลิตเชิงปริมาณ อันจะทำให้ไทยยังมีขีดความสามารถในการครองตลาดข้าวพรีเมี่ยมซึ่งมีมูลค่าสูง ควบคู่การจัดระบบปลูกข้าวเพื่อลดความเสี่ยงด้านต่างๆ ทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ด้าน ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพร จิตติ์มิตรภาพ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดเผยว่า วช. ได้จัดสรรงบประมาณ 228 ล้านบาท ในการสนับสนุนงานวิจัยเรื่องข้าว โดยมีโครงการที่ได้รับทุนวิจัยทั้งสิ้น 60 ชุดโครงการ จากข้อเสนอทั้งหมด 106 โครงการ เพราะปัจจุบันข้าวไทยมีขีดความสามารถในการส่งออกลดลง ในขณะที่ประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินเดีย กัมพูชา และพม่า กลับมีศักยภาพในการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเฉพาะเวียดนามที่คาดว่าส่วนแบ่งการตลาดจะเพิ่มเป็นร้อยละ 19.83 และอินเดียเพิ่มขึ้น 22.57 ในปี 2555 ส่วนโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ที่ทำให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวมากขึ้นนั้น ยิ่งนับเป็นความท้าทายสำหรับนักวิจัยที่จะคิดค้นตอบโจทย์การพัฒนาที่เหมาะสมทั้งในระยะสั้นที่เกษตรกรจะมีรายได้จากการขายข้าว และในระยะยาวด้านการพัฒนาคุณภาพให้ยังคงเป็นที่หนึ่งในฐานะผู้ส่งออกข้าวของโลกทั้งด้านราคาและคุณภาพ รวมถึงวิธีการเก็บสต็อกข้าวที่จะเพิ่มมากขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย ซึ่งความรู้และข้อค้นพบจากงานวิจัยจะสร้างประโยชน์ให้กับโครงการด้านการเกษตรของภาครัฐ หากนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาจะทำให้การกำหนดนโยบายก่อให้เกิดประสิทธิผลต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมการเกษตรทั้งระบบได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง.

อ้างอิง:www.dailynews.co.th

ส่งความคิดเห็น