เปิดยุทธศาสตร์พัฒนาข้าวไทย..ควบคู่ดึงชาวนาเข้าระบบปลูกข้าว

เปิดยุทธศาสตร์พัฒนาข้าวไทย..ควบคู่ดึงชาวนาเข้าระบบปลูกข้าว ทุกวันนี้หลายฝ่ายหวั่นวิตกว่าไทยอาจจะเสียแชมป์ในการเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก เนื่องจากการทำนาของชาวนาไทยในปัจจุบันมีความเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะแมลงศัตรูข้าว และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จากปัจจัยของการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป

นายชัยฤทธิ์ ดำรงเกียรติ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า กรมการข้าวเป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ดูแลชาวนาไทยทั้งประเทศกว่า 3.7 ล้านครัวเรือน ซึ่งมีพื้นที่ปลูกข้าวคิดเป็นสัดส่วน 50% ของพื้นที่ทางการเกษตรทั้งหมด และเมื่อเปรียบเทียบกับอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ของกรมการข้าวที่มีไม่มากนักจึงไม่เพียงพอต่อการเข้าไปดูแลชาวนาได้อย่างทั่วถึง แต่อย่างไรก็ตาม กรมการข้าวยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพการผลิตและลดต้นทุน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงในอาชีพให้กับชาวนาไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.การวิจัยและพัฒนาข้าว 2.การเสริมสร้างการผลิตให้มีประสิทธิภาพ 3. การให้บริการวิชาการและสังคมที่เป็นเลิศ 4. การสร้างความเข้มแข็งให้ชาวนาอย่างยั่งยืน และ 5. การพัฒนาศักยภาพให้เป็นองค์กรชั้นนำ

ทั้งนี้ ในปี 2555 ได้นำร่องดำเนินการจัดระบบปลูกข้าวในพื้นที่เขตชลประทาน 11 จังหวัด รวม 16 โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา โครงการชลประทาน ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง และสุพรรณบุรี ในพื้นที่ทั้งหมด 1.5 ล้านไร่ สำหรับการดำเนินการนั้นได้เปิดเวทีชุมชนให้เกษตรกรในพื้นที่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นว่าจะใช้รูปแบบระบบปลูกข้าวอย่างไรและเลือกช่วงเวลาในการปลูกข้าวใหม่ ทั้งยังให้เลือกชนิดพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วมในเดือนสิงหาคม รวมถึงให้ทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนาและพืชปุ๋ยสด หรือถ้าไม่ปลูกพืชเหล่านี้ก็ให้เว้นปลูก ดังนั้น แต่ละพื้นที่จะมีรูปแบบการปลูกข้าวแตกต่างกันไป คือ 16 โครงการส่งน้ำฯ ก็จะมี 16 รูปแบบระบบปลูกข้าว

ผลการดำเนินงานจัดระบบปลูกข้าวในช่วงที่ผ่านมา พบว่าในพื้นที่ดำเนินการ 1.5 ล้านไร่ เกษตรกรมีความต้องการปลูกพืชหลังนา 534,965.50 ไร่ ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดหวาน และข้าวโพดฝักอ่อน ส่วนเกษตรกรที่ต้องการปลูกพืชปุ๋ยสดสลับกับการปลูกข้าว มีอยู่ 34,152.50 ไร่ ได้ แก่ ถั่วพุ่ม ถั่วพร้า ถั่วมะแฮะ โสนแอฟริกัน และปอเทือง สำหรับพื้นที่ที่เหลือต้องการปลูกข้าวช่วงเวลาใกล้เคียงกันในพื้นที่เดียวกันรวม 701,000 ไร่

...จากการติดตามผลการดำเนินโครงการจัดระบบปลูกข้าว โดยเฉพาะในส่วนของกิจกรรมการปลูกพืชหลังนา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบและประเมินผลในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่นำเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวที่ทางภาครัฐสนับสนุนให้ไปปลูกในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเมล็ดพันธุ์มีความงอกดี ที่สำคัญเมื่อมีการพักนาแล้วหันมาปลูกพืชหลังนาคั่น นอกจากดินจะคืนความอุดมสมบูรณ์แล้ว ยังช่วยลดปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องเสี่ยงกับภัยแล้งหรือน้ำท่วม เพราะมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น...

ทั้งนี้มีเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรอีกร้อยละ 94 มีความประสงค์จะเข้าสู่ระบบการปลูกข้าวในปีต่อไป นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่ชาวนาไทยเริ่มให้ความใส่ใจกับระบบปลูกข้าวใหม่ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ตลอดจนสร้างความมั่นคงในอาชีพกระดูกสันหลังของชาติได้สืบไปในอนาคต.

อ้างอิง:www.dailynews.co.th

ส่งความคิดเห็น